ผู้ส่งสารได้ออกไปอย่างนอบน้อมเหมือนกับในตอนที่ตัวเขาเดินเข้ามา
ห้องตำราได้เงียบลงอีกครั้ง
หลิวกู่กลับไปที่โต๊ะของตัวเอง ตัวเขาได้หยิบพู่กันออกมาก่อนที่จะใช้มันขีดเขียนกระดาษอย่างรุนแรง ในที่สุดพู่กันก็หักลง ตัวเขาได้ขว้างพู่กันที่หักลงบนพื้นอย่างรุนแรง
ขันทีสองคนที่ได้ยินเสียงตกใจ พวกเขารีบเดินมาที่จุดเกิดเหตุ
หลิวกู่ได้พูดออกมาอย่างไร้อารมณ์ “ทำความสะอาดซะ”
“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”
ครึ่งวันต่อมา หลิวกู่กำลังนึกถึงเรื่องราวที่ผ่านมา ในตอนนั้นผู้ส่งสารก็รีบเดินเข้ามาพร้อมกับรายงานฉุกเฉินที่อยู่ในมือ หน้าผากของผู้ส่งสารเต็มไปด้วยเหงื่อ ตัวเขาที่ถือรายงานด้วยมือทั้งสองข้างรีบคารวะหลิวกู่ “ฝ่าบาท มีรายงานจากมณฑลเหลียงพ่ะย่ะค่ะ”
“พูดมาซะ” หลิวกู่ไม่ได้สนใจที่จะอ่านรายงานเป็นการส่วนตัว
ผู้ส่งสารรีบเปิดรายงานก่อนที่จะอ่านออกมา “เมืองทั้งสิบแห่งมณฑลเหลียงได้ล่มสลายไปแล้ว ตอนนี้ทุกเมืองถูกสำนักอเวจียึดเอาไว้เป็นที่เรียบร้อย แม่ทัพเซียงลี่ได้พ่ายแพ้ให้กับการต่อสู้ องค์ชายสี่, และแม่ทัพทั้งหกต่างก็เสียชีวิตในการต่อสู้พ่ะย่ะค่ะ!”
หลิวกู่ที่ได้ฟังรายงานขมวดคิ้ว ตัวเขาไม่เคยขมวดคิ้วเมื่อหลิวหวงองค์ชายองค์ที่สองตายจากไปเลย
ผู้ส่งสารคนนี้เป็นผู้ที่เข้าเฝ้าองค์จักรพรรดิในทุกๆ วัน เพราะแบบนั้นตัวเขาจึงคุ้นเคยกับอารมณ์ที่หลิวกู่มีดี ยิ่งหลิวกู่สงบนิ่งมากเท่าไหร่ ผู้ส่งสารก็ยิ่งอึดอัดและวิตกกังวลมากขึ้นเท่านั้น ในตอนนี้อากาศรอบกายเขามันอึดอัดเหมือนเต็มไปด้วยยาพิษ ผู้ส่งสารเริ่มรู้สึกหายใจติดๆ ตัดๆ มากยิ่งขึ้น บรรยากาศในตอนนี้มันเงียบจนกระทั่งได้ยินเสียงเต้นของหัวใจตนเอง
หลังจากที่เงียบไปครู่หนึ่งหลิวกู่ก็ได้พูดออกมาอีกครั้ง “ข้าเข้าใจแล้ว”
ผู้ส่งสารที่ได้ฟังเช่นนั้นโล่งอก การที่ได้ฟังคำตอบก็ยังดีกว่าการที่ไม่ได้ฟังอะไร ตัวเขารวบรวมความกล้าก่อนที่จะพูดออกมาอีกครั้ง “ฝ่าบาท กระหม่อมมีเรื่องที่จะต้องรายงานท่านอีก”
“เรื่องอะไรกัน?”
“มีข่าวลือหนาหูจากโลกยุทธภพ มันเป็นข่าวลือเกี่ยวกับการฝึกฝนตัวเองไปสู่ขั้นที่เก้าพ่ะย่ะค่ะ”
หลิวกู่รู้สึกกังวลเล็กน้อยกับรายงานก่อนหน้านี้ แต่ในตอนนี้ดวงตาของเขากลับเบิกกว้างมากขึ้น “วิธีที่ว่าคืออะไรกัน?”
