ถ้าหากจะพูดว่าพลังวิเศษจากเคล็ดวิชาอักษรสวรรค์พลังที่สี่เป็นเหมือนกับพลังแห่งการรักษามันก็ไม่ใช่เรื่องผิดเลย แต่พลังในการเยียวยาและการฟื้นฟูร่างกายของมันใช้ได้ผลดีกว่าเมื่อเทียบกับวิชาแห่งการรักษาทั่วๆ ไป
ลู่โจวพยักหน้าของตัวเองอย่างพึงพอใจหลังจากที่ยืนยันสิ่งที่ตัวเองได้คาดเดาเอาไว้ได้
‘แล้วเคล็ดวิชาอักษรสวรรค์จะมีพลังอีกไหม?’ ลู่โจวได้คิดในขณะที่กลับไปยังศาลาทางตะวันออกเพื่อที่จะดูภาพวาดเก่าแก่ เมื่อเดินมาถึงลู่โจวก็ต้องตกใจ ตัวเขาพบมณฑลทั้งเก้าปรากฏขึ้นบนภาพวาดอันเก่าแก่
มณฑลยี่ที่อยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้, มณฑลชิงและมณฑลหยางจากทางทิศตะวันตก, มณฑลจี้แหละมณฑลหยานจากทางตอนเหนือ, มณฑลยงจากทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ, มณฑลเหลียงจากทางทิศตะวันตก และท้ายที่สุดมณฑลยู่และมณฑลจิ่งจากภาคกลาง แผนที่ของมณฑลทั้งเก้าได้ปรากฏขึ้นอยู่ตรงหน้าลู่โจวแล้ว
‘นี่มัน…เป็นคำใบ้ว่าเคล็ดวิชาอักษรสวรรค์ส่วนต่อไปจะกระจัดกระจายอยู่ทั่วมณฑลทั้งเก้าอย่างงั้นเหรอ?’
พื้นที่เก้ามณฑลที่ครอบคลุมทั้งหมดเป็นพื้นที่ที่กว้างใหญ่มาก ถ้าหากลู่โจวไม่มีรถม้าลอยฟ้าหรือสัตว์ขี่อย่างบี่เอี๊ยนการที่จะขึ้นสวรรค์คงง่ายกว่าการเดินทางไปทั่วทุกมณฑล
ลู่โจวคงจะไม่มีปัญหาอะไรมากถ้าหากตัวเขาเดินทางไปยังดินแดนที่เป็นถิ่นฐานของมนุษย์ มันจะเป็นอันตรายอย่างมากเมื่อตัวเขาเหยียบย่างเข้าไปในพื้นที่ที่ไม่มีคนอยู่อาศัยอย่างเช่นป่าและทะเลทราย แม้แต่ยู่ฉางตงผู้ที่มีพลังวรยุทธลึกล้ำเองก็ยังได้ใช้เวลานานกว่าที่จะไปหุบเขาวู่เซียนด้วยดาบของตน
ส่วนอื่นๆ ของภาพวาดเก่าแก่ยังคงว่างเปล่าอยู่
เมื่อดูจากผังที่ดินแล้วลู่โจวก็บอกได้ว่ามันคือหรงซีที่อยู่ทางทิศตะวันตกและหรงเป่ยที่อยู่ทางทิศเหนือ มันเป็นดินแดนของชนเผ่าอื่น
ลู่โจวยังคงศึกษาภาพวาดเก่าแก่ต่อไป มันเป็นภาพวาดที่ใหญ่กว่าที่ลู่โจวได้คิดเอาไว้มาก โต๊ะของเขาแทบที่จะไม่สามารถรองรับภาพวาดเก่าแก่นี้ได้เลย ลู่โจวอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วเมื่อจ้องมองไปที่สถานที่ว่างเปล่าอีกหลายส่วน “สถานที่พวกนี้คืออะไรกัน?” แม้แต่จีเทียนเด๋าเองก็ยังไม่เคยไปไกลถึงหรงซีและหรงเป่ย ส่วนใหญ่แล้วจีเทียนเด๋าอยู่ในดินแดนหยานมาโดยตลอด จีเทียนเด๋าไม่ได้รู้อะไรมากมายเกี่ยวกับดินแดนอื่นอย่างหรงซีและหรงเป่ยเลย
ผ่านไปครู่หนึ่งลู่โจวก็ได้ละสายตาจากภาพวาดเก่าแก่ไป ตัวเขานึกถึงคำพูดจองสีวู่หยาก่อนที่จะพูดพึมพำกับตัวเอง ‘ผู้ชายคนนี้ไม่สามารถไว้ใจเลยได้จริงๆ’
“มีใครอยู่ข้างนอกไหม?”
พรึ๊บ!
