เสียงของลู่โจวที่ดังขึ้นมันดังขึ้นพร้อมกับแรงกดดันอันมหาศาล มันฟังดูทั้งน่าเกรงขามและสง่างามในเวลาเดียวกัน
สีวู่หยาตัวสั่น ตัวเขายังคงก้มอยู่บนพื้นโดยที่ไม่ขยับไปไหน สีวู่หยาเคยตอบคำถามนี้ไปแล้วในตอนที่สนทนากับลู่โจวครั้งล่าสุด ในเวลานั้นตัวเขาได้บอกเอาไว้ว่าอยากจะช่วยงานของศิษย์พี่ใหญ่เพื่อที่จะพิชิตโลกและล้วงความลับของเหล่าราชวงศ์ แต่ถึงแบบนั้นคำตอบของเขาก็ยังไม่น่าเชื่อถือมากพอ
ตอนนี้บรรยากาศในห้องดูอบอ้าวมากยิ่งขึ้น ความเงียบที่ก่อตัวทำให้สีวู่หยารู้สึกเครียดโดยที่ไม่รู้ตัว
ลู่โจวไม่ได้รีบร้อนอะไร ตัวเขาเหลือบมองไปที่สีวู่หยาอย่างตั้งใจแทน
แสงแดดได้ส่องผ่านระเบียงก่อนที่จะทำให้ทั่วทั้งห้องสว่างไสว
หลังจากที่เป็นแบบนั้นไปเกือบชั่วยาม ในที่สุดสีวู่หยาก็เอ่ยปากพูด แม้ว่าจะเปิดปากแต่มันก็ไม่มีคำพูดใดหลุดออกมาจากปากของเขา ปากของสีวู่หยาแห้งจนเกินไป มันไม่อาจส่งเสียงออกมาได้ ตัวเขาพยายามกลืนน้ำลายอย่างรุนแรงก่อนที่จะพูดออกมา “ก่อนที่ข้าจะได้รู้ว่าพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบมีอยู่จริง ข้าคิดมาเสมอว่าสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดก็คือเครื่องมือที่เหล่าราชวงศ์มี เครื่องมือที่ใช้ควบคุมหัวใจของคนเราได้ นั่นเป็นเหตุผลที่ข้ายอมเข้าพระราชวังไปในฐานะราชครู ท่านอาจารย์…” สีวู่หยาลดเสียงลง “ท่านยังจำจักรพรรดิหยงโชวได้ไหม?”
ลู่โจวไม่ได้ตอบอะไร จักรพรรดิหยงโชวเป็นคนรู้จักเก่าแก่ของจีเทียนเด๋า ในตอนนั้นหยงโชวได้ขึ้นไปอยู่บนจุดสูงสุดของพระราชวัง ส่วนจีเทียนเด๋าเองก็ขึ้นไปสู่จุดสูงสุดของโลกยุทธภพ
สีวู่หยาพูดต่อ “ภายในพระราชวังมีสถานที่หนึ่งถูกสร้างขึ้นเพื่อหยงโชวเพียงผู้เดียว…มีเพียงจักรพรรดิและผู้ถือครองเหรียญตราจักรวรรดิเท่านั้นที่จะสามารถเข้าไปในนั้นได้ ในตอนที่หยงโชวยังคงครองบัลลังก์ ในตอนนั้นตัวเขาได้ศึกษาวิธีที่จะฝึกฝนไปสู่ขั้นที่เก้า แต่หลังจากที่ตัวเขาได้จากไป กุญแจที่จะเข้าไปสู่สถานที่แห่งนั้นก็ได้หายไปด้วย ความลับมากมายหลายอย่างถูกฝังอยู่ภายในนั้น ตั้งแต่ที่ข้าได้ยินแบบนั้นข้าก็ได้แต่คิดมาโดยตลอด…ถ้าหากนี่คือเรื่องจริง เหตุใดเหล่าราชวงศ์จึงต้องกระคือรือร้นที่จะศึกษาเรื่องแบบนี้ด้วย? พวกเขาพยายามท้าทายกับความเป็นจริง เอาชนะธรรมชาติอย่างงั้นเหรอ? ถ้าหากพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบไม่มีอยู่จริง เหตุใดกันมันถึงถูกบันทึกในหนังสือประวัติศาสตร์ได้? มีเพียงผู้ชนะเท่านั้นที่จะได้เขียนประวัติศาสตร์ พวกเขากำลังปิดบังอะไรอยู่กันแน่?”
