เมื่อเฉินเหลียงชูเห็นสีวู่หยา ตัวเขาก็รู้สึกกังวลเป็นอย่างมาก ท้ายที่สุดแล้วคนคนนี้ก็เป็นหนึ่งในตำนานของศาลาปีศาจลอยฟ้ายุคทอง แค่เฉินเหลียงชูคิดว่าจะได้ทักทายสีวู่หยาในระยะประชิดได้ตัวเขาก็รู้สึกยอดเยี่ยมมากแล้ว แต่ถึงแบบนั้นสีวู่หยากลับพูดคำว่าอาจารย์ออกมา มันหมายความว่ายังไงกัน? เฉินเหลียงชูได้หันไปมองชายชราผู้ที่ยืนอยู่ข้างๆ …
สุดยอดผู้พิทักษ์ทั้งสี่แห่งสำนักอเวจีกำลังต่อสู้อย่างดุเดือดอยู่กับคู่ต่อสู้ของตัวเอง พลังผนึกทั้งหลายได้ลอยไปทั่วท้องฟ้า เสียงของการต่อสู้มันดังจนยากที่จะสงบสติอารมณ์ได้
ลู่โจวลดสายตาลงก่อนที่จะมองไปยังชายผู้ที่คุกเข่าอยู่ “นี่เป็นทางที่เจ้าเลือกอย่างงั้นสินะ?”
สีวู่หย่าได้ผลักองค์หญิงหย่งหนิงให้กับหยวนเอ๋อไป “ศิษย์น้องเล็ก ข้าฝากนางไว้กับเจ้าด้วย”
หยวนเอ๋อรีบพยุงหย่งหนิงจากทางด้านข้าง
สีวู่หยาได้ใช้เสื้อผ้าส่วนหนึ่งของตัวเอง ตัวเขาได้เช็ดเลือดที่ริมฝีปากของตัวเองก่อนที่จะคารวะลู่โจวด้วยความเคารพ “ท่านอาจารย์ได้โปรดช่วยข้าด้วย”
เฉินเหลียงชูที่ได้ฟังอีกครั้งพูดไม่ออก ดวงตาของเขาเบิกกว้างขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็น เฉินเหลียงชูเผลอเดินสะดุดอีกครั้ง ตัวเขาได้แต่มองไปยังลู่โจว ‘ใช่แล้ว นี่จะต้องใช่แน่ๆ …’
ชายชราที่เฉินเหลียงชูชื่นชมและเคารพมาโดยตลอดบัดนี้อยู่ตรงหน้าเขาแล้ว แท้จริงแล้วชายคนนี้ก็คือปรมาจารย์แห่งศาลาปีศาจลอยฟ้า ผู้ที่มีชื่ออยู่บนอันดับสูงสุดของบัญชีดำ ปรมาจารย์จีเทียนเด๋านั่นเอง
พรึ๊บ!
เฉินเหลียงชูล้มทั้งยืน
หยวนเอ๋อที่เห็นแบบนั้นก็ได้หันมามอง “เจ้าคิดทำอะไรกัน?”
“ไม่มีอะไร…ไม่มีอะไรทั้งนั้น” เฉินเหลียงชูรู้สึกอยากจะร้องไห้ ทันใดนั้นเองตัวเขาก็นึกถึงสิ่งที่หยวนเอ๋อเคยพูดเอาไว้ในตอนที่อยู่หมู่บ้านเฉิน หยวนเอ๋อได้บอกให้ตัวเขาคุกเข่าต่อหน้าผู้เป็นอาจารย์คนนี้มาก่อน ใครจะไปรู้กันว่าสาวน้อยคนนี้จะไม่โกหก?
ลู่โจวในตอนนี้ไม่ได้สนใจความรู้สึกของเฉินเหลียงชูเลย ยิ่งไปกว่านั้นแม้ว่าเฉินเหลียงชูจะรู้ตั้งแต่แรก แต่ผลลัพธ์ก็จะไม่เปลี่ยนแปลงไปอยู่ดี ลู่โจวได้หันไปพูดกับสีวู่หยาแทน “แล้วเรื่องนี้มันเกี่ยวข้องกับข้ายังไงกัน?”
