หมิงซี่หยินลูบคางของตัวเองก่อนที่จะพูดออกมาหลังจากที่ผ่านการครุ่นคิด “ถ้าหากศิษย์เป็นสีวู่หยา ข้าก็คงไม่ยอมปล่อยให้ตัวเองตกอยู่ในอันตรายแน่ แต่ถ้าหากทำแบบนั้นมันก็คงจะขัดกับแผนที่ได้วางไว้” หลังจากนั้นหมิงซี่หยินก็ได้พูดเสริมต่อ “ถ้าศิษย์น้องเจ็ดมีความเกี่ยวข้องกับองค์หญิงหยงหนิงจริง นางอาจจะปรากฏตัวที่มณฑลเหลียงก็เป็นได้ สำหรับศิษย์พี่ใหญ่ แทบที่จะเป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะปล่อยให้ใครเป็นอันตรายไป ข้าคิดว่าศิษย์พี่ใหญ่จะต้องยอมทำทุกอย่างเพื่อสร้างความวุ่นวายให้กับดินแดนแห่งนี้แน่”
ต้วนมู่เฉิงยังจับหอกราชันย์เอาไว้อย่างเกรี้ยวกราด เมื่อเห็นแบบนั้นก็ไม่มีใครกล้ายุ่งกับตัวเขา
ลู่โจวพยักหน้า ตัวเขารู้สึกว่ามันฟังดูมีเหตุผล หลังจากนั้นตัวเขาก็ได้หันไปหาซู่ฮ่องกงก่อนที่จะพูดออกมา “แล้วเจ้าล่ะ?”
“ท่านอาจารย์กำลังถามข้าอย่างงั้นหรอ?”
หมิงซี่หยินได้ตอบกลับมาโดยที่ไม่รอคำตอบจากลู่โจว “ตอบคำถามไปซะสิ เจ้าจะถามให้มันมากความทำไมกัน?” หมิงซี่หยินได้แต่คิดกับตัวเอง ‘เจ้านี่รู้สึกไม่ละอายแก่ใจเมื่อต้องพูดประจบผู้อื่น ข้าจะต้องหยุดนิสัยนี่ของศิษย์น้องแปดไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น’
ซู่ฮ่องกงพูดตอบออกไป “ถ้าหากข้าเป็นศิษย์พี่ใหญ่ ข้าจะกลับมาที่ศาลาปีศาจลอยฟ้าในทันที ข้าจะคุกเข่าต่อหน้าท่านอาจารย์เพื่อที่จะขอให้ท่านอภัยให้กับข้า!”
หมิงซี่หยินถึงกับพูดไม่ออก ‘ผลลัพธ์ก็เป็นเช่นเดิม…พอได้แล้ว!’ หมิงซี่หยินที่ได้ฟังแบบนั้นก็ได้เตะไปที่ซู่ฮ่องกง
“โอ๊ย!” ซู่ฮ่องกงกระเด็นไปที่ด้านหน้า ตัวเขาได้พูดออกมาอย่างเจ็บปวด “ข้าก็แค่พูดความจริง…”
ลู่โจวไม่มีเจตนาที่จะลงโทษซู่ฮ่องกง คำตอบของเขาไม่มีความหมายอะไรสำหรับลู่โจวเลย
สีวู่หยาไม่ใช่ซู่ฮ่องกง เนื่องจากเขาเลือกที่จะช่วยเหลือยู่เฉิงไห่เพื่อกำจัดเหล่าราชวงศ์ของดินแดนหยานอันยิ่งใหญ่แห่งนี้ ตัวเขาจะต้องมีเหตุผลอะไรบางอย่างเป็นของตัวเองแน่
นอกจากนี้การจากไปของยู่เฉิงไห่ก็ยังคล้ายกับการจากไปของยู่ฉางตง แต่ถึงแบบนั้นทั้งสองคนก็ยังมีเหตุผลและเป้าหมายที่แตกต่างกัน
เรื่องทั้งหมดนี้อาจจะถูกคลี่คลายได้ถ้าหากลู่โจวพบกับความทรงจำของตัวเองที่ถูกผนึกเอาไว้
ตามข้อมูลที่ยู่ตงิดตงได้ให้ไว้ เนื่องจากเจ้าของร่างของจีเทียนเด๋าเองได้ปิดผนึกความทรงจำเอาไว้ โดยที่ไม่มีใครได้รู้ว่าความทรงจำนั้นอยู่ที่ไหนกันแน่
สีวู่หยาเป็นศิษย์สาวกผู้ที่มีมันสมองที่เฉลียวฉลาดที่สุดในบรรดาศิษย์ทั้งเก้า ถ้าหากสีวู่หยาไม่รู้ว่ามันอยู่ไหน ก็ไม่มีทางเลยที่ศิษย์คนอื่นๆ จะรู้เรื่องนี้
“ท่านอาจารย์…ข้าคิดว่าศิษย์พี่เจ็ดจะต้องไปที่มณฑลเหลียงด้วยแน่” หยวนเอ๋อได้แสดงความคิดออกมา
หมิงซี่หยินหันไปมองหยวนเอ๋อก่อนที่จะถามออกมา “ทำไมเจ้าถึงคิดเช่นนั้นกัน?”