“ว่ากันว่าถ้าหากตัดดอกบัวทองคำของตนออกและสามารถเอาชีวิตรอดได้ คนคนนั้นก็จะสามารถฝึกฝนตัวเองจนไปถึงขั้นที่เก้าสำเร็จ” ผู้ส่งสารตอบกลับมา
ถ้าหากหลิวกู่เคยได้ยินรายงานเกี่ยวกับเรื่องนี้หรือมีคนบอกกับตัวเขามาก่อน คนคนนั้นจะต้องถูกตัดหัวอย่างแน่นอน แต่ในตอนนี้ตัวเขากลับเชื่อข่าวลือที่ว่า
หลังจากที่จักรพรรดิหย่งชูสิ้นพระชนม์ หลิวกู่ก็ได้ขึ้นครองบัลลังก์ ตัวเขาละเลยที่จะปกครองอาณาจักรของตนเพื่อที่จะฝึกฝนตัวเองให้ไปถึงขั้นที่เก้าได้ หลิวกู่ได้ใช้ทรัพยากรของอาณาจักรและใช้เวลาไปอีกหลายศตวรรษในการศึกษาเกี่ยวกับการฝึกฝนตน และในที่สุดตัวเขาก็พบความจริงที่ดอกบัวทองคำเป็นอุปสรรคที่คอยขัดขวางไม่ให้ผู้ฝึกยุทธฝึกฝนตัวเองให้ไปถึงขั้นที่เก้าได้ หลิวกู่ได้ลองวิธีต่างๆ ทั้งการใช้พลังผนึกมนตราเพื่อผนึกดอกบัวทองคำรวมไปถึงคิดวิธีการดัดแปลงดอกบัวทองคำก็ตาม หลิวกู่ยังเคยคิดที่จะตัดดอกบัวทองคำออกอีกด้วย แต่ถึงแบบนั้นตัวเขาก็ทิ้งความคิดที่ว่าไป แต่ในตอนนี้กลับมีข่าวลือเกี่ยวกับการตัดดอกบัวทองคำแพร่ไปทั่วยุทธภพ ถ้าหากไม่มีลมย่อมเป็นไปไม่ได้เลยที่จะมีคลื่น มันจะต้องมีเหตุผลสำหรับเรื่องนี้
“ใครเป็นผู้ปล่อยข่าวลือนี้กัน?” หลิวกู่ได้ถามออกมา
“มันเริ่มต้นมาจากข่าวลือที่ถูกเผยแพร่ใกล้ๆ กับเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ ข่าวลือที่ว่าได้กระจายไปทั่วเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์โดยใช้เวลาทั้งหมดเพียงแค่ครึ่งวันเท่านั้น แต่อย่างไรก็ตามก็ยังมีอีกหลายคนที่ไม่เชื่อข่าวลือ ฝ่าบาททรงพิจารณาเกี่ยวกับเรื่องนี้ตลอดทั้งวันทั้งคืน หม่อมฉันก็เลยไม่กล้ารอช้าที่จะนำข่าวลือมาบอกกับฝ่าบาท” ผู้ส่งสารพูดเสริม
“มีใครได้ทดลองรึยัง?” หลิวกู่ถามกลับมา
ผู้ส่งสารส่ายหัว
หลิวกู่ได้กลับไปใช้ความคิดของตัวเองอีกครั้ง
ผู้ส่งสารไม่กล้าที่จะขยับหรือพูดจาอะไรออกมา
วิธีการตัดดอกบัวทองคำเป็นวิธีที่ไม่ต่างจากการฆ่าตัวตาย มันเป็นเรื่องปกติที่จะไม่มีใครคิดทำ
หลิวกู่ใช้เวลาหลายปีไปกับการค้นคว้าเรื่องนี้ ตัวเขาจำไม่ได้แล้วว่าได้สูญเสียผู้ฝึกยุทธที่มีพลังขั้นมหาภัยพิบัติศักดิ์สิทธิ์ไปในระหว่างการทำการทดลอง หนังสือที่อยู่บนชั้นด้านหลังหลิวกู่เป็นรายชื่อของผู้เสียชีวิตทั้งหมดที่ข้องเกี่ยวกับการทดลอง