สีหน้าของลู่โจวยังคงดูไร้อารมณ์และไม่แยแสต่อทุกอย่างเช่นเคย “ในเมื่อสีวู่หยาเป็นคนหาเรื่องใส่ตัวเอง…แล้วตอนนี้เขากับอยากให้ฉันเก็บกวาดสิ่งที่ตัวเขาได้ทำลงไปอย่างงั้นหรอ? น่าขันสิ้นดี”
…
ตู๊ม! ตู๊ม! ตู๊ม!
ในระหว่างที่การต่อสู้ยังคงดำเนินไป รถม้าคันใหญ่ยักษ์ของสำนักอเวจีก็ได้ร่วงหล่นลงสู่พื้น มันถูกพลังอวตารราชาหมาป่าเข้าโจมตีนั่นเอง การร่วงหล่นของรถม้าลอยฟ้าได้ทำให้อาคารบ้านเรือนส่วนใหญ่ได้รับความเสียหายไป
แม้ว่าร่างอวตารราชาหมาป่าจะมีกลีบดอกบัวที่หายไปกลีบหนึ่งก็ตาม แต่ถึงแบบนั้นมันก็ยังเป็นพลังอวตารที่มีดอกบัวถึงเจ็ดกลีบอยู่ดี
สุดยอดผู้พิทักษ์ทั้งสี่ได้แต่ล่าถอยกลับไปเท่านั้น ในตอนนี้พวกเขาได้รับบาดเจ็บสาหัสกันหมด ยิ่งไปว่านั้นความเสียหายที่เหล่าสาวกสำนักอเวจีได้รับมาก็ยังไม่ใช่ความเสียหายเล็กๆ น้อยๆ อีกด้วย
ในตอนนี้หลิวปิงยังคงไม่ขยับ แม่ทัพทั้งหกของตัวเขายังคงลอยอยู่ที่กลางอากาศเพื่อที่จะดูทีท่าต่อไป ในเมื่อสนามรบแห่งนี้มันเต็มไปด้วยความเปลี่ยนแปลง ดังนั้นการที่จะละสายตาจากศัตรูได้จึงเป็นเรื่องที่ไม่ควรทำอย่างยิ่ง ยิ่งไปกว่านั้นในตอนนี้พวกเขายังอยู่กับชนเผ่าอื่นที่ไม่รู้ว่าจะหักหลังพวกเขาเองเมื่อไหร่
สำหรับฮาลั่วเขาคงไม่คิดที่จะปล่อยให้โอกาสทองแบบนี้หลุดมือไปแน่ “องค์ชายสี่ ท่านจะยืนอยู่ตรงนั้นเพื่ออะไรกัน? ท่านจะพักได้ยังไงกันในเมื่อสุดยอดผู้พิทักษ์ทั้งสี่ยังอยู่?”
คิ้วของหลิวปิงเริ่มขมวดเข้าหากัน หลิวปิงได้จับจ้องไปที่ฮาลั่ว ชายคนนี้มีสีหน้าที่เต็มไปด้วยความสุข เมื่อเห็นแบบนั้นหลิวปิงก็รู้ได้ทันทีว่าฮาลั่วจะต้องหันคมเล็บเข้าใส่พวกเขาแทนแน่หลังจากที่สำนักอเวจีถูกจัดการ แต่ถึงแบบนั้นหลิวปิงก็ไม่มีทางเลือกอื่น ยังไงซะตอนนี้ก็คงจะมีแต่การร่วมมือกันเพื่อจัดการกับสุดยอดผู้พิทักษ์ทั้งสี่ “หลี่จิงยี่ เจ้าเองก็เป็นคนของเม่ทัพเหวยซู่หยา แม่ทัพเซียงกำลังได้รับบาดเจ็บ เจ้าไม่คิดเข้าร่วมการต่อสู้ครั้งนี้บ้างเหรอ?”