ใครคนหนึ่งได้ปรากฏขึ้นด้านนอกศาลาทางตะวันออก
“ท่านอาจารย์มีอะไรหรอคะ?” หยวนเอ๋อเป็นผู้ที่ปรากฏตัวขึ้น
“ส่งจดหมายหาหมิงซี่หยินซะ บอกให้เขาตรวจสอบสำนักแห่งความมืด” ลู่โจวได้สั่งการออกมา
“ค่ะ…แต่พวกเราจะหาสมาชิกสำนักแห่งความมืดเจอได้ยังไงกัน?” หยวนเอ๋อที่ถามออกมาได้เกาหัว
“ไปที่ถ้ำแห่งเงาสะท้อนซะ”
“เข้าใจแล้วค่ะ!” หยวนเอ๋อได้หันหลังกลับก่อนที่จะเดินจากไป
…
ในขณะเดียวกันที่หน้าถ้ำนักปราชญ์แห่งสำนักต้วนหลิน
เหล่าสาวกต้วนหลินหลายคนต่างก็กำลังคำนับอะไรบางอย่างอยู่ที่ปากถ้ำ ทุกคนต่างก็พูดออกมาด้วยเสียงดังฟังชัด “ยินดีต้อนรับกลับท่านปรมาจารย์!”
ครื๊ดดด!
ประตูหินถูกเลื่อนเปิดออก ชายชราที่มีผมเฒ่าสีขาวได้เดินออกมาจากถ้ำนักปราชญ์ ชายคนนี้ไม่ได้ดูกระฉับกระเฉงแต่อย่างใด ตัวเขาดูเหนื่อยล้าซะด้วยซ้ำ แต่ถึงแบบนั้นตัวเขาก็ยังมีสายตาที่เฉียบคม ไม่มีใครกล้าที่จะสงสัยในสถานะและสง่าราศีของเขา ชายชราคนนี้ไม่ใช่ใครอื่น เขาก็คือปรมาจารย์แห่งสำนักต้วนหลินฉางยานนั่นเอง “ข้ารู้เรื่องของฉางเจียนแล้ว”
ในตอนนั้นเองศิษย์คนแรกอย่างเชาจินหานก็ได้ก้าวไปข้างหน้าก่อนที่จะพูดออกมาอย่างเศร้าโศก “ท่านปรมาจารย์ ศาลาปีศาจลอยฟ้ากำลังได้ใจจนเกินไป! ดาบปีศาจยู่ฉางตงได้ข้ามคู่น้ำสวรรค์มาก่อนที่จะสังหารเจ้าสำนักไป นอกจากนี้ยังมีผู้อาวุโสสูงสุดแห่งสำนักเซียนสวรรค์, ผู้อาวุโสสูงสุดของสำนักเฮ้งชู, เจ้าอาวาสจากวิหารแห่งความโชคดี และคนอื่นๆ อีกมากมายหลายคนต่างก็ถูกยู่ฉางตงสังหาร…ตราบใดที่ศาลาปีศาจลอยฟ้ายังไม่ถูกทำลาย โลกยุทธภพของเราก็คงจะอยู่ไม่สุขแน่ พวกเราไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องให้ท่านปรมาจารย์ออกจากการเก็บตัวฝึกฝนมา ท่านปรมาจารย์!”
ฉางยานมองไปที่ทุกๆ คนก่อนที่จะถามออกมา “ศาลาปีศาจลอยฟ้าอย่างงั้นเหรอ? ตาแก่จียังไม่ตายอีกอย่างงั้นเหรอ?”
เชาจินหานเล่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เพิ่งจะเกิดขึ้นในเร็วๆ นี้กับฉางยาน ตัวเขาแน่ใจมากว่าข่าวลือที่ยู่ฉางตงได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการต่อสู้กับจางหยวนฉานรวมไปถึงเรื่องของการเหี่ยวเฉาของพืชพรรณบนภูเขาทองเป็นเรื่องจริง
เมื่อได้ยินคำพูดของเชาจินหาน ฉางยานก็ได้ขมวดคิ้วเล็กน้อย “ขีดจำกัดอันยิ่งใหญ่ของตาแก่จีนั่นใกล้เข้ามาแล้ว เขายังรักษาพลังวรยุทธให้อยู่ในจุดสูงสุดเหมือนเดิมได้ยังไงกัน?”
