เฉินเหลียงชูไม่มีอารมณ์ที่จะคิดถึงเรื่องเหล่านั้น ในตอนนี้จิตใจของเขากำลังจดจ่ออยู่กับการหาทางออกจากที่นี่ กองกำลังที่แข็งแกร่งที่สุดถูกรวบรวมเอาไว้ในมณฑลเหลียง ดูเหมือนว่ามันบังเอิญอย่างหนึ่ง เรื่องอะไรหลายๆ อย่างได้เกิดขึ้นมาในเวลาเดียวกัน
เมืองในมณฑลเหลียงเงียบงัน พลังอวตารได้หายไปแล้ว พลังลมปราณที่เคยพลุ่งพล่านก็หายไปด้วยเช่นกัน
ลู่โวมองไปที่ท้องฟ้าของเมืองแห่งนี้ผ่านทางหน้าต่าง
ผู้ฝึกยุทธจากสำนักอเวจีเกือบกว่า 1,000 คนกำลังล้อมรอบรถม้าขนาดใหญ่ ทุกๆ คนต่างก็รักษาตำแหน่งของตัวเองเป็นอย่างดี
ที่ทิศตะวันตกเต็มไปด้วยคนจากรั่วหลี่และลั่วหลานกว่า 2,000 คน ชาวลั่วหลานต่างก็สวมเสื้อคลุมยาว บนหัวของพวกเขาสวมใส่เสื้อคลุมที่มีขนนกสีสดใสประดับอยู่บนศีรษะ ผู้คนในรั่วหลี่ดูเหมือนจะเป็นผู้คนที่มีความสามารถและประสบการณ์มากกว่า ในดวงตาของพวกเขาเต็มไปด้วยเฉดสีแดง, ฟ้า และสีเขียว เมื่อพวกเขาเห็นกองทหารของหลิวปิง ชนเผ่าอื่นก็ได้ถอนพลังอวตารรวมไปถึงพลังเวทมนตร์คาถาที่ได้ใช้กลับคืนไป
ทางทิศเหนือมีองค์ชายสี่แห่งดินแดนหยานอันยิ่งใหญ่อย่างหลิวปิงและแม่ทัพใหญ่ทั้งหกขององค์ชายสี่ นอกเหนือจากกำลังทหารที่พวกเขามี พวกเขาก็ยังมีผู้ฝึกยุทธอีกไม่น้อยกว่า 2,000 ตามติดทัพมาด้วย หลิวปิงเป็นผู้ที่อยู่บนรถม้าศึกคันสีแดง สายตาอันเฉียบคมของเขากำลังจับจ้องไปที่รถม้าคันใหญ่ของสำนักอเวจี
ทางทิศตะวันออกมีหลี่จิงยี่อยู่ ที่เคียงข้างหลี่จิงยี่มีรถม้าขนาดเล็กอยู่ มันเป็นรถม้าที่ถูกปกคลุมไปด้วยรถม้าทั้งคัน เนื่องจากผู้ควบคุมรถม้าสามารถต่อกรได้กับสุดยอดผู้พิทักษ์ทั้งสี่ของสำนักอเวจีได้ ดังนั้นผู้ที่ควบคุมรถม้าอยู่คงไม่ใช่เหวยซูหยานแน่ คนที่ควบคุมรถม้าจะต้องเป็นหนึ่งในแปดหัวหน้าองครักษ์ของเหล่าราชวงศ์ที่ถูกส่งมาจากพระราชวัง แม้ว่าจะคิดแบบนั้นแต่ถ้าหากยังไม่ได้เห็นใบหน้าของผู้ที่ควบคุมอยู่ก็ยังไม่มีอะไรที่ทำให้สามารถทำให้มั่นใจได้
กองกำลังทั้งสามล้อมรอบรถม้าลอยฟ้าของสำนักอเวจีเอาไว้หมดแล้ว
…
เฉินเหลียงชูได้พูดออกมาเบาๆ “สำนักอเวจีสามารถที่จะหลบหนีไปทางทิศใต้ได้เท่านั้น…แต่น่าเสียดาย ที่ตรงนั้นเต็มไปด้วยกับดักอย่างเขตแดนพลัง”
“เจ้าไม่อยากเห็นสำนักอเวจีถูกจับอย่างงั้นเหรอ?” ลู่โจวมองไปที่เฉินเหลียงชู
เฉินเหลียงชูส่ายหัวก่อนที่จะตอบกลับมา “ข้าไม่คิดแบบนั้น”
“ไม่ว่าจะยังไงก็แล้วแต่ถ้าหากไม่มียู่เฉิงไห่อยู่ สำนักอเวจีก็ถูกต้อนจนมุมแล้วล่ะ” ลู่โจวมองไปที่รถม้าลอยฟ้าในขณะที่เอามือไขว้หลังอยู่
