‘หายใจเข้าลึกๆ อย่าเพิ่งโกรธไป’ ลู่โจวสูดหายใจเข้าลึกๆ ตัวเขารู้สึกสงบมากขึ้นกว่าเดิม บางทีมันอาจเป็นเพราะตัวเขามาต่างโลกมาเป็นเวลานานแล้ว ในตอนแรกลู่โจวตั้งใจที่จะสวมบทบาทเป็นจีเทียนเด๋าเพื่อปกป้องตัวเอง แต่เมื่อเวลาผ่านไปสุดท้ายแล้วก็เป็นลู่โจวเองที่ได้รับผลกระทบจากตัวตนเดิมของจีเทียนเด๋าไป
ลู่โจวเหลือบมองของในเมนูร้านค้า ในตอนนี้ไม่มีอะไรที่ตัวเขาสามารถซื้อได้อีกต่อไป ดังนั้นลู่โจวจึงเริ่มทำสมาธิต่อไป
…
เช้าวันรุ่งขึ้น
ลู่โจวได้ออกมาจากศาลาทางตะวันออกเช่นเคย มันเป็นการยืดเส้นยืดสายประจำวันนั่นเอง
“ท่านอาจารย์ ท่านอาจารย์คะ…” หยวนเอ๋อได้ร้องเรียกลู่โจวในขณะที่นางกำลังวิ่ง
ลู่โจวที่ได้เห็นแบบนั้นขมวดคิ้วเล็กน้อย “เจ้าคิดว่าข้าไม่ได้ยินรึไงกัน?”
“เออ…ศิษย์ไม่เคยคิดแบบนั้น” หยวนเอ๋อก้มหน้าลงอย่างเชื่อฟัง
“แล้วมีอะไรกันล่ะ?” ลู่โจวได้ถามออกมา มือทั้งสองข้างของตัวเขากลับมาไขว้หลังอีกครั้ง สีหน้าท่าทางของเขาดูว่างเปล่าเช่นเคย
“ศิษย์พี่เจ็ดอยากที่จะพบท่านค่ะ…เขาบอกว่ามีอะไรบางอย่างต้องการคุยกับท่าน” หยวนเอ๋อรีบพูดเข้าเรื่องในทันที
‘ศิษย์คนนั้นไม่เปลี่ยนแปลงไปเลย หลังจากที่ทุกข์ทรมานในที่สุดเจ้านั่นก็เต็มใจที่จะเปิดเผยสิ่งที่รู้แล้วสินะ?’
ยิ่งมีปัญญาที่ฉลาดหลักแหลมก็ยิ่งจะหยิ่งผยอง ถ้าหากจะทำให้ผู้ที่ฉลาดหลักแหลมยอมจำนน มีแต่จะต้องเอาชนะผู้ที่ฉลาดหลักแหลมคนนั้นด้วยสิ่งที่เขาเชี่ยวชาญ เป็นธรรมดาที่ลู่โจวจะรู้เรื่องนี้ ‘ฉันอยากจะรู้จริงๆ ว่าเจ้านั่นจะมีข้อมูลอะไรบ้าง’
“พาเจ้านั่นมาซะ”
“ค่ะ” หยวนเอ๋อรีบวิ่งกลับไป นางกำลังมุ่งหน้ากลับไปที่ถ้ำแห่งเงาสะท้อน
ไม่นานนักหยวนเอ๋อก็ได้พาสีวู่หยามาที่ศาลาทางตะวันออก
เมื่อสีวู่หยามาถึง ตัวเขาก็ได้เห็นผู้เป็นอาจารย์ของตนยืนอยู่บนด้านบนสุดของบันไดด้วยท่าทีที่เงียบสงบ สีวู่หยารีบคุกเข่าทำความเคารพในทันที “ศิษย์ไม่รักดีสีวู่หยาคนนี้ขอทักทายท่านอาจารย์”
ลู่โจวมองดูสีวู่หยาก่อนที่จะตอบกลับมา “ลุกขึ้นและพูดซะ”
“ขอบคุณท่านอาจารย์”
เมื่อสีวู่หยาลุกขึ้น ลู่โจวก็สังเกตเห็นถึงอาการเหนื่อยล้า สีวู่หยาดูเหนื่อยล้ากว่าปกติ ผมของเขายุ่งเหยิง ที่รอบดวงตามีรอยคล้ำดูเด่นชัด ‘ศิษย์ไม่รักดีนี่หมกมุ่นอยู่กับโจทย์ปัญหาทางคณิตศาสตร์อย่างงั้นเหรอ?’ สุดท้ายลู่โจวก็ได้ถามออกมา “เจ้าแก้โจทย์ปัญหานั่นได้แล้วเหรอ?”