‘หรือว่าศิษย์น้องเล็กจะมีเหตุผลที่สมเหตุสมผลกัน?’
“ข้าก็แค่รู้สึกตงิดใจ” หยวนเอ๋อตอบกลับมา
“…” หมิงซี่หยินที่ได้ฟังแบบนั้นพูดไม่ออก
‘ศิษย์น้องข้าคนหนึ่งโง่เขลา ส่วนอีกคนหนึ่งก็ไร้เหตุผล ทำไมข้ามีศิษย์น้องแบบนี้ด้วย?’
ลู่โจวลูบเคราของตัวเองก่อนที่จะพูดออกมา “ทำไมเจ้าถึงรู้สึกตงิดใจแบบนั้นกัน?”
“ถ้าหากพี่สาวหยงหนิงต้องการช่วยศิษย์พี่เจ็ดจริงๆ ข้าก็ไม่คิดว่าศิษย์พี่เจ็ดจะทิ้งนาง ปล่อยให้นางตกอยู่ในอันตรายได้หรอก” หยวนเอ๋อตอบกลับมา
หมิงซี่หยินที่ได้ฟังแบบนั้นได้กลอกตาก่อนที่จะพูดขึ้น “แต่เจ้านั่นมันก็เป็นเพียงพวกใจเสาะ ข้าไม่คิดว่าเขาจะทำแบบนั้นได้หรอก”
ทั้งสองคนมีความเห็นที่แตกต่างกัน
แต่อย่างไรก็ตามลู่โจวได้เห็นด้วยกับความคิดของหยวนเอ๋อมากกว่า แม้ว่าการตัดสินใจของนางจะเป็นการตัดสินใจที่ดูเห็นแก่มิตรภาพที่แสนจะเรียบง่าย แต่ถึงแบบนั้นมันก็มักจะเป็นเหตุผลชั้นดีที่ก่อให้เกิดจุดอ่อนที่อันร้ายแรงที่สุด
ตั้งแต่ไหนแต่ไรมาวีรบุรุษทั้งหลายก็มักจะมีจุดอ่อนที่เหมือนๆ กัน พวกวีรบุรุษสุดท้ายก็ต้องพ่ายแพ้ให้กับเสน่ห์ของสาวงาม สีวู๋หยาเองจะยังคงไม่อ่อนไหวเหมือนเดิมได้อย่างงั้นหรอ?
