ข้าคนนี้จะเป็นสาวกของสำนักเจินชางได้ยังไงกัน? สาวกตัวปลอมแสร้งทำเป็นยิ้มอย่างตกใจก่อนที่จะพูดออกมา “เอ๊ะ? ท่านเอาตัวรอดมาจากเคียวพื้นพิภพของข้าได้หรอ ท่านเจ้าสำนัก?”
“เจ้าเป็นใครกันแน่?” เฟิงชิงก้าวถอยหลังพร้อมๆ กับเหลือบมองไปยังหุบเขา
“ข้าจะเป็นใครมันไม่สำคัญ ยังไงท่านเจ้าสำนักผู้ยิ่งใหญ่ของข้าก็จะต้องตายอยู่ดี” หมิงซี่หยินหัวเราะยกใหญ่ เคียวพื้นพิภพได้ลอยกลับมาในมือเขา
อันที่จริงหมิงซี่หยินได้แฝงตัวอยู่ในหมู่สาวกของสำนักเจินชางมาตั้งแต่เริ่มแรก ตัวเขาต้องการที่จะแทรกซึมอยู่ในกลุ่มศัตรูก็เพื่อที่จะมองหาโอกาสจัดการกับผู้ที่เป็นหัวหน้า แต่การที่จะหาสถานการณ์ที่เหมาะสมได้มันยากกว่าที่หมิงซี่หยินคาดเอาไว้มาก และก็เพราะผู้เป็นอาจารย์ของเขาได้แสดงสุดยอดพลังออกมา หมิงซี่หยินจึงใช้โอกาสนี้เพื่อเฝ้ามองพลังอันยิ่งใหญ่ของอาจารย์ซะก่อน ท้ายที่สุดแล้วตัวเขาก็ได้ไล่ตามเฟิงชิงจนมาถึงตอนนี้ หลังจากที่แฝงตัวมาได้สักพักหมิงซี่หยินก็รู้ดีว่าคนอย่างเฟิงชิงไม่ใช่คนธรรมดา
“เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นจีเทียนเด๋าหรือไงกัน?” เฟิงชิงได้พูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูไม่พอใจ
หมิงซี่หยินตอบกลับมา “ไม่แปลกใจเลยที่เจ้าจะสามารถต้านทานดาบพลังงานของท่านอาจารย์ข้าได้ มันเป็นเพราะของที่เจ้าสวมใส่อยู่อย่างงั้นสินะ?”
เฟิงชิงที่ได้ฟังแบบนั้นหัวใจเต้นรัว “เจ้าเป็นศิษย์ของศาลาปีศาจลอยฟ้านี่เอง”
หมิงซี่หยินอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา “เอาล่ะ ข้าจะได้เลิกแสดงละครสักที”
เฟิงชิงได้มองข้ามไหล่ของหมิงซี่หยินไป ตัวเขากังวลว่าจีเทียนเด๋าจะปรากฏตัวขึ้น “สหาย พวกเรามาพูดคุยกันอย่างสันติจะดีกว่า เอาเป็นว่าเจ้าก็แค่หลับหูหลับตาปล่อยข้าไป ในอนาคตข้าจะตอบแทนบุญคุณเจ้าเป็นอย่างดีแน่ เจ้าคิดว่ามันไม่ดีกว่าหรอไงกัน?”
“เรื่องของอนาคตไม่จำเป็นจะต้องพูดถึง”
“อะไรกัน?”
“ถอดเสื้อของเจ้าออกและปล่อยให้เคียวพื้นพิภพของข้าทะลวงเข้าสู่หัวใจของเจ้าซะ ข้าสัญญาว่าจะทำมันอย่างปรานีเอง” หมิงซี่หยินได้พูดออกมาพร้อมรอยยิ้ม
“เจ้า…” เฟิงชิงเริ่มโกรธ “ข้าได้เผาผลาญจุดตันเถียนของตัวเองไปเป็นที่เรียบร้อย ถ้าหากเจ้าอยากที่จะตายจริงๆ ข้าก็จะเติมเต็มความปรารถนาของเจ้าให้เอง!”