“ข้าละอายใจ…ข้า…ข้าไม่ได้คาดคิดว่าคำถามนั่นมันจะลึกล้ำขนาดนี้” สีวู่หยารู้สึกอับอาย
‘ถ้าหากสีวู่หยาแก้โจทย์ปัญหาพวกนั้นได้ ฉันนี่แหละที่เป็นคนที่แปลกใจ’ ท้ายที่สุดตัวเขาก็ได้พูดออกมา “แล้วเจ้ามีธุระอะไรกับข้ากัน? หรือว่าเจ้าสำนึกผิดแล้ว?”
สีวู่หยายกเสื้อคลุมขึ้นมาอย่างเป็นพิธีก่อนที่จะคุกเข่าอีกครั้ง ตัวเขาไม่ได้ตอบกลับในทันที สีวู่หยาเลือกที่จะคำนับให้กับลู่โจวสามครั้งแทน “ข้าสำนักแล้ว”
ลู่โจวเหลือบมองไปที่ศาลาตะวันออก “เข้ามา”
มีหลายสิ่งหลายอย่างที่ลู่โจวไม่อยากที่จะเปิดเผยให้กับทุกคนได้เห็น
ลู่โจวเดินตรงเข้าไปยังด้านใน สีวู่หยาลุกขึ้นยืนก่อนที่จะเดินตามไปในทันที
หยวนเอ๋อได้แต่โค้งคำนับให้ “ข้าจะคอยดูแลตรงนี้ให้เอง ข้าจะไม่ยอมให้ใครรบกวนท่านแน่!”
…
ภายในห้อง
ทุกอย่างดูเป็นปกติดี
สีวู่หยาจ้องมองอักษรที่ถูกเขียนอยู่บนผนัง ‘ดวงจันทร์สว่างไสวเหนือท้องทะเล ไม่ว่าจะห่างไกลสักแค่ไหนพวกเราจะแบ่งปันช่วงเวลาที่มีให้แก่กัน’
สีวู่หยาที่เห็นแบบนั้นหน้าบึ้ง คำพูดพวกนี้ทำให้ตัวเขารู้สึกไม่สบายใจ น้ำหมึกที่ถูกเขียนหนักแน่น เห็นได้ชัดว่ามันถูกเขียนขึ้นจากฝ่ามืออันทรงพลัง มันเป็นงานเขียนที่ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเลยในเวลากว่า 80 ปีที่ผ่านมา ถ้าหากผู้เขียนไม่ได้แข็งแกร่ง คงจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเขียนงานเขียนแบบนี้ได้ ไม่ว่าจะยังไงก็ตามในตอนนี้ก็ยังไม่ใช่เวลาจะมาสนใจเรื่องนี้
ลู่โจวนั่งลงบนเก้าอี้ก่อนที่จะลูบเครา ตัวเขากำลังอดทนรอให้สีวู่หยาเป็นฝ่ายเอ่ยปากพูดขึ้นมา ‘ในเมื่อสีวู่หยาเป็นฝ่ายมาหาฉัน ฉันก็ไม่จำเป็นที่จะต้องเป็นฝ่ายพูดก่อน’
สีวู่หยาคุกเข่าก่อนที่จะพูดขึ้น “ยินดีด้วยท่านอาจารย์ที่ฝึกฝนตัวเองจนไปถึงขั้นที่เก้าได้”
ลู่โจวขมวดคิ้วเล็กน้อย ตัวเขาจ้องมองไปที่สีวู่หยา “แค่นี้อย่างงั้นเหรอ?” ลู่โจวคิดว่าสีวู่หยาจะพูดเรื่องอื่นด้วย
สีวู่หยารีบก้มลง ตัวเขาอดไม่ได้ที่จะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ “ข้า…ข้าอธิบายได้!”
‘ก็ต้องเป็นแกอยู่แล้วที่อธิบายได้’ ลู่โจวอยากที่จะพูดต่อว่าสีวู่หยาออกมาตรงๆ แต่ถึงแบบนั้นตัวเขาก็ไม่อาจทำแบบนั้นได้ ยังไงซะลู่โจวในตอนนี้ก็มีสถานะเป็นอาจารย์ของสีวู่หยา ตัวเขาจะต้องรักษาท่าทีที่ดูเยือกเย็นเอาไว้ ตัวเขาเหลือบมองไปที่สีวู่หยาอย่างนิ่งเฉยก่อนที่จะพูดออกมา “พูดมาซะ”
สีวู่หยายืดหลังขึ้น “ท่านจำได้ไหมว่าทำไมศิษย์พี่รองถึงเลือกที่จะจากที่นี่ไป?”