“ตาแก่นั่นได้ซึมซับม่านพลังของภูเขาทองไปก็เพื่อที่จะรักษาความแข็งแกร่งของตัวเองเอาไว้ จนถึงตอนนี้ม่านพลังได้หายไปแล้ว เจ็ดสำนักใหญ่กำลังก่อตั้งพันธมิตรกำจัดปีศาจ ตราบใดที่การเตรียมพร้อมเสร็จสิ้น เมื่อนั้นโอกาสที่จะโค่นล้มศาลาปีศาจลอยฟ้าได้ก็จะมาถึง” เชาจินหานได้พูดออกมา
ฉางยานส่ายหัวก่อนที่จะตอบกลับมา “ข้าได้ยินมาว่าสิบสำนักใหญ่เคยล้อมภูเขาทองมาถึงสองครั้งสองคราแล้ว แต่ถึงแบบนั้นพวกเขาก็ทำไม่สำเร็จในทุกครั้งไป”
“ท่านปรมาจารย์ พวกเขาก็แค่คำนวณอะไรผิดในการโจมตีสองครั้งแรก คราวนี้พันธมิตรที่ถูกสร้างขึ้นได้ใช้เวลาในการเตรียมตัวที่มากพอ…นี่เป็นโอกาสอันดีสำหรับพวกเราที่จะได้แสดงความแข็งแกร่งให้กับโลกยุทธภพ!” เชาจินหานได้พูดออกมา เมื่อได้ฟังแบบนั้นปรมาจารย์แห่งสำนักต้วนหลินยังฟังดูไม่สะทกสะท้านอะไร เชาจินหานจึงได้พูดเสริมขึ้น “หรือว่าพวกเราจะปล่อยให้การตายของท่านเจ้าสำนักต้องสูญเปล่าไปโดยที่ไม่ได้ล้างแค้นเลยอย่างงั้นเหรอครับ?”
ฉางยานเห็นด้วยกับคำพูดของเชาจินหานดี ชีวิตแลกชีวิต นี่เป็นวิถีดั้งเดิมที่มีมาตั้งแต่สมัยโบราณกาล
ฉางยานไม่สามารถปล่อยผ่านเหตุการณ์ในอดีตได้ อย่างไรก็ตามโลกยุทธภพก็ยังมีกฎเกณฑ์เป็นของตัวเอง มันมีวิธีการเอาตัวรอดที่เหมาะสมที่เคยเป็นมา แต่สำหรับฉางยานในตอนนี้…ตัวเขาจะทำอะไรได้บ้าง?
ฉางยานถอนหายใจออกมาเบาๆ “พลังวรยุทธของข้าที่มีได้ถดถอยจนกลับกลายเป็นขั้นที่สองแล้ว ในตอนนี้ศิษย์สาวกของศาลาปีศาจลอยฟ้ามีความสามารถสูงส่ง ลำพังพวกเราจะไปยืนหยัดต่อสู้กับเจ้าพวกนั้นได้ยังไงกัน?”
“ท่านปรมาจารย์ ได้โปรดดูสิ่งนี้ก่อนเถอะ” เชาจินฉานได้ใช้มือของตัวเองชี้ไปยังอีกทิศทางหนึ่ง
สาวกทั้งสองคนได้แบกของบางอย่างมาจากด้านหลังฝูงชน มันเป็นอะไรบางอย่างที่ถูกคลุมด้วยผ้าสีแดง
เชาจินหานเป็นผู้ที่เปิดผ้าคลุมออกมา ขวดของเหลวอะไรบางอย่างได้อยู่ต่อหน้าของปรมาจารย์แห่งสำนักต้วนหลินจนหมดแล้ว
“ของพวกนี้มันคืออะไรกัน?” ฉางยานขมวดคิ้ว
“ยาเพิ่มพลังปีศาจ!”