หลี่จิงยี่กำลังลอยอยู่ที่กลางอากาศ ที่มือของนางถือร่มสีฉูดฉาดที่ทำให้ทุกคนที่ได้พบเห็นต่างก็ตกตะลึง ตั้งแต่ที่เริ่มการต่อสู้จนถึงตอนนี้หลี่จิงยี่ยังไม่เลือกที่จะขยับแม้แต่ก้าวเดียว นางได้ซ่อนตัวอยู่ในมุมที่ไม่น่าจะมีใครสังเกตเห็น แต่ท้ายที่สุดแล้วหลิวปิงก็เป็นคนพบนาง
…
อวตารทั้งสามร่างได้บินไปหาสีวู่หยา ในขณะเดียวกันตอนนั้นพลังฝ่ามือทั้งหลายก็ได้ลอยเข้าหาตัวเขา
สภาพแวดล้อมที่อยู่รอบตัวสีวู่หยา, ลู่โจว, หยวนเอ๋อและเฉินเหลียงชูล้วนแต่แปรปรวน
ในขณะนั้นเองก็มีดวงตาหลายคู่จับจ้องมาที่พวกลู่โจว…
หลิวปิง, หลี่จิงยี่ และสุดยอดผู้พิทักษ์ทั้งสี่ต่างก็ตกตะลึง ทำไมชายชราคนนี้ถึงได้ดูคุ้นเคยเกินไป?
ฮาลั่วและเซียงลี่ที่ได้รับบาดเจ็บต่างก็หันมามองเช่นกัน
“นั่นใคร?”
หลิวปิงเองจำได้ดี ตัวเขาเริ่มหายใจไม่ทั่วท้อง หัวใจของเขาเต้นไม่เป็นจังหวะ “ทำไมเขาถึงมาอยู่ที่นี่ได้?”
เซียงลี่อาศัยอยู่ที่เมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์มาเป็นเวลานาน ตัวเขาจึงไม่เคยได้พบกับจีเทียนเด๋ามาก่อน แต่แค่มองใบหน้าของชายชราที่อยู่หน้าของสีวู่หยา เซียงลี่ก็เกิดความสงสัยขึ้นมา ‘ชายชราคนนี้คือใครกัน? ทำไมสีวู่หยาถึงต้องพยายามคุกเข่าให้เขาด้วย?’
หลี่จิงยี่ไม่ได้มีท่าทีตกใจอะไร มันเหมือนกับนางจะได้คาดหวังไว้ก่อนแล้ว “ไม่ว่ามันจะเป็นใครก็ฆ่าพวกมันให้หมด!” ฮาลั่วสั่งการออกมา
เมื่อสิ้นสุดเสียงการสั่งการคนจากลั่วหลานและรั่วหลี่ต่างก็พุ่งเข้าหาสีวู่หยาด้วยความบ้าคลั่ง มันเป็นความบาคลั่งที่ดูคล้ายกับหมาป่า ลู่โจวเหลือบไปมองพวกเขา ในตอนนี้แทบที่จะเป็นไปไม่ได้เลยที่ตัวเขาจะฉีกตัวออกจากสถานการณ์นี้ได้
สีวู่หยาได้พูดออกมาอีกครั้ง “ถ้าหากท่านเต็มใจที่จะเคลื่อนไหว ข้าสีวู่หยาก็จะยอมกลับไปศาลาปีศาจลอยฟ้าเพื่อรับโทษอย่างเต็มใจเอง!”
ตู๊ม!
หน้าผากของสีวุ่หยาแตกลงบนพื้น มันเป็นการคารวะอย่างสุดซึ้งนั่นเอง
ลู่โจวลูบเคราของตัวเองก่อนทื่จะเหลือบมองสีวู่หยา “ข้าหวังว่าเจ้าจะไม่ทำให้ข้าผิดหวังซ้ำสองก็แล้วกัน” ลู่โจวได้ขยับฝ่ามือของตัวเอง ในตอนนั้นพัดขนนกยูงก็ได้ปรากฏตัวขึ้น
แสงเรืองรองที่ดูคล้ายกับแสงดาวได้เปล่งประกายออกมาจากพัดขนนกยูง “รับไปซะ!” ลู่โจวได้โยนพัดขนนกยูงออกมา มันได้ลอยไปหาสีวู่หยาที่กำลังยอมคุกเข่าเพื่อขอความช่วยเหลือ
สีวู่หยาที่เห็นแบบนั้นดีใจมาก ตัวเขาได้ลุกขึ้นจากพื้นก่อนที่จะคว้าพัดขนนกยูงที่ลอยอยู่บนกลางอากาศ
“อะไรอยู่ในมือเจ้านั่นกัน?” ฮาลั่วเริ่มสงสัย สิ่งที่เขามีเพียงสีวู่หยาที่กำลังโยนพัดขนนกยูงขึ้นไปบนกลางอากาศ
พัดขนนกยูงได้แยกตัวเองออกมาก่อนที่จะส่งเสียงดังไปทั่ว ขนนกยูงถูกแยกออกมา 2 ส่วนด้วยกัน มันได้แยกออกมาโดยที่มีพลังแวววาวสีทองโอบล้อมขนนกยูงเอาไว้…
ฟู่…!