“เพราะว่าข้าอยากที่จะฆ่าเจ้านั่นสินะ?” ลู่โจวจำได้ว่ายู่ฉางตงเคยตอบแบบนี้มาก่อน “แล้วข้าอยากที่จะฆ่าเจ้าด้วยเหรอไงกัน?”
สีวู่หยาส่ายหัว “ไม่ใช่แบบนั้น”
‘แล้วสีวู่หยาต้องการที่จะอธิบายบ้าอะไร!’ ลู่โจวเหลือบมองสีวู่หยาด้วยท่าทีที่สงบเสงี่ยมแม้ว่าอยากจะด่าสีวู่หยามากก็ตาม
สีวู่หยาได้พูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ “ท่านต้องการที่จะฆ่าศิษย์พี่รองและศิษย์พี่ใหญ่…”
ลู่โจวขมวดคิ้ว มีอะไรบางอย่างกวนใจของเขาอยู่ “แล้วทำไมข้าถึงต้องอยากฆ่าเจ้าพวกนั้นด้วยล่ะ?”
สีวู่หยารู้ดีว่าความทรงจำส่วนใหญ่ของผู้เป็นอาจารย์ถูกผนึกเอาไว้ในคริสตัลความทรงจำ “ท่านต้องการจะมีชีวิตที่ยืนยาวและต้องการที่จะฝึกฝนตัวเองให้ไปถึงขั้นเก้า”
คำตอบนี้เหมือนกับที่ยู่ฉางตงเคยพูดเอาไว้ มันหมายความว่าสิ่งที่สีวู่หยาพูดเป็นความจริง
“ข้าจะมีชีวิตที่ยืนยาวขึ้นจากการฆ่าเจ้าพวกนั้นเหรอไงกัน?” สีหน้าของลู่โจวดูจริงจัง เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่ปล่อยผ่านไปได้ แต่น่าเสียดายที่ลู่โจวไม่สามารถหาคริสตัลแห่งความทรงจำได้ ตัวเขาทำได้เพียงพึ่งพาคำตอบจากผู้อื่นได้เท่านั้น
สีวู่หยาเหลือบมองไปที่กระดาษที่อยู่บนโต๊ะ
ลู่โจวที่เห็นแบบนั้นก็รู้ถึงความหมายของสีวู่หยา ตัวเขาโบกมือให้กับสีวู่หยาเพื่อเป็นการอนุญาต
สีวู่หยายืนขึ้น ตัวเขาได้หยิบพู่กันออกมา สีวู่หยาได้เขียนเคล็ดวิชาที่สาวกของศาลาปีศาจลอยฟ้าได้ฝึกฝนลงบนกระดาษ
ซีหยวนเอ๋อ เคล็ดวิชาหยกแห่งความบริสุทธิ์
สีวู่หยา เคล็ดวิชากวีแห่งความเมตตา
จ้าวยู่ เคล็ดวิชาหยกเจิดจรัส
หมิงซี่หยิน เคล็ดวิชาเวหาพงพนา
ต้วนมู่เฉิง เคล็ดวิชายุทธภัณฑ์ศักดิ์สิทธิ์
สีวู่หยาวางพู่กันลงบนโต๊ะ ตัวเขายกกระดาษแผ่นนั้นขึ้น “เคล็ดวิชาทั้งหมดเกี่ยวข้องกับอายุขัยที่ยืนยาว”
เคล็ดวิชาหยกแห่งความบริสุทธิ์จะทำให้ผู้ฝึกมีชีวิตที่ยืนยาว, เคล็ดวิชากวีแห่งความเมตตาจะสามารถเปลี่ยนพลังหยินและหยางให้ย้อนกลับได้, ส่วนวิชาหยกเจิดจรัสจะทำให้ผู้ฝึกสามารถรักษาความเยาว์วัย, วิชาเวหาพงพนาจะทำให้ผู้ฝึกเหมือนกับต้นไม้ที่เขียวชอุ่มตลอดปี และวิชายุทธภัณฑ์ศักดิ์สิทธิ์จะทำให้ผู้ฝึกมีชีวิตอยู่ยืนยาวตราบเท่าที่ท้องฟ้าและผืนดินยังคงอยู่
คำอธิบายของสีวู่หยาฟังดูเกินจริงไป
ลู่โจวเข้าใจผลของการฝึกวิชาเหล่านี้ดียิ่งกว่าใคร เมื่อได้ฟังสิ่งที่สีวู่หยาพูดตัวเขาก็เกิดคิดอะไรขึ้นมาได้ ‘เป็นไปได้ไหมที่จีเทียนเด๋าจะเลือกสาวกของตัวเองที่จะให้มีชีวิตยืนยาวกัน?’
