ลู่โจวพยายามนึกหาข้อมูลที่เกี่ยวกับยู่เฉิงไห่ทั้งหมดจากความทรงจำ ตัวเขาพยายามนึกเรื่องทุกอย่างที่เกี่ยวกับชนเผ่าอื่นในยามที่จีเทียนเด๋าไปเยี่ยมเยียนหรงซีในอดีต ไม่ว่าจะมองจากมุมไหนอายุที่ยืนยาวรวมไปถึงพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบต่างก็เกี่ยวข้องกับศิษย์ทั้งเก้า
ในตอนแรกมีอีกหลายอย่างที่ลู่โจวยังจำไม่ได้ ทั้งเรื่องความพยายามในการฆ่าเหล่าสาวก, เคล็ดวิชาอักษรสวรรค์, ความพยายามที่จะฝึกฝนตัวเองไปถึงขั้นที่เก้า…ลู่โจวคิดว่ามันเป็นแค่ความบังเอิญเท่านั้น แต่เมื่อมองย้อนกลับไปเรื่องทุกอย่างมันเชื่อมโยงกันเกินกว่าจะบังเอิญได้ จีเทียนเด๋าตั้งใจจะปิดผนึกความทรงจำเกี่ยวกับพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบและอายุที่ยืนยาวเอาไว้ ทำไมจีเทียนเด๋าถึงตั้งใจทำแบบนั้น?
หมิงซี่หยินที่เห็นผู้เป็นอาจารย์กำลังใช้ความคิดไม่กล้าพอที่จะรบกวน ตัวเขามองไปที่สีวู่หยาและซู่ฮ่องกงอย่างมีความหมายก่อนที่จะพูดออกมาในท้ายที่สุด “ท่านอาจารย์ ศิษย์ขอตัวก่อน”
ซู่ฮ่องกงและสีวู่หยาเองไม่มีทางเลือกอื่น “ข้าขอตัวก่อนท่านอาจารย์”
แม้ว่าศิษย์ทั้งสามจะจากไป ลู่โจวก็ยังคงใช้ความคิดอยู่ภายในใจ
…
เมื่อสาวกทั้ง 3 ออกจากศาลาไป หยวนเอ๋อก็รีบกระโดดลงมาหาพวกเขา “ศิษย์พี่!”
“ว่าไงศิษย์น้องเล็ก”
หมิงซี่หยินมองไปที่สีวู่หยา “ศิษย์น้องเจ็ด เจ้าไม่ควรจะโอ้อวดสติปัญญาที่ตื้นเขินของเจ้าด้วยกลอุบายเล็กๆ แบบนั้นต่อหน้าท่านอาจารย์ ข้าน่ะช่วยเจ้าได้แค่ครั้งเดียวเท่านั้น ข้าจะไม่ช่วยเจ้าอีก”
สีวู่หยาได้พูดออกมาอย่างไม่พอใจ “นั่นเป็นวิธีที่ท่านใช้ช่วยข้าอย่างงั้นเหรอ?”
“ข้ารู้ว่าเจ้าภาคภูมิใจในมันสมองของตัวเองแค่ไหน แต่ท่านอาจารย์ฝึกฝนตัวเองจนไปถึงขั้นที่เก้าได้แล้ว ทำไมเขาถึงต้องสนใจศิษย์พี่ใหญ่กันด้วยล่ะ? เจ้ากำลังฝันหวานอยู่เหรอไงกัน?” หมิงซี่หยินพูดออกมาอย่างเย้ยหยัน
“ข้า…”
หมิงซี่หยินไม่ปล่อยให้สีวู่หยามีโอกาสที่จะโต้ตอบกลับมา “พอได้แล้ว ท่านอาจารย์อาจจะเชื่อเจ้า แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าข้าจะเชื่อเจ้า ราชวงศ์ของดินแดนหยานอันยิ่งใหญ่เคยท้าทายศาลาปีศาจลอยฟ้าอยู่หลายครั้ง เจ้าไม่คิดว่าท่านอาจารย์จะรู้สึกรำคาญเหรอไงกัน? ถ้าหากศิษย์พี่ใหญ่ปรารถนาที่จะต่อสู้กับเหล่าราชวงศ์จริง มันก็เหมือนกับการกำจัดเสี้ยนหนามให้กับศาลาปีศาจลอยฟ้า ข้าเชื่อว่าท่านอาจารย์คงจะไม่ขัดขวางศิษย์พี่ใหญ่ไปทุกครั้งหรอก”