เนื่องจากมีผู้ฝึกยุทธที่อยู่ในขั้นมหาภัยพิบัติศักดิ์สิทธิ์เพิ่มจำนวนขึ้นมา เป็นธรรมดาที่ผู้ฝึกยุทธที่จะฝึกฝนไปถึงขั้นมหาภัยพิบัติศักดิ์สิทธิ์ได้จึงมีมากขึ้นไปด้วยในเวลาที่ผ่านมา แต่ถึงแบบนั้นก็ไม่ใช่สำหรับทุกคนที่จะฝึกฝนตัวเองจนไปถึงขั้นที่แปดได้ และแน่นอนว่าขั้นที่เก้าเองก็เช่นกัน
หลังจากที่ครุ่นคิดไปชั่วครู่ในที่สุดหลิวกู่ก็ได้พูดออกมา “ถ่ายทอดคำสั่งของข้า รวบรวมคน 100 คนที่เต็มใจจะตัดดอกบัวทองคำของตัวเองมาซะ”
“น้อมรับคำสั่งฝ่าบาท”
การหาคนเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องยาก ดินแดนหยานอันยิ่งใหญ่ไม่ใช่ดินแดนที่ขาดแคลนชาวเมืองเลย ผู้ที่มีพลังอวตารดอกบัว 1 กลีบเองก็สามารถเข้าร่วมได้เช่นกัน ไม่จำเป็นเลยที่จะต้องเป็นยอดฝีมือผู้ที่มีพลังอวตารดอกบัวแปดกลีบ
เป็นธรรมดาที่ผู้ฝึกยุทธทั่วไปจะไม่เต็มใจตัดดอกบัวทองคำของตนเอง แต่ในโลกใบนี้ก็ยังมีอีกหลายคนที่ใกล้ที่จะถึงแก่ความตายเต็มที ยกตัวอย่างเช่นชายชราผู้ที่มีอายุขัยใกล้หมดลง, ผู้ฝึกยุทธที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสหรือแม้แต่กระทั่งผู้ฝึกยุทธที่ไม่เหลืออะไรในชีวิตอีกต่อไป แทนที่จะยอมตายไปอย่างไร้เหตุผล สู้ให้คนเหล่านี้ยอมตายเพื่อฝึกฝนตัวเองไปสู่ขั้นที่เก้าให้ได้จะดีกว่า ตราบเท่าที่มีรางวัลมากพอ ย่อมที่จะมีผู้กล้าหาญยอมทำแน่
หลังจากที่ผู้ส่งสารเดินจากหลิวกู่ไป ในตอนนั้นหลิวกู่ก็ได้ยกมือข้างหนึ่งออกมา พลังอวตารร้อยวิถีขนาดได้ปรากฏตัวขึ้นบนฝ่ามือ มันยืนอยู่บนดอกบัวทองคำที่มีกลีบดอกบัวแปดกลีบด้วยกัน กลีบดอกบัวทั้งแปดดูอวบอิ่มสมบูรณ์แบบ มันได้ส่องแสงรัศมีดอกบัวออกมาอย่างระยิบระยับ
ดวงตาของหลิวกู่ดูเป็นประกาย ถ้าหากการตัดดอกบัวทองคำได้ผล มันก็หมายความว่าตัวเขาจะต้องละทิ้งพลังทั้งหมดในขั้นที่แปดก่อนที่จะเริ่มต้นฝึกฝนตัวเองใหม่ หลิวกู่กำลังสงสัยว่าตัวเขาจะสามารถฝึกฝนตัวเองใหม่ได้อีกครั้งไหม
…
เมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์เป็นใจกลางของดินแดนหยานอันยิ่งใหญ่
มีผู้ฝึกยุทธมากมายหลายคนได้มารวมตัวกันอยู่ที่เมืองแห่งนี้ และก็ยังมีผู้ฝึกยุทธบางส่วนท่องเที่ยวอยู่ทั้งเก้ามณฑลของดินแดนหยานอันยิ่งใหญ่
ข่าวลือเกี่ยวกับการตัดดอกบัวทองคำได้แพร่กระจายไปทั่วราวกับไฟป่า ด้วยข่าวลือนี้เองได้ทำให้โลกยุทธภพเกิดความสับสนครั้งใหญ่