แล้วสาวกที่เหลือล่ะ?
สีวู่หยาพูดต่อ “ศิษย์พี่หกยี่เทียนซินเป็นชาวมนุษย์เผือก เคยมีตำราว่าเอาไว้ ชาวมนุษย์เผือกที่ขี่เฉินกวางได้จะทำให้มีอายุยืนยาวไปถึง 2,000 ปี ส่วนศิษย์พี่รองเป็นชาวชนชั้นสูง ชาวชนชั้นสูงล้วนแต่มีช่วงชีวิตที่สั้น” สีวู่หยาได้วางกระดาษลงบนโต๊ะ
“ส่วนวิชาหายนะสายฟ้าทั้งเก้าของศิษย์น้องแปดจะเป็นการเอาชนะอุปสรรคในทุกๆ ครั้งที่ฝึกฝนข้ามขั้นได้ ภายในของผู้ฝึกจะเผาผลาญตัวเองจนทำให้ผู้ที่ฝึกฝนเสียอายุขัยไป 50 ปี” เสียงของสีวู่หยาฟังดูนุ่มนวลอย่างไม่น่าเชื่อ หลังจากนั้นตัวเขาก็ได้คุกเข่าลงก่อนที่จะคารวะลู่โจว สีวู่หยาไม่ได้พูดอะไรต่อ
ลู่โจวในตอนนี้ยังคงไม่รู้อะไร ถ้าหากจะแสร้งทำเป็นเข้าใจก็มีแต่จะทำให้เรื่องนี้ยุ่งยากมากกว่าเดิม
ตัวเขาหัวเราะใส่สีวู่หยาก่อนที่จะพูดออกมา “เจ้ากำลังจะบอกว่าข้ากำลังใช้พวกเจ้าทำการทดลองเพื่อที่จะยืดอายุขัยและฝึกฝนตัวเองไปสู่ขั้นที่เก้าอย่างงั้นสินะ?”
สีวู่หยาเอาศีรษะแนบพื้น มันเป็นการยืนยันคำพูดของลู่โจวนั่นเอง
สีหน้าของลู่โจวดูไร้อารมณ์เช่นเคย แต่ถึงแบบนั้นใจของเขาก็เต้นไม่เป็นจังหวะ ถ้าหากจะบอกว่าเรื่องทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่จีเทียนเด๋าทำก็คงจะไม่แปลกอะไร ไม่ว่าจะเป็นการย่นอายุหรือยืดอายุขัย เรื่องทั้งหมดนี้ต่างก็เป็นส่วนหนึ่งในความพยายามที่จะมีชีวิตที่ยืนยาว นี่คงเป็นเหตุผลที่ทำให้สีวู่หยาชักชวนให้ซู่ฮ่องกงให้หนีไปจากศาลาปีศาจลอยฟ้า
“นี่คือสิ่งที่ยู่เฉิงไห่คิดอย่างงั้นสินะ?” ลู่โจวถามออกมา
“ข้าเคยสัญญากับศิษย์พี่ไว้ว่าจะไม่แพร่งพรายความลับของเขา ยกโทษให้ข้าด้วย” สีวู่หยาตอบกลับมา
“เจ้ากำลังจะบอกว่าตัวข้าดูแลพวกเจ้าในทางที่ผิดอย่างงั้นสินะ?” ลู่โจวถามออกมา ตัวเขาไม่ได้เชื่อทุกสิ่งที่สีวู่หยาพูด ถ้าหากมันเป็นความจริง ทำไมศิษย์ไม่รักดีพวกนี้ถึงยังมีชีวิตอยู่? เรื่องทั้งหมดเริ่มซับซ้อนกว่าที่ลู่โจวเคยคาดการณ์ไว้
“ข้าไม่กล้า!” สีวู่หยายังคงก้มอยู่บนพื้น
“ข้าจะถามเจ้าอีกครั้ง ทำไมเจ้าถึงออกจากศาลาปีศาจลอยฟ้าไป?” เสียงของลู่โจวฟังดูจริงจัง มันฟังดูเป็นเหมือนกับคำเตือน เสียงนี้เองเป็นสัญญาณบอกให้สีวู่หยาไม่กล้าพูดโกหก