ตอนที่ 467 ศิษย์พี่ใหญ่ผู้น่าสงสาร
การมีอยู่ของบันทึกสีวู่หยาได้ทําให้ตัวเขาไม่อาจพูดโต้แย้งได้อีก
ลู่โจวใช้เวลาคิดเกี่ยวกับบันทึกมาอย่างยาวนาน บางครั้งจิตใจของเขาก็ล่องลอยไปในขณะทําสมาธิ คนแบบไหนกันที่สามารถฟื้นคืนจากความตายได้? แม้แต่คนอย่างหยุนเทียนลั่วก็ยังไม่อาจฟื้นคืนกลับมา ยู่เฉิงไห่จะรับมือกับเรื่องแบบนี้ได้ยังไง?ในความเป็นจริงลู่โจวไม่พบคําตอบจากความทรงจําเลย ในขณะนั้นตัวเขาก็นึกไปถึงคําๆ หนึ่งในหนังสือ “รดน้ำ” คําว่ารถน้ำถือว่าเป็นคําที่เป็นเบาะแสมากที่สุดแล้ว
สีวู่หยายังคงคุกเข่าในขณะที่พูดออกมาอย่างช้าๆ “หลายร้อยปีก่อนขาวหวู่เฉียนเคยอาศัยอยู่ ในดินแดนหยานอันยิ่งใหญ่มาก่อน แต่เมื่อเกิดสงครามขึ้นชาวหวู่เฉียนเลยต้องอพยพไปยังดินแดนอื่น พวกเขาทั้งหมดเดินทางจากมณฑลหยางไปทางตะวันออกจนไปถึงมณฑลเหลียง ทุกอย่างล้วนแต่เป็นไปด้วยดี”
สีหยาพูดต่อ “ชาวหวู่เฉียนถูกจับในระหว่างสงครามของดินแดนหยานอันยิ่งใหญ่กับชาวลั่วหลาน ท้ายที่สุดแล้วพวกเขาก็เกือบจะถูกกวาดล้างไป มีเพียงชาวหวู่เฉียนทั้งสามเท่านั้นที่รอดชีวิตมาได้ ศิษย์พี่ใหญ่เองเป็นหนึ่งในนั้น ตอนนั้นศิษย์พี่ยังเป็นเด็กอยู่ ชาวหวู่เฉียนจะต้องหาเลี้ยงชีพและนอนอยู่ข้างถนน พวกเขามักจะถูกเฆี่ยนตี ดูถูกและสาปแช่งอยู่เสมอ ศิษย์พี่ใหญ่มักจะขโมยอาหารเพื่อเลี้ยงชีพเหล่าสหายทั้งหมด ศิษย์พี่ใหญ่เป็นผู้ที่แน่วแน่และความดื้อรั้นแต่แรกเริ่ม ไม่ว่าเขาจะถูกทุบตีมากแค่ไหนแต่ตัวเขาก็จะไม่ยอมก้มหัวให้ใคร”
ลู่โจวเข้าใจเรื่องนี้ดี สิ่งที่ยู่เฉิงไห้เป็นล้วนแต่บ่งชี้ว่าตัวเขาเป็นชายผู้ดื้อรั้น ถ้าหากตัวเขา เลือกตัดสินใจไปแล้วมันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเปลี่ยนความคิดของยู่เฉิงไห้ได้
“หลังจากนั้นสหายทั้งสองของศิษย์พี่ก็ถูกทําร้ายจนถึงแก่ความตาย ศิษย์พี่ใหญ่ที่ถูกจับได้ ถูกขายให้กับชาวลั่วหลานไป” สีวู่หยาหยุดพูดอย่างกะทันหัน ตัวเขาเงยหน้าขึ้นมาเล็กน้อย สีหยาพยายามที่จะสังเกตสีหน้าของลู่โจว สีหน้าของลู่โจวในตอนนี้ยังคงนิ่งเฉย ตัวเขาไม่รู้ว่าลู่โจว กำลังคิดอะไรอยู่
เมื่อสีวู่หยาหยุดพูด ลู่โจวก็ได้ถามออกมา “ทําไมชาวหวู่เฉียนถึงไม่ฟื้นหลังจากที่ตายไปแล้วละ?”