ทั้งสำนักฝ่ายธรรมและสำนักฝ่ายอธรรมต่างก็แข่งขันกันเพื่อที่จะหาวิธีฝึกฝนตัวเองจนไปถึงขั้นที่เก้ามาโดยตลอด หลังจากที่ข่าวลือแพร่สะพัดไปไม่นาน ก็มีผู้คนแบ่งตัวเองออกเป็นสามกลุ่ม กลุ่มแรกเป็นกลุ่มที่คิดว่าเรื่องนี้เป็นเท็จ กลุ่มที่สองเป็นกลุ่มที่เชื่ออย่างหมดใจ และกลุ่มสุดท้ายก็คือกลุ่มที่กำลังไตร่ตรองให้ดี
ข่าวลือนี้ได้แพร่ไปถึงสำนักอเวจีด้วยเช่นกัน
ฮั๊วจงหยาง, ไป่ยู่ชิง, หยางเยียน และดีชิงกำลังมารวมตัวกัน ที่ด้าหน้าของพวกเขามียู่เฉิงไห่ที่กำลังเดินไปเดินมาอยู่
“ได้โปรดยกโทษให้พวกเราด้วยท่านเจ้าสำนัก! พวกเราไม่อาจหยุดยั้งท่านสีวู่หยาได้!” ฮั๊วจงหยางเป็นคนแรกที่คุกเข่าลง
“โปรดลงโทษพวกเราด้วยท่านเจ้าสำนัก!” อีกสามคนที่เหลือได้คุกเข่าตามเช่นกัน
สำนักอเวจีได้เอาชนะศึกของมณฑลเหลียง ชัยชนะที่พวกเขาได้รับมาทั้งสวยงามและยอดเยี่ยมเป็นที่สุด ในตอนนี้เมืองทั้งสิบของมณฑลเหลียงได้อยู่ภายใต้การควบคุมของสำนักอเวจีเป็นที่เรียบร้อย แต่อย่างไรก็ตามยู่เฉิงไห่ก็ไม่ได้รู้สึกมีความสุขเลย สีหน้าของเขายังดูเคร่งขรึม และตัวเขาก็ยังขมวดคิ้วอยู่เป็นระยะๆ ตัวเขาจ้องมองไปที่ลูกน้องทั้งสี่คนที่กำลังคุกเข่าอยู่ แม้ว่ามันจะเป็นความเสียหายครั้งยิ่งใหญ่แต่ตัวเขาก็ยังไม่สามารถที่จะลงโทษเหล่าสุดยอดผู้พิทักษ์ได้ ในที่สุดยู่เฉิงไห่ก็ได้ต่อยกำแพงเพื่อที่จะระบายความคับแค้นใจ
ตู๊ม!
ยู่เฉิงไห่ไม่ได้ใช้พลังลมปราณแต่อย่างใด ตัวเขาอาศัยเพียงพละกำลังกายเพียงอย่างเดียวเท่านั้น กำแพงที่ถูกกำปั้นเข้าชนได้พังทลายไม่เหลือชิ้นดี สีหน้าของยู่เฉิงไห่ยังคงดูมืดมน “ถ้าหากไม่มีศิษย์น้องเจ็ด แล้วข้าจะรวบรวมดินแดนทั้งหมดด้วยตัวคนเดียวได้ยังไงกัน? แล้วข่าวลือเกี่ยวกับการตัดดอกบัวทองคำที่เป็นเหมือนข่าวโง่ๆ นั่นจะเชื่อถือได้ไหม?”
สุดยอดผู้พิทักษ์ทั้งสี่ยังคงคุกเข่าอยู่บนพื้น พวกเขาไม่กล้าแม้แต่จะส่งเสียงหายใจดังๆ ออกมา
หลังจากที่เงียบไปครู่หนึ่งฮั๊วจงหยางก็เป็นฝ่ายเริ่มพูดขึ้น “ท่านสีวู่หยายืนกรานที่จะกลับไปยังศาลาปีศาจลอยฟ้า พวกเราไม่สามารถที่จะหยุดยั้งอะไรเขาได้ ยิ่งไปกว่านั้นพลังวรยุทธที่ท่านผู้อาวุโสมีก็ยังลึกล้ำจนน่ากลัว แม้แต่ยอดฝีมืออย่างเซียงลี่เองก็ไม่อาจเอาตัวรอดจากการโจมตีเพียงครั้งเดียวของท่านผู้อาวุโสได้”
“พวกเจ้าลุกขึ้นเถอะ” ยู่เฉิงไห่หันกลับมา
ทั้งสี่คนลุกขึ้น
ยู่เฉิงไห่ถอนหายใจก่อนที่จะพูดออกมา “เนื่องจากเขายืนกรานที่จะกลับไป พวกเราก็ควรจะเคารพการตัดสินใจเขา” สีวู่หยาตั้งใจที่จะทำอะไรกัน? หรือว่าศาลาปีศาจลอยฟ้าจะรีบมาเพื่อพาตัวสีวู่หยากลับกัน?