ขนนกยูงทั้งสองส่วนได้แนบส่วนหลังของของสีวู่หยาเอาไว้
ลู่โจวเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย ตัวเขาที่เห็นแบบนั้นก็ได้แต่พยักหน้า “นี่มันนกยูงสยายปีก”
“ท่าไม่ดีแล้ว! ถอยกลับมาเร็วเข้า!” ฮาลั่วที่เห็นแบบนั้นก็รีบสั่งการออกมา
ทุกๆ คนต่างก็รู้สึกได้ว่าพลังธรรมชาติที่อยู่รอบตัวกำลังถูกพัดขนนกยูงดูดไป พลังที่ว่าถูกพัดขนนกยูงดูดซับเพื่อที่จะสร้างปีกของนกยูง มันคือลักษณะเฉพาะของพัดขนนกยูง ประกายที่ออกมาจากตัวของสีวู่หยาได้แผ่ออกมาเป็นแสงสว่างที่ส่องประกายแวววาว มันเป็นแสงที่ดูราวกับเป็นขนจากตัวของนกยูง ผู้ฝึกยุทธบางคนที่เห็นแบบนั้นก็ได้แต่ตกใจจนไม่อาจที่จะขยับไปไหนได้
สีวู่หยาได้ลอยไปบนอากาศ ตัวเขายังคงไม่แสดงอารมณ์ใดๆ ออกมาในขณะที่กระพือปีกขนาดใหญ่ของตน ทุกจังหวะการบินของเขามันทำให้ปีกคู่ปลดปล่อยเข็มพลังงานจำนวนนับไม่ถ้วนออกมา
ตู๊ม! ตู๊ม! ตู๊ม!
ผู้คนจากรั่วหลี่และลั่วหลานต่างก็ตกใจกับการเคลื่อนไหวอย่างกะทันหันของสีวู่หยา เมื่อทุกคนต้องการที่จะหันหลังหนีในตอนนั้นมันก็สายเกินไปซะแล้ว เข็มพลังงานจำนวนมากที่กระจายออกมาจากบนท้องฟ้าได้พุ่งเข้าหาทุกคนอย่างไม่ปรานี การโจมตีของสีวู่หยาเป็นเหมือนกับการถาโถมของคลื่นยักษ์ที่จะไม่ละเว้นศัตรูหน้าไหน
ชาวรั่วหลี่ที่ถูกการโจมตีล้มลง…
“ติ้ง! สังหารเป้าหมาย ได้รับรางวัลแต้มบุญ: 10”
“ติ้ง! สังหารเป้าหมาย ได้รับรางวัลแต้มบุญ: 10”
ลู่โจวไม่แปลกใจเลยที่ได้ยินการแจ้งเตือน แม้ว่ามันจะเป็นเพียงแต้มบุญเล็กๆ น้อยๆ แต่ถึงแบบนั้นมันก็ยังดีกว่าที่ตัวเขาจะไม่ได้อะไรเลย
ผู้คนจากลั่วหลานรีบใช้เวทมนตร์คาถาขึ้นมาอีกครั้ง ผู้ฝึกพลังเวทมนตร์คาถามักจะมีทักษะการป้องกันตัวที่อ่อนแอ ต่อหน้าเข็มนับไม่ถ้วนของสีวู่หยาชาวลั่วหลานเองก็ไม่สามารถที่จะรับมือได้เช่นกัน
“ท่านสีวู่หยา?” ฮั๊วจงหยางรู้สึกมีความหวังอีกครั้ง
“นกยูงสยายปีก…เป็นเวลานานมากแล้วสินะที่ข้ามีโอกาสได้เห็น…” ไป่ยู่ชิงเช็ดคราบเลือดออกจากริมฝีปากก่อนที่จะอุทานออกมาอย่างตื่นเต้น
“ข้าจำได้ว่าครั้งสุดท้ายที่ท่านสีวู่หยาใช้พัดขนนกยูงก็คือการต่อสู้บนหุบเขาผิงตู ท่านสีวู่หยาและท่านเจ้าสำนักต่างก็ร่วมมือกันเพื่อวางรากฐานของสำนักอเวจี…ข้าไม่ได้คาดคิดเลยว่าจะเห็นภาพแบบนี้อีกหลังจากที่เหตุการณ์มันผ่านมาหลายปีเช่นนี้…”
สุดยอดผู้พิทักษ์ทั้งสามคนได้จ้องมองสีวู่หยามาจากที่อันไกลโพ้น
ปีกขนาดใหญ่ของสีวู่หยายังคงเปล่งประกาย มันได้กวาดล้างชนเผ่าอื่นและกองทหารของหลิวปิงไปอย่างไร้ความปรานี
“ถอยเร็ว!”