เฟิงชิงที่พูดเสร็จได้ยกมือขึ้นก่อนที่จะใช้นิ้วจี้ไปยังจุดตันเถียนถึงสองครั้ง มันเป็นการคลายพลังลมปราณสู่เส้นพลังลมปราณ พลังลมปราณของจุดตันเถียนกว่าครึ่งเริ่มกลับมาเผาไหม้อีกครั้ง
…
ในขณะตอนนั้นเองสาวกของสำนักใหญ่ทั้งเจ็ดที่อยู่ใกล้กับภูเขาทองต่างก็ถูกต้วนมู่เฉิงและคนอื่นๆ เข้าจัดการจนเกือบหมด
ลู่โจวในตอนนี้เหลือบดูเวลาที่เหลืออยู่ ตัวเขาเหลือเวลาที่จะอยู่ในร่างสุดยอดอีกสิบกว่านาที ลู่โจวมองไปรอบตัวก่อนที่จะพูดออกมาอย่างใจเย็น “เก็บกวาดที่เหลือซะ”
“ครับ/ค่ะ ท่านอาจารย์!”
“ความยิ่งใหญ่ของท่านอยู่เหนือทุกสรรพสิ่ง ขอให้ท่านอาจารย์มีชีวิตยืนยาว…ท่านอาจารย์ฝึกฝนตัวเองจนไปถึงขั้นที่เก้าได้แล้วจริงๆ ! ข้าน่ะฝันถึงวันนี้มานานแล้ว…เอ๊ะ? ท่านอาจารย์? ท่านอาจารย์ไปไหนซะแล้ว?” ซู่ฮ่องกงที่พูดเพ้ออยู่นานเพิ่งจะรู้ตัวว่าอาจารย์ของเขาได้หายตัวไปแล้ว เมื่อเห็นว่าไม่มีลู่โจวให้พูดด้วยตัวเขาจึงหันมาพูดกับผู้เป็นศิษย์พี่แทน “ศิษย์พี่สาม, ศิษย์พี่ห้า, ศิษย์น้องเล็ก อย่าเมินข้าซะสิ!”
ทุกคนไม่ว่างพอที่จะไปสนใจซู่ฮ่องกง
ลู่โจวปลดปล่อยเคล็ดวิชาอีกครั้งก่อนที่จะกลับไปยังยอดเขา กลับไปสู่ศาลาปีศาจลอยฟ้า ตัวเขาได้เดินไปยังที่ควบคุมม่านพลังก่อนที่จะกระแทกฝ่ามือลงไป ลู่โจวกำลังถ่ายทอดพลังของตัวเองเพื่อสร้างม่านพลังนั่นเอง!
ดวงจันทร์กำลังจะลาลับขอบฟ้า
“จงออกมาอวตาร!”
ลู่โจวได้ใช้พลังอวตารของตัวเอง พลังของเขายืนอยู่เหนือศาลาปีศาจลอยฟ้า
“ท่านอาจารย์กำลังทำอะไรกัน?” หยวนเอ๋อชี้ไปยังศาลาปีศาจลอยฟ้า
“ท่านอาจารย์กำลังจะประกาศตนว่าตัวเองเป็นสุดยอดผู้ฝึกยุทธตลอดกาลแน่นอน! ไม่มีใครยิ่งใหญ่ไปกว่าท่านอาจาย์แล้ว…พลังอวตารขั้นที่เก้าของเขาไม่มีใครเทียบเคียงได้…โอ๊ย! ศิษย์น้องเล็ก เจ้าหยิกข้าอีกแล้วนะ…” ซู่ฮ่องกงพูดออกมาอย่างไม่พอใจในขณะที่เอามือจับแก้มของตัวเอง
เมื่อลู่โจวถ่ายพลัง ตัวเขาก็มองไปที่ดอกบัวทองคำที่อยู่ใต้อวตารของตน ลู่โจวได้เฝ้ามองมันอยู่ครู่หนึ่ง ตามทฤษฎีที่มีอยู่ในตอนนี้ การที่ผู้ฝึกยุทธจะสามารถหลุดพ้นจากขีดจำกัดอันยิ่งใหญ่ได้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ยากมาก
ถ้าหากตัดสินเรื่องนี้จากความรู้ที่ได้มาจากสำนักหยุนเทียนลั่ว ดอกบัวทองคำจากพลังอวตารจะเป็นสิ่งที่ดูดซับพลังวรยุทธรวมไปถึงพลังชีวิตของผู้ฝึกยุทธคนนั้น มันคงจะดูดอายุขัยอย่างน้อย 1,000 ปี มีเพียงการแยกดอกบัวทองคำออกมาเท่านั้นที่พอจะเป็นทางออกสำหรับเรื่องนี้