หยวนเอ๋อได้ส่งเสียงดังออกมา “เจ้าพวกนั้นจะต้องไร้ยางอายแค่ไหนที่เอาชนะศัตรูด้วยจำนวนคนที่มากกว่าแบบนี้”
เฉินเหลียงชูเริ่มมองไปที่หยวนเอ๋อด้วยมุมมองที่แตกต่างไปจากเดิม ‘สาวน้อยคนนี้แม้ว่าจะมีนิสัยที่เกรี้ยวกราด แต่ถ้าหากดูดีๆ นางก็เป็นสาวน้อยที่น่ารักดีนะ’
ลู่โจวพูดขึ้น “จำเอาไว้ ที่โลกแห่งยุทธภพไม่มีสิ่งที่เรียกว่าความยุติธรรมหรอก”
“ค่ะ ท่านอาจารย์” หยวนเอ๋อได้พยักหน้าตอบรับอย่างเชื่อฟัง
…
บนท้องฟ้า
องค์ชายหลิวปิงเป็นคนแรกที่ทำลายความเงียบสงบที่มีมายาวนาน
หลิวปิงกำลังยืนอยู่บนรถม้าศึกของตัวเขา ตัวเขาได้คารวะหลี่จิงยี่ก่อนที่จะพูดออกมา “ข้าสงสัยจริงๆ ว่าหัวหน้าองครักษ์คนไหนที่เดินทางมาช่วยได้ทันท่วงทีแบบนี้?”
“ผู้พิทักษ์แห่งทางตะวันตกของเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์เซียงลี่ขอคารวะองค์ชายสี่” น้ำเสียงของเขาทั้งฟังดูนุ่มลึกและทรงพลังในเวลาเดียวกัน
ทุกๆ คนต่างก็พูดกันว่าที่เมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ก็เหมือนกับถ้ำเสือ มันเต็มไปด้วยเสือที่ซ่อนเขี้ยวเล็บ เรื่องนี้มันเป็นเรื่องจริง มีข่าวลือมาว่าผู้ฝึกยุทธผู้ที่มีพลังอวตารดอกบัวแปดกลีบครึ่งหนึ่งของโลกได้อยู่ที่เมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ แม้ว่าจะมีข่าวลือแบบนี้แต่มันก็ยังไม่ได้รับการตรวจสอบ เมื่อเวลาผ่านไป ผู้คนทั้งหลายก็เริ่มที่จะเข้าใจ แม้ว่าพลังของตัวเองจะเก่งกาจสักแค่ไหน แต่ถ้าหากเทียบกับผู้คนที่อยู่ในเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์พลังของคนพวกนั้นก็ไม่ได้สูงส่งแม้แต่นิดเดียว
“อย่างงี้นี้เอง ลุงเซียง ข้าขออภัยที่ล่วงเกินท่าน” หลิวปิงได้คารวะให้อีกครั้งหลังจากที่รู้ตัวตนอีกฝ่าย
ชนเผ่าอื่นตกใจเล็กน้อยที่ได้เห็นแบบนั้น ที่ดินแดนหยานอันยิ่งใหญ่มีพลังอำนาจมากกว่าชนเผ่าอื่นทั้ง 10,000 เผ่าเป็นเพราะว่าทุกชนเผ่าต่างก็เคารพยอดฝีมือที่ดินแดนหยานมี
ฮาลั่วหัวเราะออกมาก่อนที่จะพูดขึ้น “นี่มันก็ผ่านมาสักพักแล้วนะองค์ชายสี่”
หลิวงปิงตะคอกกลับไป ในฐานะที่ฮาลั่วเป็นศัตรูเก่ามันจึงเป็นธรรมดาที่หลิวปิงจะรู้จักนิสัยของชายคนนี้ดี “ฮาลั่ว ข้าจะเก็บความแค้นที่มีต่อเจ้าในอดีตทิ้งไปซะก่อน ในตอนนี้การจัดการกับสำนักอเวจีเป็นสิ่งที่สำคัญมากกว่า”
“ข้าจะไม่ทำแบบนั้น” ฮาลั่วยกมือขึ้นมาก่อนที่จะกระดิกนิ้วของตัวเอง “ถ้าหากข้าช่วยพวกเจ้าโจมตีสำนักอเวจีจนเอาชนะได้แล้วมันก็เท่ากับว่าข้ากำลังเปิดโอกาสให้พวกเจ้ากลับมาโจมตีพวกข้าไม่ใช่รึไงกัน?”