สีวู่หยาพยักหน้าเมื่อได้ฟังแบบนั้น ในตอนนี้เรื่องทุกอย่างมันรุมเล่าจนเกินไป เพราะแบบนั้นทำให้ความคิดของสีวู่หยาสับสน แต่เมื่อได้ยินคำพูดของหมิงซี่หยิน มันฟังดูมีเหตุผล สีวู่หยาคิดว่าหมิงซี่หยินพูดถูกต้องแล้ว สีวู่หยายกมือคารวะก่อนที่จะตอบกลับไป “ขอบคุณที่ชี้แนะศิษย์พี่สี่”
“ด้วยความยินดี” หมิงซี่หยินตอบกลับ
ทันทีที่หมิงซี่หยินพูดจบ เสียงคร่ำครวญหลายครั้งก็ได้ดังมาจากกลางหุบเขา
หมิงซี่หยินที่ได้ยินเสียงนั้นรู้ดีว่าใครเป็นเจ้าของเสียง “แล้วตอนนี้พวกเราจะทำยังไงกัน? นางกำลังมาหาท่านอาจารย์แล้ว”
สีวู่หยาที่เห็นแบบนั้นได้พูดต่อ “ให้ข้าจัดการเรื่องนี้เถอะ” สีวู่หยาที่พูดจบได้เดินลงจากหุบเขา
หยวนเอ๋อ, ซู่ฮ่องกง และหมิงซี่หยินเดินตามสีวู่หยาในทันที
เมื่อมองมาจากทางด้านบน ทุกคนมองเห็นหญิงชราคนหนึ่งที่กำลังใช้ไม้เท้าพยุงตัวเองอยู่ นางพยายามเดินขึ้นบันไดมาอย่างสบายๆ ในขณะเดียวกันฝานซงและโจวจี้เฟิงเดินอยู่ไม่ห่างมาก ใบหน้าของพวกเขาทั้งคู่ต่างก็บวมช้ำ
สีวู่หยาขมวดคิ้วเล็กน้อย ตัวเขายังจำคำพูดของหมิงซี่หยินในก่อนหน้านี้ได้ “นี่คือยอดฝีมือแห่งลัทธิขงจื๊อ ซูยู่ชูอย่างงั้นเหรอ?”
“ถูกต้อง” หมิงซี่หยินตอบออกมาอย่างหมดหนทาง “หญิงชรามาภูเขาทองของพวกเราโดยเลือกที่จะเดินมาจากทางด้านล่าง ระวังเอาไว้ให้ดี นางไม่เชื่อว่าผู้ฝึกยุทธผู้ที่มีพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบจะมีจริง”
“…” ในตอนแรกสีวู่หยาตั้งใจที่จะข่มขู่ยอดฝีมือคนนี้ด้วยพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบ แต่ใครจะไปรู้กันว่าหญิงชราคนนี้จะเป็นคนที่แปลกประหลาดและดื้อรั้นถึงเพียงนี้?
ซูยู่ชูใช้เวลาส่วนใหญ่กับการอยู่ในส่วนลึกของหุบเขา นางแทบที่จะไม่มีปฏิสัมพันธ์กับผู้คน ดังนั้นเป็นธรรมดาที่นางจะเลือกออกจากหุบเขาอย่างสันโดษ สำหรับนางแล้วสถานที่ที่แออัดคงจะเป็นเพียงแค่สถานที่อันน่ารำคาญ ซูยู่ชูคงจะไม่ยอมพูดคุยกับชาวเมืองถึงเรื่องผู้ฝึกยุทธผู้มีพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบแน่
หลังจากนั้นไม่นานเสียงกรีดร้องก็ได้ดังขึ้นมาอีกครั้ง
ในตอนนั้นเองฝานซงและโจวจี้เฟิงรีบวิ่งไปหาสีวู่หยา
“ท่านศิษย์คนที่เจ็ด! เร็วเข้า! รีบหยุดนางเร็ว!”