“เจ้าสำนัก พวกเราจะทำอะไรกันต่อ?” ฮั๊วจงหยางได้ถามออกมา
“ศิษย์น้องเจ็ดได้วางแผนที่จะทำให้เมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์โดดเดี่ยวเอาไว้แล้ว ตัวเขาได้จำลองสถานการณ์ต่างๆ ที่จะเป็นไปได้ขึ้นมา ไม่ว่าพวกราชวงศ์จะใช้แผนการไหน ตราบใดที่พวกเราทำตามแผนที่มี สำนักอเวจีของพวกเราก็จะพิชิตเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ได้แน่” ยู่เฉิงไห่พูดออกมา
เมื่อได้ยินเช่นนั้นฮั๊วจงหยางก็ได้ถอนหายใจออกมา “ท่านสีวู่หยาเป็นเหมือนกับสมบัติล้ำค่าของสำนักเราจริงๆ ช่างน่าเสียดายอะไรเช่นนี้…”
ทั้งสามคนที่เหลือก็ส่ายหัวเช่นกัน
…
ฮัดชิ้ว!
บางทีอาจจะเป็นเพราะลมหนาวที่พัดเข้ามาในถ้ำแห่งเงาสะท้อน สีวู่หยาที่ถูกผนึกพลังวรยุทธเอาไว้ได้จามออกมา
ซู่ฮ่องกงเป็นผู้เตรียมชุดสำหรับสีวู่หยา ตัวเขาได้นวดไหล่ให้กับผู้เป็นศิษย์พี่ก่อนที่จะถามออกมาด้วยเสียงหัวเราะ “ศิษย์พี่เจ็ด ทำไมท่านไม่ยอมเปิดเผยตำแหน่งคริสตัลให้กับท่านอาจารย์กันล่ะ?”
สีวู่หยาเหลือบมองไปที่ซู่ฮ่องกงก่อนที่จะถามออกมา “ท่านอาจารย์ส่งเจ้ามาล้วงข้อมูลจากข้าอย่างงั้นสินะ?”
“ศิษย์พี่เจ็ด ด้วยสมองที่ข้ามีท่านคิดท่าท่านอาจารย์จะใช้งานข้าจริงๆ อย่างงั้นหรอ? ถ้าหากท่านอาจารย์อยากที่จะส่งใครสักคนมาจริงๆ ตัวเขาก็คงจะส่งศิษย์พี่สี่มาแล้ว” ซู่ฮ่องกงตอบกลับมา
“เจ้าเพิ่งจะกลับมาที่ศาลาปีศาจลอยฟ้าได้ไม่นาน แต่ดูเหมือนว่าทักษะการประจบเจ้าจะเพิ่มขึ้นมากเลยนะ”
“ศิษย์พี่ ข้าไม่เห็นด้วยกับคำพูดท่านหรอกนะ ท่านจะถือเอาทักษะการประจบเป็นคำพูดที่จริงใจไปได้ยังไงกัน? ท่านพูดดูถูกข้าจริงๆ” ซู่ฮ่องกงตอบกลับมา
“…” เป็นธรรมดาที่สีวู่หยาไม่เชื่อซู่ฮ่องกง แต่ซู่ฮ่องกงจะไปหลอกลวงตัวเขาได้ยังไงกัน “พอได้แล้ว สิ่งเดียวที่ข้ารู้มีเพียงคริสตัลนั่นได้อยู่ที่หรงซี มันไม่ได้อยู่ในดินแดนหยานอันยิ่งใหญ่แห่งนี้”