“วิ่ง!!”
หลิวปิงได้สั่งถอยอย่างเร่งรีบ ในตอนนี้ตัวเขาไม่มีเวลาที่จะอธิบายสถานการณ์ให้กับเหล่าทหารผู้อยู่ใต้บังคับบัญชา แม้แต่แม่ทัพทั้งหมดเองก็ยังสับสนกับการสั่งการนี้ แต่ถึงแบบนั้นพวกเขาก็ยอมล่าถอยแต่โดยดี
ฮาลั่วเองได้แต่จ้องมองดูการโจมตีโดยที่ไม่อยากจะเชื่อ ตอนนี้ดวงตาของเขาเบิกกว้าง มันเบิกกว้างก็เพราะความโกรธและความเกลียดชังที่ตัวเขามี ดวงตาของฮาลั่วเปลี่ยนไปจนกลายเป็นสีแดง “วันนี้จะต้องเป็นวันตายของเจ้า!”
ฮาลั่วได้กรีดร้องโหยหวนอยู่กลางท้องฟ้า อวตารราชาหมาป่าได้กลับมายืนหยัดด้วยพลังเต็มที่ ฮาลั่วได้พุ่งเข้าหาสีวู่หยาจากจุดที่อยู่สูงกว่า
ฟู่!
ด้วยความเร็วที่ฮาลั่วใช้ทำให้ตัวเขาพุ่งเข้าหาสีวู่หยามันรวดเร็วจนดูเหมือนดาวหางไป
สีวู่หยาขยับปีกเข้าหาตัวเอง มันเป็นการป้องกันตัวเองโดยใช้ปีกนั่นเอง
ตู๊ม!
สีวู่หยาถอยกลับไป เมื่อเขาป้องกันสำเร็จสีวู่หยาก็เริ่มสยายปีกออกมาอีกครั้ง
ตู๊ม! ตู๊ม! ตู๊ม!
เข็มพลังงานจำนวนมหาศาลได้พุ่งเข้าหาอวตารราชาหมาป่า
ฮาลั่วเคลื่อนที่ไปด้วยความเร็วสูงเพื่อที่จะประชิดเป้าหมายอย่างสีวู่หยาพร้อมกับพลังร่างอวตารให้ได้
“เจ้ามันก็แค่ผู้ที่มีพลังอวตารดอกบัวหกกลีบก็เท่านั้น!” ฮาลั่วเริ่มแผ่พลังลมปราณออกมาจากตัว ตัวเขาดูเหมือนจะเป็นหนึ่งเดียวกับพลังอวตารราชาหมาป่าของตัวเองไป
พลังอวตารดูเปลี่ยนแปลงไป มันดูเหมือนจะถูกปกคลุมไปด้วยเส้นต่างๆ ที่ดูคล้ายกับเส้นเลือด เส้นเลือดที่ว่ากำลังส่องแสงสีทองระยิบระยับออกมา
ตู๊ม! ตู๊ม! ตู๊ม!