แม้ว่าสีวู่หยาจะดูเหนื่อยล้าไร้เรี่ยวแรง แต่เมื่อสีวู่หยายืนหลังตรง สง่าราศีแห่งความน่าเชื่อถือก็เริ่มแผ่กระจายออกมาจากตัวเขา
หญิงชราที่หลังค่อมซูยู่ชู ในที่สุดนางก็เดินมาถึงชั้นบนสุดของบันได นางมองไปยังผู้ที่ยืนอยู่เบื้องหน้า ดวงตาของนางจับจ้องไปที่หมิงซี่หยินที่ดูคุ้นเคย “เจอกันอีกแล้วนะเจ้าหนุ่ม”
“เอ่อ…ผู้อาวุโส!” หมิงซี่หยินทักทายออกมาอย่างผิดธรรมชาติ ในความทรงจำที่หมิงซี่หยินพบเจอนาง หญิงชราคนนี้เปรียบได้ดั่งฝันร้ายสำหรับตัวเขา
สีวู่หยาพูดต่อ “สวัสดีผู้อาวุโส”
“แล้วเจ้าเป็นใครกัน?”
“ข้าสีวู่หยา ศิษย์คนที่เจ็ดของศาลาปีศาจลอยฟ้า” สีวู่หยาตอบกลับไปมาอย่างตรงไปตรงมา
ซูยู่ชูหัวเราะเสียงดัง “ข้าประเมินเขาสูงเกินไปจริงๆ ทั้งพวกพิการเหนื่อยอ่อน, พวกโง่เง่า, พวกหมูตอน…และก็พวกไร้สมองที่เดินไปมา ดูเหมือนว่าเขาจะไม่เลือกสาวกที่จะมารับใช้เลยสินะ”
ซู่ฮ่องกงและหยวนเอ๋อต่างก็สับสน ‘ผู้อาวุโสนี่เป็นใครกัน? ทำไมนางถึงได้พูดดูถูกพวกเราในทันทีที่มาถึงแบบนี้?’
สีวู่หยาที่ได้ฟังแบบนั้นไม่ได้ดูโกรธเคืองอะไร “ท่านต้องการพบอาจารย์ของพวกเราสินะ ผู้อาวุโสซู?”
ซูยู่ชูชี้ไปที่หมิงซี่หยินด้วยไม้เท้า “เจ้านั่นไม่ได้บอกเหตุผลที่ข้ามาที่นี่อย่างงั้นเหรอ?”
หมิงซี่หยินรีบตอบกลับ “ผู้อาวุโส ท่านรู้สาเหตุที่เฟิงชิงตายแล้ว เหตุใดท่านถึงต้องทำเช่นนี้ด้วย?”
เมื่อได้ยินแบบนั้นสีวู่หยาก็พอจะคาดเดาอะไรได้ ตัวเขาได้พูดต่อพร้อมรอยยิ้ม “ท่านตั้งใจที่จะล้างแค้นให้เฟิงชิงสินะผู้อาวุโสซู?”
“สิ่งที่ข้าต้องการคือคำอธิบาย ข้าสัญญากับเฟิงชิงเอาไว้ว่าข้าฆ่าทุกคนที่หลงเข้ามาในหุบเขาโดยไม่ลังเล แต่ข้าได้ไว้ชีวิตเจ้าหนุ่มนี่ก็เพราะเห็นแก่อาจารย์ของเจ้า แต่ยังไงซะอาจารย์เจ้าก็ควรที่จะอธิบายทุกอย่างกับข้า เจ้าไม่คิดแบบนั้นเหรอไงกัน?” ซูยู่ชูตอบกลับมา
สีวู่หยาพยักหน้า “แล้วทำไมท่านไม่ให้ข้าเป็นผู้อธิบายล่ะ?”
“เจ้าน่ะเหรอ?” ใบหน้าของซูยู่ชูเปลี่ยนไป ใบหน้าของนางดูไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่สีวู่หยาพูด เห็นได้ชัดว่านางไม่ชอบท่าทีสบายๆ ของสีวู่หยา
สีวู่หยาพูดออกมาอย่างเฉยเมย “เฟิงชิงเป็นเจ้าสำนักเจินชาง ตัวเขาได้สมรู้ร่วมคิดกับหกสำนักใหญ่และแอบปลุกเร้าผู้อาวุโสทั้งสิบของสำนักหยุนให้เริ่มจู่โจมศาลาปีศาจลอยฟ้าอย่างพร้อมเพรียงกัน ท่านพอใจกับคำอธิบายของข้ารึเปล่า ผู้อาวุโสซู?”