“การที่ชาวหวู่เฉียนทั่วไปจะสามารถฟื้นคืนชีพได้เป็นไปได้ยาก เงื่อนไขในการฟื้นคืนชีพเป็นอะไรที่เข้มงวดมาก ชาวหวู่เฉียนที่เริ่มฝึกยุทธเท่านั้นที่จะบรรลุเงื่อนไขนี้ได้ นอกจากนี้ชาวหวู่เฉียนยังสามารถฟื้นคืนชีพได้เพียง 3 ครั้งเท่านั้น ทุกครั้งในการฟื้นคืนชีพพวกเขาก็จะสูญเสียอายุขัยไปกว่า 300 ปี ตอนนี้ศิษย์พี่ใหญ่เป็นผู้ที่มีพลังอวตารดอกบัวแปดกลีบในขั้นสูงสุด ตัวเขาควรจะมีอายุขัยอยู่ที่ 1,000 ปี แต่น่าเสียดาย…”
ลู่โจวพยายามใช้ความคิด ตัวเขาเข้าใจสถานการณ์ดี ถ้าหากชาวหวู่เฉียนสามารถฟื้นคืนชีพ โดยไม่มีข้อจํากัดได้ พวกเขาก็คงจะเป็นอมตะมีใครในโลกอันกว้างใหญ่แบบนี้ที่จะหลุดพ้นจากพันธนาการเหล่านี้ได้กัน?
“พูดต่อ” ลู่โจวต้องการจะรู้เรื่องให้มากกว่านั้น
“ศิษย์พี่ใหญ่สามารถใช้ชีวิตได้ง่ายดายขึ้นเมื่ออยู่กับชาวลั่วหลาน แต่ถึงแบบนั้นตัวเขาก็มีอาการแย่ลง ศิษย์พี่ใหญ่ไม่ได้พักผ่อนให้เพียงพอ เหล่ายอดฝีมือของชาวลั่วหลานล้วนแต่เกลียดชัง ชาวดินแดนหยานอันยิ่งใหญ่ เพื่อที่จะระบายความเกลียดชังศิษย์พี่ใหญ่จึงถูกทรมานตัวยมีดในทุกๆวัน ทุกบาดแผลทําให้ศิษย์พี่ใหญ่เจ็บปวดเป็นอย่างมาก ศิษย์พี่ใหญ่ถูกทรมานต่อเนื่องเจ็ดวันเจ็ดคืนก่อนที่จะเสียเลือดจนตายไปในที่สุด” เมื่อพูดมาถึงตอนนี้สีรู่หยาก็หยุดพูดไป ท่าทางของเขาดูกระวนกระวายอย่างเห็นได้ชัด “บางที่สวรรค์อาจจะสงสารศิษย์พี่ใหญ่และยังไม่อยากให้เวลาที่ศิษย์พี่มีต้องหมดลง ศิษย์พี่ใหญ่ถูกทิ้งอยู่ในบังโคลนเป็นเวลากว่า 49 วัน หลัง จากนั้นตัวเขาก็ฟื้นคืนชีพกลับมา ศิษย์พี่ใหญ่เดินตามทางไปยังลั่วหลานก่อนที่จะกลายเป็นศิษย์ ของท่านอาจารย์ไปในที่สุด”
เมื่อสีวู่หยาพูดจบตัวเขาก็โขกศีรษะลงบนพื้นอีกครั้ง “ข้ายินดีที่จะช่วยศิษย์พี่ใหญ่พิชิตโลกใบนี้ ข้าไม่เคยเสียใจเลยที่ตัดสินใจแบบนั้น”
หลังจากที่ได้ฟังสิ่งที่สีวู่หยาพูดจบ ลู่โจวก็ใช้ความคิดอันซับซ้อนจิตใจของเขาเต็มไปด้วยอดีต ของยู่เฉิงไห้และยู่ฉางตง ไม่ว่าจะเป็นชาวมนุษย์เผือก เหล่าชนขั้นสูง หรือแม้แต่ชาวหวู่เซียนทุกๆ คนต่างก็มีเรื่องเกี่ยวข้องกับอายุขัยด้วยกันทั้งนั้น
จากสิ่งที่ลู่โจวได้ยินมา ถ้าหากจีเทียนเด๋าต้องการจะใช้ลูกศิษย์ที่มีเพื่อที่จะฝึกฝนจนมีพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบเพื่อชีวิตที่ยืนยาวจริงๆ ทําไมท้ายที่สุดแล้วเขาถึงไม่ยอมสละศิษย์สาวกทั้งเก้าที่มีกัน เกิดอะไรขึ้นระหว่างนั้นกันแน่?
ลู่โจวเหลือบมองไปที่บันทึกของสีวู่หยา “แล้วเจ้าจะอธิบายเรื่องของบันทึกนี้ว่าอะไร?”
“นั่นเป็นเหตุผลที่ข้าอยากจะขอร้องท่านอาจารย์ ท่านอาจารย์ได้โปรดไว้ชีวิตศิษย์พี่ใหญ่สักครั้ง สิ่งที่ข้าบันทึกเอาไว้เกิดขึ้นในตอนที่ศิษย์พี่ใหญ่ฝึกฝนตัวเองจนมีพลังอวตารดอกบัวแปดกลีบได้ มันเป็นความตายครั้งที่สองของตัวเขา”
“ความตายครั้งที่สอง?”