…
ณ เวลาเดียวกัน ภายในหนึ่งในสำนักย่อยแห่งหนึ่งของสำนักอเวจีที่อยู่ไกลออกไป
ยู่เฉิงไห่ในตอนนี้ดูอารมณ์ดีเป็นพิเศษ ตัวเขาจ้องมองไปที่นอกหน้าต่างก่อนที่จะพูดออกมา “ด้วยการช่วยเหลือของศิษย์น้องเจ็ด ในไม่ช้าโลกทั้งใบก็จะต้องตกอยู่ในการเงื้อมมือของสำนักอเวจี…ตอนนี้ทั่วทั้งเก้ามณฑลกำลังตกอยู่ในความชุลมุน ข้าอยากที่จะรู้จริงๆ ว่าพวกราชวงศ์ที่ไม่เอาไหนพวกนั้นจะทำอะไรได้”
“ศิษย์พี่ใหญ่ นี่ก็แค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น อย่าเพิ่งคิดที่จะประมาทศัตรูของพวกเราจะดีกว่า” สีวู่หยาตอบกลับมา
“พวกสุนัขรับใช้ขององค์จักรพรรดิอย่างพวกทหารองครักษ์ไม่ได้มีน้ำยาอะไรเลยถ้าหากไม่มีพลังของเขตแดนพลังทั้งสิบที่ตั้งอยู่ในเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์นั่น”
สีวู่หยาตอบกลับอีกครั้ง “ถ้าหากจะวัดกันด้วยพลังยุทธ เป็นเรื่องธรรมดาที่จะไม่มีใครเทียบเคียงท่านได้ ศิษย์พี่ใหญ่”
“ศิษย์น้องเจ็ด เจ้าไม่ควรที่จะพูดแบบนั้น ข้ายังไม่กล้าหาญพอที่จะพูดแบบนั้นหรอกนะ อย่างน้อยข้าก็เก่งเป็นอันดับสอง” ยู่เฉิงไห่พูดต่อ
สีวู่หยาไม่อยากที่จะพูดต่อในเรื่องนี้ ตัวเขาได้นั่งลงก่อนที่จะจ้องมองแผนที่ที่อยู่ด้านหน้าแทน มันเป็นแผนที่ที่มีเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์เป็นจุดศูนย์กลาง มีมนุษย์จากดินแดนอื่นๆ ได้ตั้งหลักปักฐานอยู่ที่รอบๆ เมืองหลวงแห่งนี้ ทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่น มันราบรื่นจนสีวู่หยาคิดว่ามันมีอะไรที่แปลกประหลาดไป
เมื่อยู่เฉิงไห่เห็นสีวู่หยากำลังใช้ความคิดอยู่ ตัวเขาก็ได้พูดขึ้น “เจ้าเป็นห่วงเรื่องเกี่ยวกับคนจากดินแดนอื่นอยู่สินะศิษย์น้อง?”
“ศิษย์พี่ใหญ่ หลิวกู่องค์จักรพรรดิเป็นชายที่มีความอดทนมากจนเกินไป แม้ว่าองค์ชายสองและม่อหลี่จะตายไป แต่เขาก็ยังไม่เคลื่อนไหวอะไร หรือในความเป็นจริงแล้วเขาจะให้ความสำคัญกับแค่องค์รัชทายาทอย่างหลิวจื่อเพียงคนเดียวเท่านั้นกัน” สีวู่หยาที่ครุ่นคิดได้พูดต่อ “เป็นไปได้ไหม…ที่หลิวกู่เต็มใจที่จะเห็นดินแดนของตัวเองถูกชนเผ่าอื่นเหยียบย้ำกันแน่?”