ฮาลั่วสามารถป้องกันเข็มพลังงานทั้งหมดไว้ได้
ในขณะเดียวกันแม่ทัพทั้งหกก็ได้บินกลับไปยังรถม้าศึกได้
“องค์ชาย นี่จะเป็นโอกาสอันดีที่พวกเราจะโค่นสำนักอเวจีพร้อมๆ กับชนเผ่าอื่นในคราวเดียว โปรดสั่งการด้วย!” แม่ทัพทั้งหกต่างก็โค้งคำนับอย่างพร้อมเพรียง
หลิวปิงที่ได้ฟังแบบนั้นตกเข่าตัวเอง แม่ทัพทั้งหกที่เห็นแบบนั้นต่างก็สับสนจนทำอะไรไม่ถูก
หลิวปิงได้กลืนน้ำลายก่อนที่จะพูดออกมา “มองหาช่วงว่าง…และถอยกลับซะ…”
ถอย? ทำไมถึงจะต้องถอยทั้งๆ ที่ได้เปรียบขนาดนี้กัน? แม้ทัพคนอื่นๆ ถึงกับผงะ ไม่ว่าจะมองจากมุมไหนยังไงซะเหล่าทหารจากดินแดนหยานอันยิ่งใหญ่ก็จะเป็นฝ่ายที่ได้รับประโยชน์จากสถานการณ์ที่อยู่ตรงหน้า
ในเวลาเดียวกันฮาลั่วก็ได้บินเข้าหาสีวูหยาพร้อมกับพลังอวตารราชาหมาป่าของตัวเองอีกครั้ง
สีวู่หยาที่ถูกหยุดการโจมตีไว้ได้ขมวดคิ้ว ตัวเขาได้ดึงปีกเข้าหาตัวเองอีกครั้งก่อนที่จะถอยกลับไปอย่างรวดเร็ว
“ท่านสีวู่หยา!” ฮั๊วจงหยาง, ไป่ยู่ชิง, หยางเยียน และดีชิงต่างก็อุทานออกมาด้วยความตกใจ
หวืออ!
บนซากปรักหักพังของเมืองได้มีแสงสีม่วงสว่างพุ่งมา สิ่งที่พุ่งมาก็คือพลังจากลูกศรพลังงานนั่นเอง ลูกศรพลังงานมีขนาดหนาพอๆ กับลำต้นของต้นไม้ ลูกศรพลังงานขนาดใหญ่ที่ดูเหมือนกับเสาสวรรค์ได้แล่นผ่านอากาศอย่างรวดเร็ว ด้วยความใหญ่ของมันได้ทำให้ทุกคนหันไปสนใจ
ลูกศรพลังงานได้แล่นจากทางขวาก่อนที่จะไปทางซ้ายและหยุดอยู่ที่กลางหน้าผากของพลังอวตารราชาหมาป่า
ตู๊ม!
การจู่โจมของลูกศรพลังได้ผล
พลังอวตารราชาหมาป่าได้ถูกทำลายเป็นเสี่ยงๆ
ฮาลั่วที่ลอยอยู่กลางอากาศรู้ตัวทุกอย่าง ตัวเขากุมหน้าอกในขณะที่มองหาสีวู่หยาด้วยสายตาที่ไม่อยากจะเชื่อ พลังอวตารของตัวเขาถูกทำลาย ฮาลั่วเห็นชายชราคนหนึ่งยืนอยู่ที่ซากของอาคารหลังหนึ่ง
ลู่โจวลูบเคราของตัวเองในขณะที่พยายามจะเก็บคันธนู คันธนูได้หมุนวนตัวเองอยู่ที่กลางอากาศก่อนที่จะเปลี่ยนกลับไปเป็นอาวุธนิรนามอีกครั้ง อาวุธนิรนามได้ลอยเข้าไปในแขนเสื้อของลู่โจวก่อนที่มันจะหายสาบสูญไป
ดูเหมือนว่าลูกศรพลังงานเมื่อครู่จะถูกยิงโดยชายชราคนนี้ ในขณะที่ฮาลั่วมองไปที่ชายชรา ทั้งริมฝีปาก ดวงตา จมูก หรือแม้แต่ใบหูก็มีเลือดไหลริน
ติ๊ง!
เลือดของฮาลั่วหยดลงสู่พื้น
แสงแดดได้ส่องผ่านเลือดทั้งหลายที่หยดลงมา…
ในที่สุดเลือดของชนเผ่าอื่นก็ไหลริน…
“ข้าจะไม่ปล่อยให้ใครหน้าไหนรังแกศิษย์ของข้าหรอกนะ”