แต่เมื่อลู่โจวใช้การ์ดระเบิดจุดสุดยอดไป ตัวเขาก็มีพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบ ลู่โจวนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ในอดีต เหตุการณ์ที่ตัวเขาเพิ่งข้ามมิติมายังดินแดนแห่งนี้ ในตอนที่ลู่โจวใช้การ์ดครั้งแรก ตัวเขามีเพียงพลังอวตารดอกบัวแปดกลีบเท่านั้น และครั้งที่สองลู่โจวได้ใช้การ์ดไปกับการจับกุมตัวยี่เทียนซิน ในตอนนั้นตัวเขากลับมีพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบ แต่ในตอนนั้นลู่โจวไม่ได้สนใจอะไรเรื่องของดอกบัวทองคำมากนัก นี่เป็นครั้งที่สี่แล้วที่ลู่โจวใช้การ์ดระเบิดจุดสุดยอด ในท้ายที่สุดตัวเขาก็สามารถใช้พลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบได้
ชื่อไอเท็ม: การ์ดระเบิดจุดสุดยอดของจีเทียนเด๋า
หมายเหตุ: ทำให้ผู้ใช้สามารถใช้พลังสูงสุดที่จีเทียนเด๋ามีเป็นเวลา 30 นาที
ถ้าหากจะให้พูดอีกนัยหนึ่ง จีเทียนเด๋ามีพลังอวตารอยู่ที่ขั้นที่เก้าตั้งแต่แรกแล้ว! แต่เพราะขีดจำกัดอันยิ่งใหญ่ที่ใกล้เข้ามาทำให้พลังของเขาถดถอยกลับไปขั้นที่แปด เป็นเพราะลู่โจวได้ใช้พลังจากการ์ดพลังชีวิต ร่างกายของเขาจึงกลับมาพร้อมสำหรับการใช้พลังขั้นที่เก้าอีกครั้ง ถ้าหากจีเทียนเด๋าฝึกฝนตัวเองจนถึงขั้นที่เก้าเมื่อนานมาแล้ว แล้วตัวเขาจะได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการจู่โจมของเหล่ายอดฝีมือจากสิบสำนักใหญ่ได้ยังไงกัน? นับตั้งแต่จากนี้เป็นต้นไปลู่โจวก็อนุมานได้ว่าจีเทียนเด๋าสามารถฝึกฝนตนจนมีพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบตั้งแต่แรกแล้ว มันเกิดขึ้นก่อนที่ลู่โจวจะมายังโลกใบนี้ซะอีก
ผ่านไปครู่หนึ่งคำถามชุดใหญ่ได้ผุดขึ้นมาในใจของลู่โจว ‘แล้วจีเทียนเด๋าไปเอาพลังชีวิตกว่า 1,000 ปีเพื่อฝึกฝนไปถึงขั้นที่เก้าจากไหนกัน?’
หวืออ!
ตู๊ม!
เขตแดนที่เป็นแหล่งกำเนิดของม่านพลังกำลังสั่นสะเทือน
การสั่นสะเทือนในช่วงเวลสสั้นๆ ทำให้ลู่โจวกลับมามีสติอีกครั้ง ตัวเขามองขึ้นไปที่ม่านพลังของภูเขาทอง บัดนี้ม่านพลังเริ่มกลับมาส่องแสงแล้ว ตัวเขายังคงส่งพลังลมปราณที่มีใส่เขตแดนอย่างเต็มพลัง เป็นเพราะพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบทำให้ลู่โจวสามารถซ่อมแซมม่านพลังด้วยความเร็วอันน่ากลัวได้
…
ภายในถ้ำแห่งเงาซะท้อน สีวู่หยาถูกปลุกให้ตื่นจากความโกลาหลครั้งใหญ่ ตัวเขารีบเดินออกไปที่ปากถ้ำก่อนที่จะถูกม่านพลังของที่นั่นขวางกั้นไม่ให้ออกมา
สีวู่หยาตื่นตระหนกอีกครั้งกับเสียงอึกทึกที่มาจากการต่อสู้ เมื่อเห็นแบบนี้นั่นก็แสดงว่าศาลาปีศาจลอยฟ้ากำลังถูกโจมตี!
ตู๊ม!
สีวู่หยาจำไม่ได้แล้วว่าที่ม่านพลังของถ้ำแห่งเงาสะท้อนถูกชนมาแล้วกี่ครั้ง สีวู่หยาต้องการที่จะออกไปจากที่นี่ แต่น่าเสียดายที่พลังวรยุทธที่เขามีถูกฝานซงผนึกเอาไว้
“ท่านอาจารย์ ท่านช่างดื้อรั้นไม่เปลี่ยนเลยจริงๆ …”
ปั๊ง!