ตั้งแต่ยู่เฉิงให้ได้เข้าร่วมกับศาลาปีศาจลอยฟ้า ตัวเขาก็เริ่มฝึกฝนในทันที ด้วยพลังวรยุทธและความแข็งแกร่งที่ตัวเขามีทําไมยู่เฉิงให้ถึงได้ตายอย่างง่ายดายแบบนั้นกัน?
“ข้าเกรงว่าท่านจะเป็นเพียงคนเดียวที่รู้เหตุผลเรื่องนี้ ท่านอาจารย์”
ลู่โจวขมวดคิ้วก่อนที่จะลุกขึ้นยืน ตัวเขาเอามือไขว้หลังก่อนที่จะเริ่มเดิน ถ้าหากรู้เหตุผล ในตอนนี้ก็คงจะไม่มีปัญหาอะไร หลังจากที่พยายามค้นหาความทรงจําที่มีลู่โจวก็ไม่พบอะไรเพิ่มเติม จีเทียนเด๋าปิดผนึกความทรงจําของตัวเองเพราะเรื่องที่ได้ฆ่าศิษย์ของตัวเองจริงๆ อย่างงั้นเหรอ?
แม้ว่าลู่โจวจะเป็นเพียงคนนอก และเรื่องทั้งหมดก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับตัวเขา ตอนนี้ลู่โจวกําลังเล่นบทบาทในส่วนของเทียนเด๋าลู่โจวไม่อาจที่จะหลุดพ้นจากชะตากรรมนี้ได้
“เจ้ากําลังสงสัยว่าข้าเป็นผู้ที่ฆ่ายู่เฉิงไห่อย่างงั้นสินะ?” ลู่โจวถามออกมา ถ้าหากลู่โจวเกิดในโลกแห่งนี้ ตัวเขาก็คงจะสงสัยว่าจีเทียนเด๋าเป็นผู้ที่ฆ่ายู่เฉิงไห่เช่นกัน แต่อย่างไรก็ตามในตอนนี้ ตัวเขาได้รู้ได้เห็นอะไรที่มากกว่านั้น จีเทียนเด๋ามีอารมณ์รุนแรงราวกับเปลวไฟ นอกเหนือจากความเจ้าอารมณ์ลู่โจวไม่คิดว่าจีเทียนเด๋าจะเป็นชายผู้โหดเหี้ยมและไร้หัวใจ
คําว่าสํานักฝ่ายอธรรมไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าคําที่ใช้เรียกฝ่ายที่เห็นต่างให้กลายเป็นปฏิปักษ์
“ข้าไม่กล้า…” สีวู่หยาพูดต่อ “ข้ายินดีที่จะช่วยท่านหาคริสตัลแห่งความทรงจําเอง”
ก่อนหน้านี้สีวู่หยาไม่เคยที่จะให้ความร่วมมือในการหาคริสตัลแห่งความทรงจํามาก่อน แต่ในตอนนี้อาจารย์ของเขาได้กลายมาเป็นผู้มีพลังอวตารตอกบัวเก้ากลีบแล้ว ความกังวลที่สีวู่หยามก็ได้หายไป
“ฟังซะ สีวู่หยา”
“ครับท่านอาจารย์”
“ข้ามีภารกิจที่จะมอบให้เจ้าอยู่ 2 ภารกิจ ภารกิจแรกก็คือการหาคริสตัลแห่งความทรงจํา ภารกิจที่สองคือการเกลี้ยกล่อมให้ยู่เฉิงไห้กลับมา” ลู่โจวได้พูดออกมาอย่างสง่างาม
สีวู่หยาก้มหน้าลงก่อนที่จะตอบรับกลับไป “ครับท่านอาจารย์ แต่ว่า…”
“แต่อะไรกัน?”