ซูยู่ชูขมวดคิ้วเล็กน้อย นางจ้องมองสีวู่หยาครู่หนึ่งก่อนที่จะเคาะไม้เท้าลงบนพื้น
ตึ๊ก!
รอยร้าวที่เกิดจากการกระแทกได้แผ่ไปทั่วพื้น รอยแตกเริ่มส่องสว่างออกมา…
“พลังผนึกอักษร?” หมิงซี่หยินถอยหลังไปหลายก้าว อักษรเหล่านี้เป็นเหมือนกับอักษรที่จารึกไว้บนตอไม้ในหุบเขาลึกลับ
ทุกคนยกเว้นสีวู่หยาถอยหลังกลับ “ท่านตั้งใจที่จะรังแกคนรุ่นหลังหรอผู้อาวุโส?”
แสงจากรอยร้าวเริ่มจางลง
ซูยู่ชูตอบกลับมา “ข้าไม่มีอะไรจะพูดกับเจ้า ไปบอกให้อาจารย์ของเจ้าออกมาซะ…”
“อาจารย์ของพวกเราไม่สบาย…พวกเราอยากให้ผู้อาวุโสเข้าใจด้วย”
“ข้าคิดว่าเจ้าไม่อยากให้เกียรติข้าเลยนะ”
“ไม่ ไม่ ไม่ใช่แบบนั้น…” สีวู่หยารีบโบกมือปฏิเสธ “สิ่งที่ข้าพูดคือความจริง”
“หืม?” สีหน้าของซูยู่ชูแข็งทื่อ นางยกไม้เท้าขึ้น ในตอนนั้นเองพลังอักษรผนึกได้ปรากฏขึ้นบนไม้เท้าของนาง “เจ้าหนุ่ม เป็นเพราะอาจารย์ของเจ้าไม่ได้สั่งสอนมารยาทให้ดีพอ ข้าจะเป็นผู้ที่สอนมารยาทแทนเอง”
พรึ๊บ! พรึ๊บ! พรึ๊บ!
พลังผนึกอักษรถูกยิงออกมาจากไม้เท้า มันได้พุ่งไปทางสีวู่หยาโดยตรง
สีวู่หยาเอื้อมมือไปทางด้านหลังก่อนที่จะคว้าซู่ฮ่องกงเอาไว้
ซู่ฮ่องกงถูกใช้เป็นโล่อย่างกะทันหัน ถึงจะรู้ตัวแต่ซู่ฮ่องกงก็สายเกินกว่าจะหนีซะแล้ว
ตู๊ม! ตู๊ม! ตู๊ม!
พลังตัวอักษรพุ่งเข้าชนหน้าอกของซู่ฮ่องกง “โอ๊ย ศิษย์พี่เจ็ด! ท่านจะทำอะไรกัน?”
ซูยู่ชูมองไปที่ซู่ฮ่องกงด้วยความตกใจ นางที่เห็นแบบนั้นได้อุทานออกมา “เจ้าไม่เป็นอะไรเลยอย่างงั้นเหรอ?”
สีวู่หยาตอบกลับมา “พลังแผ่สวรรค์ของลัทธิขงจื๊อเป็นอะไรที่ทรงพลังจริงๆ …”
ซูยู่ชูสัมผัสได้ถึงการเสียดสีจากคำพูดของสีวู่หยา นางกำไม้เท้าแน่นกว่าเดิม
ตู๊ม!
ซูยู่ชูกระแทกไม้เท้าลงบนพื้น ครั้งนี้รอบตัวของนางเต็มไปด้วยพลังลมปราณ
ทุกคนล่าถอยกลับไป
สีวู่หยาที่กำลังจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็มีเสียงอันนุ่มลึกมาจากทางด้านหลังซะก่อน “พอได้แล้ว”
ทุกคนจ้องมองไปยังที่ที่เสียงดังขึ้น
ลู่โจวที่สงบสติอารมณ์ได้เดินมาพร้อมกับเสื้อคลุมเรียวยาว ตัวเขาได้ปรากฏตัวต่อหน้าทุกคน
“ท่านอาจารย์!”
“ท่านปรมาจารย์!”
ซูยู่ชูเงยหน้าขึ้นมอง นางเห็นชายชราที่ค่อยๆ เดินมาหาทุกคน นอกจากความตกใจที่ได้เห็นจากดวงตาทุกคน นางยังสังเกตเห็นถึงความเคารพและความกลัวจากสายตาทุกคนได้