“เขาไม่ทำแบบนั้นแน่” เมื่อพูดถึงชนเผ่าอื่นๆ ยู่เฉิงไห่ก็รู้สึกโกรธขึ้นมา ตัวเขาจ้องมองไปที่แผนที่ก่อนที่จะพูดออกมา “สักวันหนึ่งข้าจะกวาดล้างลั่วหลานด้วยดาบของข้าเอง ข้าจะไม่มีวันปล่อยให้พวกมันหวนกลับมาแน่ แม้ว่าจะต้องเข่นฆ่าทุกดวงวิญญาณที่อยู่ที่นั่นข้าก็จะทำ”
“ไม่ต้องกังวลไปศิษย์พี่ใหญ่…ที่ลั่วหลานปกครองกันด้วยพลังเวทมนตร์คาถา มันไม่ได้มีพลังแข็งแกร่งอะไรแน่ถ้าหากต้องเผชิญหน้ากับท่าน ในไม่ช้าก็เร็วพวกเราก็จะบุกเข้าไปได้ เมื่อถึงตอนนั้นท่านก็จะได้แก้แค้นสมใจยากแน่”
ยู่เฉิงไห่ไม่ได้ตอบกลับอะไรไป ตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมาตัวเขาเรียนรู้ที่จะรู้จักวิธีการควบคุมอารมณ์ของตนเองได้แล้ว
สีวู่หยาได้พูดต่อ “ม่อหลี่ได้ตายไปแล้ว พวกเราควรจะฉวยโอกาสนี้ปลุกปั่นสร้างความบาดหมางขึ้น…หลังจากนั้นสื่งที่พวกเราจะต้องทำมีเพียงเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ในเวลาอันเหมาะสมก็เท่านั้น”
ยู่เฉิงไห่พยักหน้าออกมาอย่างพึงพอใจ “ศิษย์น้อง…ถ้าหากเป็นแบบนั้นเจ้าก็ไม่ควรที่จะไปมณฑลเหลียง เจ้าอยู่ที่ที่กับข้า มาดื่มกันให้พอใจใต้แสงจันทร์ด้วยกันเถอะ สำหรับนักวางกลยุทธ์อย่างเจ้า เจ้าควรที่จะวางแผนอยู่ในที่ลับๆ เพื่อเฝ้ามองเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นแบบนั้นไม่ดีกว่าหรอไงกัน?”
สีวู่หยาได้ส่ายหัว “เห็นทีข้าคงจะต้องขอปฏิเสธ โอกาสในครั้งนี้เป็นครั้งที่สำคัญมาก ข้าจะต้องรออยู่ที่นั่น… ถ้าหากเจียงอาเฉียนออกจากศาลาปีศาจลอยฟ้ามา แหล่งข่าวของข้าที่อยู่ในพระราชวังก็จะไม่สามารถเชื่อถือได้อีกต่อไป”
เมื่อเจียงอาเฉียนถูกพูดถึง ยู่เฉิงไห่ก็ได้ขมวดคิ้วของตัวเอง “องค์ชายสามแห่งดินแดนหยานอันยิ่งใหญ่ เจ้านั่นตั้งชื่อไร้สาระให้กับตัวเอง อาเฉียนอย่างงั้นสินะ? เจ้านั่นเป็นคนที่น่ารังเกียจซะจริง ถ้าหากข้าได้พบเจ้านั่น ข้าจะสั่งสอนมันแทนเจ้าเองศิษย์น้องเจ็ด”
“…” สีวู่หยาไม่ได้โกรธเคืองอะไรกับสิ่งที่เจียงอาเฉียนทำ ตัวเขาที่ได้ยินแบบนั้นก็ได้แต่ส่ายหัว ในที่สุดเขาก็ลุกขึ้นก่อนที่จะโค้งคำนับให้กับยู่เฉิงไห่ “นี่มันก็สายมากแล้ว ศิษย์พี่ใหญ่ เอาไว้พวกเราค่อยพบกันใหม่”
ยู่เฉิงไห่ได้ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูไม่พอใจนิดหน่อย “เจ้าจะไปจริงๆ อย่างงั้นสินะ? เจ้ายังกังวลเกี่ยวกับเรื่องขององค์หญิงหยงหนิงคนนั้นอยู่จริงๆ สินะ?”
“โปรดเชื่อใจข้าเถอะศิษย์พี่” สีวู่หยาไม่ต้องการที่จะอธิบายอะไรให้ยืดยาว ตัวเขาได้โค้งคำนับยู่เฉิงไห่ก่อนที่จะเริ่มเดินจากไป
เมื่อยู่เฉิงไห่เห็นถึงความมุ่งมั่นที่สีวู่หยามี ตัวเขาก็ได้ส่ายหัวพร้อมกับถอนหายใจออกมา “แล้ว…ถ้าหากข้าให้สุดยอดผู้พิทักษ์ทั้งสี่เดินทางไปกับเจ้าด้วยล่ะ?”