“สามหาว!” เซียงลี่ที่อยู่ด้านหลังหลี่จิงยี่ตะคอกขึ้น เสียงของเขาได้ดังสนั่นจนไปถึงตัวของฮาลั่ว
ท่ามกลางทัพของชาวรั่วหลี่และผู้ใช้เวทมนตร์คาถา ทุกๆ คนต่างก็ปล่อยพลังเพื่อที่จะลบล้างคลื่นเสียงของเซียงลี่
แม้ว่าสีหน้าของฮาลั่วจะดูตกใจ แต่ถึงแบบนั้นมันก็ได้จางหายไปอย่างรวดเร็ว “นี่เป็นวิธีต้อนรับมิตรของท่านหรอองค์ชายสี่?”
“ลุงเซียงเป็นคนที่อารมณ์ร้อนแบบนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไร…เจ้ามาจากรั่วหลี่และผู้ใช้เวทมนตร์คาถาเองก็มาจากลั่วหลาน อย่าให้คำพูดของเจ้าต้องทำให้ทุกฝ่ายเสียการใหญ่เลยนะ” หลิวปิงตอบกลับไป
ฮาลั่วได้พูดกลับมาด้วยน้ำเสียงอันนุ่มลึก “ยู่เฉิงไห่แห่งสำนักอเวจีเคยบุกมาที่ลั่วหลานตามลำพังก่อนที่จะสังหารผู้ฝึกยุทธไปกว่า 10,000 คน ยู่เฉิงไห่ได้ใช้พลังของตัวเองทำร้ายคนของข้า ข้าจะล้างแค้นให้กับญาติพี่น้องทั้งหมด ข้าจะไม่มีวันหยุดแน่จนกว่าจะแก้แค้นสำเร็จ! ข้าจะตอบรับข้อเสนอของเจ้า วั้นนี้พวกเราจะกลายเป็นมิตรกัน”
ลู่โจวส่ายหัวเมื่อได้ยินเช่นนั้น ตั้งแต่ที่ยู่เฉิงไห่ออกจากศาลาปีศาจลอยฟ้าไป ยู่เฉิงไห่ก็ได้ทำทุกอย่างเพื่อให้เกิดความขัดแย้งขึ้นมาตลอด ถ้าหากลั่วหลานไม่ยอมจำนนต่อดินแดนหยานอันยิ่งใหญ่ เมื่อถึงตอนนั้นชนเผ่าอื่นๆ ในลั่วหลานก็จะต้องถูกเข่นฆ่าแน่ แต่ก็เพราะลั่วหลานยอมที่จะมอบของบรรณาการและเสนอตัวองค์หญิงให้กับดินแดนหยานเพื่อผูกมิตร ในตอนนั้นความสัมพันธ์จึงดีขึ้น การกระทำของยู่เฉิงไห่ได้ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างดินแดนหยานและลั่วหลานกลับมาตึงเครียดอีกครั้ง
เฉินเหลียงชูได้พูดออกมาอย่างสงสัย “แม้ว่าเจ้าสำนักยู่จะเป็นศิษย์คนแรกของศาลาปีศาจลอยฟ้า เขาคงไม่ใช่คนที่ไร้เหตุผลแน่ ยู่เฉิงไห่คงจะไม่โจมตีลั่วหลานโดยที่ไม่มีเหตุผลหรอก
“ไม่ใช่คนที่ทำตัวไร้เหตุผลอย่างงั้นเหรอ?” ลู่โจวถามพลางขมวดคิ้ว
“ถ้าหากเขาไม่มีความสามารถพิเศษ ยู่เฉิงไห่ก็คงจะไม่สามารถกลายเป็นเจ้าสำนักอเวจีที่มีเหล่าสาวกนับแสนหรือแม้แต่จะได้ความจงรักภักดีกับสุดยอดผู้พิทักษ์ทั้งสี่ไปได้หรอก” เฉินเหลียงชูกล่าวออกมา
การจัดการดูแลสาวกเป็นหนึ่งในทักษะสำคัญของผู้ที่เป็นเจ้าคนนายคน
ลู่โจวพยักหน้า ในเรื่องนี้แม้แต่เจ้าของร่างคนเก่าอย่างจีเทียนเด๋าก็ยังไม่มีความสามารถในด้านนี้เทียบเท่าได้กับศิษย์ของตัวเองอย่างยู่เฉิงไห่
…
บนท้องฟ้า
เสียงที่ฟังดูไม่พอใจได้ดังออกมาจากรถม้าลอยฟ้าของสำนักอเวจี “ยังเร็วเกินไปที่จะพูดถึงเรื่องการโค่นสำนักอเวจีไม่ใช่เหรอไงกัน?”