สีวู่หยาเดินโซเซออกมาจากม่านพลัง ตัวเขาไม่ได้ทำลายม่านพลังด้วยตัวเอง มันเป็นเพราะแรงสั่นสะเทือนที่มาจากเขตแดนพลังของภูเขาทองต่างหาก ความผันผวนของพลังอันมหาศาลได้ส่งผลต่อม่านพลังที่ถ้ำแห่งเงาสะท้อนมี ท้ายที่สุดแล้วม่านพลังที่มีจึงติดๆ ดับๆ ไป
สีวู่หยาที่เดินออกมาหันกลับไปมองด้วยความงุนงง แต่ยังไงซะตัวเขาก็ไม่มีเวลาจะมาหาเหตุผลของม่านพลังที่หายไปได้ สีวู่หยารีบลุกขึ้นมาก่อนที่จะวิ่งไปยังป่าที่อยู่ด้านหลัง
“ข้าเป็นคนเดียวเท่านั้น…คนเดียวที่จะสามารถช่วยศาลาปีศาจลอยฟ้าได้!”
ทันทีที่สีวู่หยาออกวิ่ง ในตอนนั้นท้องฟ้าที่มืดมิดก็เริ่มสว่างขึ้นมา มันเป็นสัญญาณของรุ่งอรุณแห่งวันใหม่นั่นเอง
บนหุบเขาทองทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นด้านหลังภูเขา ถ้ำแห่งเงาสะท้อน ศาลาปีศาจลอยฟ้า หรือแม้แต่หุบเขาใกล้เคียงต่างก็สว่างไสวไปด้วย
ม่านพลังของภูเขาทองถูกซ่อมแซมจนกลับมาเป็นเหมือนเก่า
สีวู่หยาที่เห็นแบบนั้นหยุดวิ่ง ตัวเขากำลังตื่นตระหนกกับสิ่งที่ได้เห็น ‘เกิดอะไรขึ้นกัน? เกิดอะไรขึ้นกับภูเขาทอง?’
การจะซ่อมแซมม่านพลังในสถานการณ์ปกติ ผู้ฝึกยุทธขั้นศักดิ์สิทธิ์ 5 คนจะต้องใช้เวลากว่าหลาย 10 ปีกว่าที่จะซ่อมแซมม่านพลังจนเสร็จสมบูรณ์ได้ ผู้ฝึกยุทธทั้งหมดจะต้องใช้เวลาซ่อมแซมพวกมันอย่างหนัก แม้แต่ยอดฝีมือผู้ที่มีพลังอวตารดอกบัวหกกลีบเองยังต้องใช้เวลากว่า 6 เดือนในการฟื้นฟูม่านพลังอย่างเต็มกำลัง แล้วเหตุใดกันทำไมม่านพลังถึงปรากฏขึ้นมาในทันทีแบบนี้ได้?
สีวู่หยาเดินออกมาจากป่า ตัวเขาเงยหน้าขึ้นมาก่อนที่จะจ้องไปยังร่างอวตารขนาดใหญ่ที่สูงตระหง่านอยู่เหนือศาลาปีศาจลอยฟ้า ที่ร่างอวตารนั้นส่องแสงสีทองระยิบระยับออกมา!
ใต้พลังอวตารที่เห็นมีดอกบัวทองคำกำลังหมุนรอบตัวเองอยู่อย่างช้าๆ มันเป็นดอกบัวที่มีกลีบถึง 9 กลีบ
สีวู่หยาสะดุดกลับถอยหลังด้วยความตกใจ ทุกครั้งที่ดอกบัวทั้งเก้าหมุนวนรอบตัวเองสีวู่หยาก็รู้สึกเจ็บปวดราวกับถูกตบ ตัวเขาได้แต่เยาะเย้ยตนเองอยู่ภายในใจ ‘ช่างโง่เขลาจริงๆ ความโอหังที่ข้ามีกลับบดบังดวงตาของข้าให้มืดบอด ข้าเป็นคนเดียวที่คิดว่าตัวเองจะสามารถช่วยศาลาปีศาจลอยฟ้าได้ ไม่ใช่แค่ท่านอาจารย์หรอกที่ดื้อรั้น ตัวข้าเองก็เช่นกัน…’
สีวู่หยาเป็นผู้ที่ภาคภูมิใจในการตัดสินใจของตัวเองรวมไปถึงวิธีการแก้ปัญหาที่ตัวเขามีมาโดยตลอด แต่ในตอนนี้ทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้ว พลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบกำลังเหยียบย้ำความภาคภูมิใจของตัวเขาอย่างไร้ความปรานี