“ศิษย์พี่ใหญ่…”
ก่อนที่ยู่เฉิงไห่จะพูดไปมากกว่นี้ สีวู่หยาก็ได้พูดออกมาอย่างจริงจังซะก่อน “นี่คือสิ่งที่สำคัญสำหรับข้า พลังวรยุทของข้าก็ฟื้นฟูกลับมาแล้ว เหตุใดกันที่ท่านถึงต้องเป็นกังวล? ในทางกลับกันถ้าหากมีอะไรเกิดขึ้นกับท่าน ข้าจะกินอยู่นอนหลับอย่างสบายไปได้ยังไงกัน” สีวู่หยาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะคำขอบคุณก่อนจะจากไป “ขอบคุณศิษย์พี่ใหญ่ที่เป็นห่วงข้า”
…
เช้าวันรุ่งขึ้น แสงของดวงอาทิตย์ยังคงสาดส่องมาที่ศาลาทางทิศตะวันออก
ลู่โจวลืมตาตื่นขึ้น ตัวเขาได้เรียกหน้าเมนูออกมาเพื่อตรวจสอบอายุขัยที่เหลืออยู่
อายุขัยที่เหลือ: 6,769 วัน
ตลอดเวลาที่ผ่านมาตัวเขาได้ใช้เวลาทั้งหมดไปกับการคิดถึงพลังร่างอวตารดอกบัวเก้ากลีบ ลู่โจวได้ลืมทุกสิ่งทุกอย่างที่จะทำให้ได้แต้มบุญมา ตัวเขาประหลาดใจที่เห็นว่าเวลาผ่านไปนานมากแล้ว เมื่อคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อวาน ลู่โจวก็ได้ใช้การ์ดพลังชีวิตไป 10 ใบด้วยกัน
ในตอนนี้ไม่มีใครสงสัยเกี่ยวกับเรื่องที่เพิ่งจะเกิดขึ้นทางศาลาตะวันออก
การได้รับพลังชีวิตจำนวนมากมาทำให้ลู่โจวรู้สึกกระปรี้กระเปร่ามากยิ่งขึ้น แม้ว่ามันจะเป็นการใช้การ์ดพลังชีวิตในเวลาที่ใกล้เคียงกัน แต่ถึงแบบนั้นตัวเขาก็ยังเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย แต่ถ้าหากดูภาพเงาสะท้อน ลู่โจวในตอนนี้ดูไม่ต่างจากเมื่อก่อน แต่ในช่วงเวลาอันสั้นตัวเขาดูมีชีวิตชีวามากยิ่งขึ้น
ลู่โจวไม่กล้าที่จะใช้การ์ดพลังชีวิตไปในคราวเดียว ถ้าหากรูปลักษณ์ของตัวเขาเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัด ตัวเขาก็จะต้องถูกเหล่าสาวกรุมถามคำถามอย่างแน่นอน แต่ถ้าหากเป็นการเปลี่ยนแปลงไปทีละนิดก็คงจะไม่มีใครสังเกตเห็นได้แน่
หลังจากที่ใช้การ์ดพลังชีวิตไป 10 ใบ ตัวเขาก็เหลือการ์ดพลังชีวิตอยู่อีก 33 ใบด้วยกัน
ในตอนนี้ลู่โจวเหลืออายุขัยอยู่ที่ 9,769 วัน
‘ไม่เลว’
ลู่โจวมองไปที่แต้มบุญที่มี
แต้มบุญ: 17,900
ในตอนนี้ยังเป็นเวลาเช้าตรู่ ลู่โจวที่รู้สึกกระปรี้กระเปร่าทำให้ตัวเขาอยากที่จะจับฉลากนำโชคขึ้นมา
ลู่โจวได้ตัดสินใจจับฉลากนำโชคไป 10 ครั้งติดต่อกัน สุดท้ายแล้วตัวเขาก็ได้รับรางวัลปลอบใจมาทั้งหมด
เมื่อลู่โจวไม่ได้รับรางวัลอะไรเลยตัวเขาก็รู้สึกตื่นตัวมากยิ่งขึ้น