ยอดฝีมืออันดับหนึ่งแห่งโถงมังกรฟ้า ฮั๊วจงหยางได้เดินออกมาพร้อมกับชุดคลุมยาวที่ตัวเชากำลังสวมใส่ ตัวเขาได้มองไปรอบๆ ตัวเองก่อนที่ท้ายที่สุดแล้วตัวเขาก็ได้จ้องไปที่รถม้าลอยฟ้าที่อยู่ด้านหลังหลี่จิงยี่ คนเพียงคนเดียวที่สุดยอดผู้พิทักษ์ทั้งสี่จะต้องระวังมีเพียงเซียงลี่
หลิวปิงได้พูดออกมา “ฮั๊วจงหยาง…ตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมาเจ้าได้สร้างความหายนะให้กับดินแดนหยานอันยิ่งใหญ่มานับไม่ถ้วน พระราชสำนักพยายามที่จะมองว่าเรื่องที่พวกเจ้าก่อเป็นเพียงการทะเลาะกันของเหล่าชาวยุทธและพยายามที่จะปิดตาเมินเฉยมาโดยตลอด…แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเจ้าจะทำอะไรตามใจชอบได้! พวกเจ้าน่ะโลภมากถึงกล้าท้าทายพระราชสำนักได้ยังไงกัน!”
“มีเพียงผู้ที่แข็งแกร่งเท่านั้นที่จะเป็นผู้คุมกฎ นี่เป็นวิถีของโลกใบนี้มาโดยตลอด…ผู้คนทั้งหลายเคยมีความสุขในชีวิตตั้งแต่หลิวกู่ขึ้นครองราชย์อย่างงั้นเหรอ?” ฮั๊วจงหยางถามออกมา
บรรดาผู้ที่ต้องการจะขึ้นครองบัลลังก์ก็มักที่จะโต้เถียงกันถึงเรื่องความสุขของผู้คนทั่วไป
หลิวปิงที่ได้ฟังแบบนั้นหัวเราะก่อนที่จะพูดออกมา “ฮั๊วจงหยาง…เจ้าน่ะไม่เหมาะที่จะสนทนากับข้าหรอก บอกให้เจ้าสำนักของเจ้าแสดงตัวออกมาซะ…”
“เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นใครกัน? เจ้าคิดว่าตัวเองคู่ควรที่จะพบกับเจ้าสำนักของข้าเพียงเพื่อความต้องการของเจ้าอย่างงั้นเหรอ?”