“…” ลู่โจวขมวดคิ้วในขณะที่ฟังสีวู่หยาพูด ‘ศิษย์ไม่รักดีนี่เกิดมาเพื่อใช้ความคิดค้นหาคำตอบจริงๆ’
สีวู่หยาดูเหมือนจะออกนอกเรื่องจนเกินไป ตัวเขาคำนับลู่โวก่อนที่จะพูดต่อ “หลายปีที่ผ่านมาข้าได้ก่อตั้งสำนักแห่งความมืดขึ้นก่อนที่จะขยายมันให้ทั่วทั้งดินแดนหยาน ข้าได้ตรวจสอบทุกอย่างจากเงามือ…และในที่สุดข้าก็ได้ล่วงรู้ความจริง ไม่ใช่แค่ท่านเท่านั้นที่พยายามไขความลับของพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบ ปรมาจารย์สำนักหยุนเทียนลั่ว, กงหยวน, ราชาแห่งม่อเป่ย, ผู้คนจากลั่วหลาน, เจ้าสำนักใหญ่ทั้งหลาย…ทุกคนต่างก็ศึกษาเรื่องนี้ด้วยกันทั้งนั้น…แต่สุดท้ายทุกคนก็ลงเอยในแบบเดียวกัน…” สีวู่หยาหยุดพูดไปชั่วครู่ก่อนที่จะพูดต่อ “สุดท้ายแล้วทุกคนก็พบกับจุดจบที่มีแต่ความล้มเหลว…”
สีหน้าของลู่โจวยังคงไม่เปลี่ยนแปลงไป ตัวเขามองไปยังสีวู่หยาก่อนที่จะพูดออกมาอย่างไร้ความรู้สึก “แล้ว?”
สีหน้าของสีวู่หยาเปลี่ยนไป “ข้าที่เห็นแบบนั้นก็ได้แต่คิดทบทวนต้นเหตุ…ดูเหมือนดอกบัวทองคำจะเป็นสิ่งที่ดูดซับพลังทั้งหมดไป ไม่ว่าจะเป็นพลังลมปราณหรืออายุขัย…ถ้าหากดอกบัวทองคำดูดซับพลังไปจริง แล้วพลังทั้งหมดจะไปอยู่ไหนกัน?”
ลู่โจวที่ได้ฟังแบบนั้นรู้สึกถึงอะไรบางอย่าง ถ้าหากเป็นจีเทียนเด๋าคนเดิมที่ได้ยินคำพูดของสีวู่หยาเช่นนี้ สีวู่หยาคงจะต้องถูกทำโทษไปแล้ว แต่ยังไงซะลู่โจวก็เป็นคนสมัยใหม่ แม้ว่าคำพูดของสีวู่หยาจะทำให้ลู่โจวประหลาดใจ แต่ถึงแบบนั้นเขาก็เปิดใจยอมรับฟังมันได้ มันเป็นคำถามที่ควรค่าที่จะให้หาคำตอบ
โลกแห่งการฝึกฝนตนมีมากว่า 30,000 ปีแล้ว นับตั้งแต่ยุคบุกเบิกจนมาถึงตอนนี้ มีบรรพบุรุษยอดฝีมือนับไม่ถ้วนที่ฝึกฝนตัวเองจนมีพลังอวตารดอกบัวแปดกลีบได้ แต่ท้ายที่สุดแล้วพวกเขาก็ได้พ่ายแพ้ให้กับพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบ พ่ายแพ้ให้กับขีดจำกัดอันยิ่งใหญ่
ทันใดนั้นเองลู่โจวก็ได้นึกถึงสิ่งที่องค์ชายรองหลิวหยวนเคยพูดไว้ ‘ถ้าหากเจ้าฉลาดมากพอ วันหนึ่งเจ้าจะได้รู้เองว่าโลกใบนี้เป็นเพียงกรงขังที่ว่างเปล่า กรงขังที่จะแปรเปลี่ยนไปตามชะตาสวรรค์’
จากความทรงจำของหยุนเทียนลั่วในหมากกระดานที่ลู่โจวได้เห็น ตัวเขาในตอนนั้นก็ได้เห็นถึงความลับของดอกบัวทองคำ ถ้าหากนำคำพูดของสีวู่หยาและองค์ชายสองมารวมกัน พลังที่ดอกบัวทองคำดูดซับมาไปไหน? พลังนั่นกลับคืนสู่โลกอย่างงั้นเหรอ!?
ลู่โจวได้พูดออกมาอย่างเยือกเย็น “ท้องฟ้าและผืนดินก็เป็นดั่งกรงขัง ในขณะที่ดอกบัวทองคำเป็นกุญแจ”
สีวู่หยารีบตอบกลับมา “นั่นเป็นเพียงสิ่งที่ข้าสงสัย…ท่านอาจารย์อย่าได้ถือสาเลย!”
“แล้วเจ้าคิดยังไงกับพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบของข้า?”