“ข้าไม่มีข้อสงสัยอะไรเกี่ยวกับภารกิจแรก แต่ศิษย์พี่ใหญ่เป็นคนดื้อรั้น ข้าเกรงว่า…” สีวู่หยาแสดงสีหน้าลําบากใจออกมา
สีวู่หยาคาดเอาไว้แล้วว่าลู่โจวจะต้องบังคับให้ตัวเขาทําภารกิจให้สําเร็จ แต่ท้ายที่สุดลู่โจวก็ได้พูดเพียง “ข้าจะปล่อยให้เจ้าจัดการแค่นั้นแหละ”
“ปล่อยให้ข้าอย่างงั้นเหรอ?” สีวู่หยาตกตะลึง แต่เมื่อเห็นผู้เป็นอาจารย์กําลังจะเดินกลับไปที่เบาะนั่ง ตัวเขาก็ไม่กล้าที่จะอยู่ที่นี่อีกต่อไป สีวู่หยาลุกขึ้นยืนก่อนที่จะพูดอําลา “ถ้าหากหมดเรื่องแล้วข้าขอตัวก่อน”
“ไปหาฝานชงซะ ให้เจ้านั่นปลดพลังผนึกของเจ้าชะ แล้วก็อย่าลืมเอาพัดขนนกยูงไปกับเจ้าด้วย”
“ขอบคุณท่านอาจารย์!” สีวู่หยารู้สึกมีความสุขเป็นอย่างยิ่ง ตัวเขารีบหยิบพัดขนนกยูงออกมาก่อนที่จะทําความเคารพลู่โจวและจากไป
ลู่โจวได้กลับมานั่งก่อนที่จะทําสมาธิอีกครั้ง ลู่โจวที่กําลังจะหลับตาก็เหลือบไปเห็นตัวอักษรที่ถูกขีดเขียนเอาไว้ “มีความบังเอิญแบบนี้จริงๆ อย่างงั้นเหรอ? ถ้าหากสิ่งที่ขีดเขียนไว้เป็นความจริง ฉันจะต้องมีลูกศิษย์อีกคน? ลูกศิษย์ที่มีแซ่ว่าชิ?”
ในขณะเดียวกัน ณ ร้านอาหารแห่งหนึ่งในเมืองหนาน
เจียงอาเฉียนกําลังเกาศรีษะของตัวเองอย่างสงสัย “หญิงสาวแซ่หลัว? นี่มันจะต้องเป็นเรื่องล้อเล่นแน่!”
“ผู้อาวุโสจิคิดว่าข้าจะทําอะไรก็ได้อย่างงั้นสินะ…” เจียงอาเฉียนลูบเคราของตัวเอง “ถึงแม้ว่าข้าจะมีสายข่าวเยอะแค่ไหนแต่การจะตามหาคนๆ เดียวได้มันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายหรอกนะผู้อาวุโส!”
เจียงอาเฉียนได้คว้าตัวของเสี่ยวเอ้อที่เดินผ่าน “ขอโทษที่นะ เจ้าพอจะรู้จักหญิงสาวแช่หลัว บ้างไหม?”
เสี่ยวเอ้อที่ถูกคว้าตัวตื่นตกใจ “นายท่านนายทนควรที่จะตามหานางด้วยตัวเองข้าโง่เขลา ข้าไม่รู้จักแม่นางแซ่หลัวหรอก”
เจียงอาเฉียนได้ผลักเสี่ยวเอ้อคนนั้นไป “แม่นางแซ่หลัว ผู้ที่ช่วยหยุนเทียนลั่วให้กลายเป็นยอดฝีมือได้ ทําไมข้าไม่อยากที่จะเชื่อเรื่องนี้เอาซะเลย? คงมีแต่วิธีหาแบบสุ่มเท่านั้นแหละ นะ” หลังจากพูดจบเจียงอาเฉียนก็ได้กระโดดออกจากร้านอาหารไป
ไกลออกไปทางตอนเหนือนับสิบไมล์จากสํานักแก่นแท้แห่งหยาง
ยู่ฉางตงกําลังขี่ปี่เอี๊ยนอยู่ ปีเอี๊ยนกําลังบินอย่างช้าๆ ยู่ฉางตงในตอนนี้เพลิดเพลินไปกับการชมวิวทิวทัศน์อยู่
โฮรก!
ปี่เอี๊ยนส่งเสียงร้องออกมา
ยู่ฉางตงที่ได้ยินแบบนั้นสงสัย “หืม?”
โฮรก!
“ข้างหน้านั้น?”
ยู่ฉางตงมองเห็นป่าที่อยู่ทางด้านหน้า ทางตรงนั้นเต็มไปด้วยหมอกควันสีดํา มันเป็นหมอกควันดําราวกับมีอะไรบางอย่างกําลังถูกเผาไหม้อยู่
“หลีกเลี่ยงทางนั้นกันเถอะ”
ปี่เอี๊ยนได้ปรับทิศทางในการบินของตัวเอง ในตอนนี้ทั่วทั้งท้องฟ้าเหนือยู่ฉางตงกําลังถูกปกคคุมไปด้วยหมอกควัน
“พิษอย่างงั้นเหรอ?” ยู่ฉางตงขมวดคิ้วเล็กน้อย จากสัญชาตญาณที่ตัวเขามี ยู่ฉางตงเชื่อว่า ควันสีดําที่กําลังมองเห็นอยู่จะต้องไม่ธรรมดาอย่างที่คิด และเพราะแบบนั้นตัวเขาจึงบังคับปี่เอี๊ยนให้บินต่ำลง
ในตอนนั้นเองก็มีเสียงแปลกๆ ดังขึ้นจากป่า “ทําไมเจ้าไม่ลงมาคุยกับข้าก่อนล่ะ สหายข้า?”