หลิวปิงได้ตอบกลับมา “ไม่มีประโยชน์ที่จะเอาชนะเจ้าด้วยคำพูด เจ้าน่ะไม่มีทางเลือกหรอก”
ในตอนนี้ผู้ฝึกยุทธมากมายหลายคนได้ล้อมรอบสำนักอเวจีจากสามทิศทาง พวกเขาอยู่ห่างสำนักอเวจีเพียง 100 เมตรเท่านั้น
บรรยากาศในตอนนี้เป็นไปด้วยความตึงเครียด การต่อสู้ครั้งใหญ่อาจจะเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ
ฮั๊วจงหยางได้พูดออกมาอย่างเยือกเย็น “เจ้าน่ะไม่คู่ควรกับสำนักอเวจีหรอก ถ้าหากพวกเราจริงจังกับการต่อสู้นี้ เซียงลี่…เจ้าน่ะกล้าที่จะต้านทานการโจมตีจากเจ้าสำนักของพวกเราไหมล่ะ?” เสียงของฮั๊วจางหยางได้ดังไปถึงรถม้าที่อยู่ด้านหลังหลี่จิงยี่
เซียงลี่ที่อยู่บนรถม้าขมวดคิ้ว มือของเขากำแน่น ทั่วทั้งมือของตัวเขาสั่นเล็กน้อย แต่ถึงแบบนั้นเซียงลี่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา
ฮั๊วจงหยางพูดต่อ “หลิวปิง แม้ทัพทั้งหกคนที่อยู่ด้านหลังเจ้ากล้าที่จะสู้กับไป่ยู่ชิงและข้าไหมล่ะ?”
ฮั๊วจงหยางและไป่ยูชิงต่างก็เป็นผู้ฝึกยุทธผู้ที่มีพลังอวตารดอกบัวเจ็ดกลีบ ถ้าหากนับพลังของพวกเขาทั้งสองคนมันก็มากพอแล้วที่จะจัดการกับแม่ทัพทั้งหกได้ ในบรรดาแม่ทัพทั้งหกเป็นเพียงผู้ฝึกยุทธผู้ที่มีพลังอวตารดอกบัวห้ากลีบสี่คน, หกกลีบหนึ่งคน และเจ็ดกลีบอีกหนึ่งคน ในทางทฤษฎีพลังที่ฮั๊วจงหยางและไป่ยู่ชิงมีจะต้องเหนือกว่าอีกฝ่าย
“ฮ่าลั่ว เจ้าน่ะไล่ตามหยางเยียนมานานแล้ว เจ้าคิดว่าหยางเยียนและดีชิงไม่สามารถที่จะโค่นเจ้าได้อย่างงั้นสินะ?” ฮั๊วจงหยางถามออกมา นอกจากฝีมือในการต่อสู้ที่ฮั๊วจงหยางมี ทักษะในการรับมือกับสถานการณ์เฉพาะหน้าของเขาก็ยังยอดเยี่ยมด้วยเช่นกัน ถ้าหากาเทียบความแข็งแกร่งในลักษณะนี้ สำนักอเวจีดูเหมือนว่าจะมีแต้มต่อที่เหนือกว่า แล้วถ้าหากพวกเขา แล้วถ้าหากพวกเขาจะปะทะกันจากทั้งสามฝ่าย ในตอนนั้นจะเกิดอะไรขึ้นกัน? หลังการต่อสู้จบลงผลการต่อสู้จะเป็นเหมือนกับที่ฮั๊วจงหยางคาดการณ์ไว้รึเปล่า?
“เจ้าจะใช้จิตวิทยามาข่มขู่พวกเราก็ทำไปเถอะ ยู่เฉิงไห่ ถ้าหากเจ้าเป็นลูกผู้ชายมากพอก็ออกมาสู้กับพวกเราซะ!”
ตู๊ม!
เซียงลี่กระแทกฝ่ามือลงบนที่วางแขน ตัวเขาได้บินขึ้นไปบนอากาศก่อนที่จะมองไปยังรถม้าของสำนักอเวจี ร่างกายของเซียงลี่ถูกห่อหุ้มไปด้วยพลังอันหนาแน่น พลังแสงสีทองได้ส่องสว่างออกมาก่อนที่ยันต์ผนึกทั้งหลายจะปรากฏขึ้น
เมื่อเฉินเหลียงชูเห็นสิ่งเหล่านี้ ตัวเขาก็ได้พูดออกมาอย่างแผ่วเบา “เซียงลี่มาจากสำนักเซียนสวรรค์อย่างงั้นหรอ?”
สำนักเซียนสวรรค์เป็นสำนักที่มีความเชี่ยวชาญในการใช้ยันต์ผนึกจากลัทธิเต๋า สำนักเซียนสวรรค์เป็นสำนักใหญ่ที่สามารถพัฒนายันต์ผนึกให้มีประสิทธิภาพที่สูงส่งได้มากขึ้น
“ออกมาซะยู่เฉิงไห่!” เซียงลี่มองลงมาจากท้องฟ้า