“เอ่อ…” สีวู่หยาพูดไม่ออก ถ้าหากโลกใบนี้เป็นดั่งกรงจริง แล้วอาจารย์ของตัวเขาสามารถฝึกฝนตัวเองจนมีพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบได้ยังไงกัน?
เมื่อเห็นสีวู่หยาพูดไม่ออก ลู่โจวก็ได้พูดต่อ “การแยกดอกบัวทองคำก็เป็นเหมือนกับการถอดกุญแจมือออก…ถ้าสิ่งที่เจ้าพูดเป็นความจริง ยังไงซะชะตาของพวกเราก็ยังจะถูกกรงขัง ถูกชะตาสวรรค์กำหนดไว้อยู่ดีแม้ว่าจะฝึกฝนตัวเองจนมีพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบไปแล้วก็ตาม”
“ข้าไม่กล้าคิดเช่นนั้น ท่านอาจารย์เมื่อไหร่กันที่ท่านฝึกฝนตัวเองจนมีพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบได้?” สีวู่หยาได้ถามออกมาในขณะที่ก้มศีรษะอยู่ ตัวเขาไม่คิดว่าผู้เป็นอาจารย์จะตัดดอกบัวทองคำออกมาก่อนที่จะผลิกลีบดอกบัวทั้งหมดขึ้นมาใหม่ คนอย่างอาจารย์ของตัวเขาจะไปยอมใส่กุญแจมืออีกรอบได้ยังกัน?
“สามหาว!”
เสียงตะโกนของลู่โจวทำให้สีวู่หยาตกใจจนตัวสั่น
‘ล้อกันเล่นรึไงกัน? จะให้ฉันบอกความลับสุดยอดของพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบง่ายๆ อย่างงั้นสินะ?’
ไม่มีเจ้าสำนักคนไหนหรืออาจารย์คนใดยอมทิ้งความลับอันยิ่งใหญ่อย่างง่ายดาย แต่ถึงแบบนั้นศิษย์ไม่รักดีคนนี้กลับกล้ามากพอที่จะถามเรื่องนี้ออกมา สีวู่หยาอยากที่จะตายอย่างงั้นสินะ!
“ข้าผิดไปแล้ว!” สีวู่หยารีบตอบกลับ
ลู่โจวเหลือบมองสีวู่หยา แม้ว่าตัวเขาจะรู้สึกพอใจกับสิ่งที่สีวู่หยาแสดงออกมา แต่ค่าความจงรักภักดีของสีวู่หยาก็ไม่ได้เพิ่มมากขึ้นนัก หลังจากที่เงียบไปครู่หนึ่งสุดท้ายลู่โจวก็ได้พูดออกมา “ยังไงซะก็ยังด่วนสรุปไปอยู่ดีที่โลกใบนี้เป็นดั่งกรงขัง”
“ท่านอาจารย์ ให้ข้ายืมพู่กันกับหมึกหน่อยได้ไหม?” สีวู่หยาเดินขึ้นไปที่โต๊ะอีกครั้ง ตัวเขารีบหยิบพู่กันขึ้นมาก่อนที่จะขีดเขียนตัวอักษร…
ผ่านไปครู่หนึ่งสีวู่หยาก็ได้วางมือจากกระดาษ
ลู่โจวเหลือบมองไปที่กระดาษแผ่นนั้น แผนที่ที่เห็นมันดูแตกต่างจากภาพวาดอันเก่าแก่ที่อยู่โต๊ะจากทางด้านหลัง แผนที่ถูกวาดขึ้นมาอย่างคร่าวๆ แต่ถึงแบบนั้นมันก็ยังมีโครงสร้างพื้นฐานหลักๆ ของดินแดนหยานอันยิ่งใหญ่
หลังจากที่วาดรูปเสร็จ สีวู่หยาก้ได้พูดออกมา “นี่คือดินแดนหยานอันยิ่งใหญ่ ส่วนนี้เป็นมหาสมุทรไม่สิ้นสุดที่อยู่ทางตะวันออก, หรงซีที่อยู่ทางทิศตะวันตกและทางทิศเหนือมีหรงเป่ย ที่ที่ชนเผ่าอื่นอาศัยอยู่…ส่วนนี่คือป่าทมิฬ, ป่าม่านหมอก และป่าคูสวรรค์”
ทักษะทางด้านศิลปะของสีวู่หยาจะต้องถูกปรับปรุงอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ถึงแบบนั้นมันกลับน่าตกตะลึงอย่างน่าประหลาดใจ แม้ว่ามันจะถูกวาดขึ้นมาด้วยเส้นหยาบๆ แต่ถึงแบบนั้นมันก็ยังสามารถบ่งบอกได้ถึงโครงสร้างโดยรวมและรายละเอียดคร่าวๆ ได้เป็นอย่างดี มันทำให้ผู้เฝ้ามองอย่างลู่โจวเข้าใจอย่างง่ายดาย