ในตอนนั้นเองเสียงของจ้าวยู่ก็ได้ดังออกมาจากด้านนอก
“ท่านอาจารย์ เหล่านักบวชจากวิหารทางเลือกแห่งสวรรค์ได้จากไปแต่เช้าตรู่แล้ว พวกนั้นต้องการที่จะมาอำลาท่าน แต่พวกเขากลัวที่จะรบกวนท่านก็เลยฝากให้ข้ามาบอกกันท่านแทน”
“ข้ารู้แล้ว” ลู่โจวครุ่นคิดพักหนึ่งก่อนที่จะโบกมือขึ้นมา ในตอนนั้นพัดขนนกยูงก็ได้ปรากฏตัวขึ้น ลู่โจวได้โบกแขนของตัวเองอีกครั้งก่อนที่พัดขนนกยูงจะหายไป ตัวเขาตัดสินใจเดินออกมาจากศาลาทางตะวันออกก่อนที่จะจ้องมองจ้าวยู่
“เรียกศิษย์น้องเล็กของเจ้ามา” ลู่โจวรู้สึกว่าบางทีมันอาจจะถึงเวลาเลยที่ตัวเขาจะต้องไปที่มณฑลเหลียง
“ท่านอาจารย์…ศิษย์น้องเล็กได้ฝึกฝนตัวเองจนถึงดึกดื่น ในตอนนี้ข้าคิดว่านางอาจจะกำลังนอนหลับอยู่ ถ้าหากท่านอาจารย์มีสิ่งที่อยากจะทำ ข้าก็ขออาสาไปทำให้กับท่านแทนนางเอง” เมื่อจ้าวยู่ได้ยินเรื่องที่พูดคุยกันเมื่อวานจากหมิงซี่หยิน นางก็ได้คาดเดาไว้แล้วว่าอาจารย์คนนี้กำลังคิดออกไปข้างนอก ดังนั้นจ้าวยู่จึงอาสาตัวเอง
‘ฝึกฝนอย่างงั้นหรอ? สาวน้อยคนนี้ดูเหมือนจะพยายามอย่างหนักขึ้นมาเรื่อยๆ แล้วสินะ’
นี่เป็นเรื่องที่ดีสำหรับลู่โจว ตัวเขาได้มองไปที่จ้าวยู่ก่อนที่จะถามออกมา “แล้วเจ้าผลิกลีบดอกบัวทองคำบนพลังอวตารของเจ้าได้แล้วรึยัง?”
จ้าวยู่ดูอึดอัดใจ ในที่สุดนางก็ได้ตอบกลับมา “ศิษย์ฝีมือไม่ถึงขั้น…ศิษย์เพิ่งจะฝึกฝนตัวเองจนมีพลังวรยุทธอยู่ที่ขั้นมหาภัยพิบัติศักดิ์สิทธิ์และได้ฝึกฝนการใช้มีดท้องนภาไปเท่านั้น ศิษย์ยังไม่อาจผลิกลีบดอกบัวได้…” หลังจากนั้นจ้าวยู่ก็ได้พูดต่อย่างรวดเร็ว “ศิษย์จะพยายามอย่างหนักเพื่อที่จะผลิกลีบดอกบัวให้ได้!”
ถ้าหากไร้ซึ่งกลีบดอกบัว พลังวรยุทธที่จ้าวยู่มีก็ยังไม่สูงมากพอ
‘จ้าวยู่ยังไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีที่สุดในการปกป้องตัวฉัน’ ลู่โจวได้พิจารณาไปชั่วครู่หนึ่ง ในตอนนั้นเองสีหน้าของตัวเขาก็ยังคงไร้อารมณ์เช่นเคย ลู่โจวได้พูดออกมาอย่างช้าๆ “เรียกศิษย์น้องเล็กของเจ้ามา”
“ค่ะ ท่านอาจารย์” จ้าวยู่ได้โค้งคำนับให้ก่อนที่จะเดินจากไป ‘ท่านอาจารย์ดูแลศิษย์น้องเล็กเป็นอย่างดีจริงๆ แม้ว่าพลังวรยุทธของนางจะยังไม่ลึกล้ำเท่ากับของศิษย์พี่คนอื่น และนางยังอารมณ์ร้อนและหยาบคายบ้างเป็นครั้งคราว แต่ถึงแบบนั้นท่านอาจารย์ก็ยังยินดีที่จะพาศิษย์น้องเล็กไป นางช่างโชคดีจริงๆ’