“…” ฉางยานเป็นคนเดียวที่ตกใจ ทุกๆ คนที่อยู่ตรงนั้นต่างก็ดูสงบเช่นเดิม
ยาเพิ่มปีศาจเป็นยาที่สามารถพลังลมปราณ มันเป็นยาที่ถูกห้ามใช้ในโลกยุทธภพ การดื่มยาเพิ่มพลังปีศาจจะทำให้ผู้ที่ดื่มมันมีพลังวรยุทธเพิ่มไปถึงจุดสูงสุด แต่ผลเสียที่ตามมามันก็เลวร้ายด้วยเช่นกัน ผู้ที่มีจิตใจอ่อนแอจะถูกผลทางด้านลบของยากัดกิน ท้ายที่สุดแล้วคนคนนั้นก็จะสูญเสียสติก่อนจะกลับกลายเป็นคนที่บ้าคลั่งไป เมื่อยาหมดฤทธิ์ผู้ใช้จะรู้สึกอ่อนเพลียอย่างมาก นอกจากนี้ยังมีความเป็นไปได้สูงที่พลังวรยุทธของผู้ที่ดื่มยาจะถดถอยลง ผลข้างเคียงในการใช้ของมันมีมากเกินกว่าที่จะเมินเฉยได้
ฉางยานมองไปที่ยาเพิ่มพลังปีศาจด้วยสายตาอันซับซ้อน ตัวเขาได้พูดออกมาด้วยน้ำเสียงอันหนักแน่น “เจ้ากล้าดียังไงกัน!?” การใช้ยาเพิ่มพลังปีศาจมันก็ไม่ต่างอะไรกับการขอให้ฉางยานสละชีวิตของตัวเองไป
เชาจินหานคุกเข่าลงในทันที
สาวกคนอื่นๆ เองก็เช่นกัน
“ท่านปรมาจารย์ พวกเราไม่มีทางเลือกอื่น! พวกเรายินดีที่จะยอมรับการลงโทษแต่โดยดี! แต่เพื่อสาวกทั้งหมดในสำนัก ท่านปรมาจารย์ได้โปรดคิดทบทวนด้วย!” เชาจินหานใช้ศีรษะของตัวเองโขกลงกับพื้นไปสามครั้ง เสียงของศีรษะที่โขกเข้ากับพื้นได้ดังสนั่นไปทั่ว
คนอื่นๆ เองก็โค้งคำนับเช่นกัน
สายตาของสาวกกว่าหลายร้อยคนที่โค้งคำนับต่างก็เปี่ยมไปด้วยความคาดหวัง
เสียงศีรษะที่โขกกับพื้นได้ดังไปสำนักต้วนหลิน
ใบหน้าที่เหี่ยวเฉาของฉางยานกระตุก เกิดความคิดอันซับซ้อนขึ้นในใจของตัวเขา อันที่จริงแล้วขีดจำกัดอันยิ่งใหญ่ของฉางยานก็เข้ามาใกล้เต็มที อันที่จริงตัวเขาควรที่จะใช้เวลาที่เหลืออยู่ในถ้ำนักปราชญ์เพื่อที่จะใช้เวลาทั้งหมดไปกับการดูแลร่างกายตัวเอง เมื่อถึงเวลาที่ขีดจำกัดเข้ามาถึง ตัวเขาก็จะถูกฝังด้วยพิธีกรรมอันยิ่งใหญ่ของสำนักต้วนหลิน หลังจากนั้นตัวเขาก็จะหลุดพ้นจากพันธนาการแห่งชีวิตนี้ แต่อย่างไรก็ตามฉางยานก็อยู่ไม่สุขกับการตายของฉานเจียนเช่นกัน
ฉางยานเข้าใจสิ่งที่เชาจินหานที่จะสื่อดี ทุกคนเกิดมาล้วนต้องตาย อันที่จริงแล้วเวลาของตัวเขาก็ใกล้ที่จะมาถึงเต็มทีแล้ว เหตุใดจึงไม่ใช้โอกาสนี้แก้แค้นและสร้างโอกาสให้กับคนรุ่นหลังก่อน อันที่จริงแล้วในตอนแรกที่ฉางยานรู้ถึงการตายของฉางเจียนตัวเขาก็คิดถึงเรื่องนี้เช่นกัน แต่ยังไงซะฉางยานก็ไม่กล้าที่จะตัดสินใจ ตัวเขาพบว่าตัวเองอยู่ในสถานะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกเมื่อได้มองดูเหล่าสาวกกำลังคุกเข่าอ้อนวอน ในที่สุดตัวเขาก็ได้พูดออกมาด้วยน้ำเสียงอันหนักแน่น “พอได้แล้ว”
ทุกคนหยุดการเคลื่อนไหวในทันที
ฉางยานได้โบกมือของตัวเอง ในตอนนั้นเองขวดใบหนึ่งก็ได้ลอยเข้าหามือเขา “ข้าจะพิจารณาสิ่งที่พวกเจ้าพูดเอง…แต่…” ฉางยานหยุดพูดไปก่อนที่จะพูดต่อ “พวกเราจะต้องระวังให้มากถ้าหากจะต่อกรกับศาลาปีศาจลอยฟ้า ท้ายที่สุดแล้วสำนักต้วนหลินของพวกเราก็ไม่ได้เหมือนกับสำนักใหญ่”
เชาจินหานดูมีความสุขมาก ตัวเขาได้ตอบกลับมาในทันที “อย่ากังวลไปเลยท่านปรมาจารย์ พันธมิตรกำจัดปีศาจได้วางแผนทุกอย่างเอาไว้แล้ว พวกเราจะต้องทำมันสำเร็จแน่ เมื่อถึงเวลาต่อสู้จริงๆ ท่านปรมาจารย์อาจจะไม่ต้องพึ่งพายาเพิ่มพลังปีศาจซะด้วยซ้ำ”
ฉางยานเหลือบมองไปที่เชาจินหาน ตัวเขาได้โบกแขนเสื้อก่อนที่จะเดินกลับไปในถ้ำโดยที่ไม่ได้พูดอะไร
“ท่านปรมาจารย์ดูแลตัวเองด้วย”