เมื่อเห็นแบบนั้นลู่โจวก็ขมวดคิ้ว “เขตแดนอย่างงั้นเหรอ?” แม้ว่าจะคิดเช่นนั้นแต่ลู่โจวก็ปฏิเสธความคิดตัวเองไปอย่างรวดเร็ว เขตแดนพลังที่ใหญ่จนเกินไปมักจะใช้งานไม่ได้ แม้ว่าผู้ฝึกยุทธทั่วทั้งโลกจะรวมตัวกันเพื่อใช้งานมัน แต่มันก็ยังเป็นไปไม่ได้อยู่ดีที่จะใช้งานเขตแดนพลัง
การที่จะบินจากเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ไปยังม่อเป่ยได้ต้องใช้เวลาหลายเดือนเป็นอย่างต่ำ และการที่จะบินจากภูเขาทองไปยังป่าไม้ทมิฬได้ก็ต้องใช้เวลาหนึ่งเดือนเช่นกัน นอกจากนี้ก็ยังมีดินแดนของชนเผ่าอื่น, มหาสมุทรไม่สิ้นสุดที่ไม่มีผู้ใดกล้าเดินทางไป
“นี่มันคือเขตแดนพลัง หรือบางทีมันอาจจะเป็นกรงขังที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ นี่เป็นเพียงการคาดเดาของข้าเท่านั้น…นี่คือเรื่องทั้งหมดที่ข้ารู้” สีวู่หยาได้พูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น
ลู่โจวเหลือบมองไปที่สีวู่หยาอีกครั้ง ตัวเขาจำได้ว่าสีวู่หยาเป็นคนยังไงเมื่อครั้งที่ตัวเขายังเด็ก สีวู่หยามักจะอยากรู้อยากเห็นอยู่เสมอ และท้ายที่สุดสีวู่หยาก็จะต้องเข้าใจในสิ่งที่สงสัยให้จงได้ ดูเหมือนว่านิสัยตรงนี้ของเขาจะไม่ได้เปลียนแปลงไปเลย
ไม่ว่าจะโลกใบไหนมันก็ไม่เคยขาดแคลนผู้ที่มีมันสมองอันชาญฉลาดเลย แต่ไม่ว่าจะที่ไหนดูเหมือนว่าพวกเขาก็มักจะมีจุดอ่อนเดียวกัน จุดอ่อนที่คิดว่าตัวเองจะไม่ทำผิดพลาดอะไร แน่นอนว่าสีวู่หยาเองก็เป็นแบบนั้นเช่นกัน
ลู่โจวเหลือบมองไปที่สีวู่หยาก่อนที่จะพูดออกมา “น่าเสียดาย…แต่ดูเหมือนว่าการคาดเดาของเจ้าจะยังไม่ถูกต้อง”
“…” สีวู่หยาที่ได้ยินแบบนั้นดวงตากเบิกกว้าง ตัวเขาจ้องมองไปยังพื้นด้วยความตกใจ ‘ท่านอาจารย์รู้จริงๆ ด้วย!’ หัวใจของสีวู่หยาเต้นไม่เป็นจังหวะ
ลู่โจวได้วางมือของตัวเองลงบนป่าไม้ทมิฬ “ฝานลี่เทียนเคยไปยังป่าไม้ทมิฬมาก่อน ที่ป่านั่นเคยเกิดไฟไหม้ครั้งใหญ่ที่กินเวลากว่า 49 วัน ถ้าหากโลกใบนี้เป็นดั่งกรงขังจริง ไฟไหม้ครั้งใหญ่นั่นจะต้องทำลายป่าไม้ทมิฬไป ป่าไม้ทมิฬที่เสียหายจะทำให้เขตแดนที่มีถูกทำลายไปด้วย” หลังจากนั้นลู่โจวก็พูดต่อ “เจ้าก็แค่วาดในสิ่งที่เจ้ารู้เท่านั้น…เจ้ารู้รึเปล่าว่ามีอะไรอยู่เหนือดินแดนของชนเผ่าอื่น?”
สีวู่หยายังคงนิ่งเงียบ การตัดสินใจที่ผิดพลาดของตัวเขาเกิดมาจากการใช้ข้อมูลที่ไม่ครบถ้วน
ในความเป็นจริงแม้ว่าลู่โจวจะไม่ได้ชี้แนะสิ่งนี้ด้วยตัวเอง แต่ยังไงซะสีวู่หยาก็จะต้องคิดมันออกในไม่ช้าก็เร็วอยู่ดี