ตอนที่ 472 นางไม่เหมือนใคร
ฮั๊วจงหยางครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ตลอดในการเดินทาง ตัวเขาไม่เคยมีสหายที่มีอายุห่างกันมากขนาดนี้ ยิ่งไปกว่านั้นนี้เป็นภารกิจการปลอมตัว นอกจากนี้ตัวเขายังใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ใน สำนักอเวจี ฮั๊วจงหยางทําหน้าที่ระดับสูงมาโดยตลอด ตัวเขาแทบที่จะไม่มีโอกาสลงมือปฏิบัติภารกิจตามลําพังด้วยซ้ํา ดังนั้นฮั๊วจงหยางจึงมั่นใจมากว่าไม่เคยพบชายคนนี้มาก่อน ตลอดเวลาที่ตัวเขาได้อยู่กับสํานักอเวจีมา ฮั๊วจงหยางก็ได้เอาชนะยอดฝีมื่อผู้มีพลังอวตารดอกบัวหกกลีบขึ้นไปมากมายหลายคน ตัวเขากังวลว่าชายชราแปลกหน้าคนนี้จะเป็นศัตรูที่จดจําเขาได้และตามมาเพื่อที่จะแก้แค้น
ลู่โจวไม่ได้ตอบโต้อะไรไป ตัวเขาเลือกที่จะวัดพลังวิเศษที่เหลือแทน การใช้พลังฝ่ามือของเขาไม่ได้รุนแรงมากนัก มันใช้พลังไปประมาณหนึ่งในสิบจากเดิมที่มีเท่านั้น ในที่สุดลู่โจวก็ได้ตอบโต้กลับมา ตัวเขาได้ใช้เวลาพักหนึ่งไปกับการแต่งเรื่องเพิ่มเติม “ข้ามแช่ว่าลู่ ข้ามาจากเผิงไหล เจ้าดูเหมือนกับสหายของข้า เขาเป็นสหายหนุ่ม แต่ดูเหมือนว่าข้าจะเข้าใจผิดไป”
ลู่โจวจะต้องปลอมแปลงตัวตนต่อไป ยังไงซะผู้ที่ตัวเขาอยากพบก็คือยู่เฉิงไห่
คําตอบของลู่โจวทําให้ใบหน้าของฮั๊วจงหยางดูคลายความกังวลไปได้บ้าง “ผู้อาวุโสจากเผิงไหล นี้เอง อภัยให้ข้าตัวยที่ต้องหยาบคายกับท่าน”
“เจ้ารู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับเผิงไหลกัน?”
“ข้ารู้แค่เพียง” ฮั๊วจงหยางหยุดพูดซะก่อน ตัวเขาเกือบที่จะลืมตัวไป การลืมตัวของเขาจะทําให้ภารกิจที่ได้รับมอบหมายมาล้มเหลวไปด้วยได้
ในทางกลับกันลู่โจวกลับรู้สึกตกใจ ถ้าหากฮั๊วจงหยางรู้จักเผิงไหลดีจริง ตัวเขาก็คงจะไม่เลือกวิชาของสํานักเผิงไหลในการปัดป้องโจมตีแน่
ฮั๊วจงหยางเลือกที่จะเปลี่ยนหัวข้อแทน “แล้วท่านมาทําอะไรที่มณฑลจิงกัน ผู้อาวุโส?”
“ข้ากําลังตามหาคนอยู่น่ะ” ลู่โจวตอบกลับอย่างตรงไปตรงมา “แล้วสหายหนุ่มเช่นเจ้ามา ทําอะไรที่นี่ล่ะ?”
“ข้าเองก็กําลังตามหาใครบางคนอยู่” ฮั๊วจงหยางตอบกลับ
บทสนทนาของทั้งสองคนเต็มไปด้วยความตึงเครียด ทั้งคู่ต่างก็ไม่วางใจซึ่งกันและกัน มันเป็นเรื่องธรรมดาของโลกแห่งการฝึกตนนี้
…
ลู่โจวไม่ให้แปลกใจอะไรกับคําตอบที่ได้มา
ในขณะนั้นเองผู้ฝึกยุทธกว่าหลายสิบคนก็ได้ลอยผ่านพวกเขาไป ทุกคนต่างก็ใช้ดาบของตัวเองมุ่งหน้าบินไปยังทิศเหนือ ทุกๆคนต่างก็สวมชุดคลุมสีขาวเคลื่อนที่ไปอย่างรวดเร็ว
ฮั๊วจงหยางเงยหน้าขึ้นมองก่อนที่จะขมวดคิ้วเล็กน้อย “พวกสํานักเฮ้งชูอย่างงั้นเหรอ?” ฮั๊วจงหยางที่เห็นแบบนั้นรีบคารวะลู่โจวในทันที “ผู้อาวุโส เห็นที่ข้าจะต้องขอตัวก่อน ไว้โอกาสหน้า พวกเราค่อยพบกันใหม่” ฮั๊วจงหยางลอยขึ้นไปบนอากาศก่อนที่จะไล่ตามสาวกจากสํานักเฮงซู
ลู่โจวรู้สึกงุนงง สํานักเฮ้งเป็นหนึ่งในสํานักจากชาวลัทธิขงจื๊อ พวกเขาไม่ได้เคลื่อนไหวอะไรเลยในตลอดหลายปีที่ผ่านมา แล้วทําไมสาวกจากสํานักเฮ้งชูถึงได้เลือกเคลื่อนไหวในตอนนี้กัน? หรือเป็นเพราะการล่มสลายของสํานักใหญ่ทั้งสิบอย่างงั้นเหรอ? บางทีพวกเขาอาจจะหาทางที่จะ พัฒนาสํานักของตัวเองอยู่ก็เป็นได้
ลู่โจวไม่ได้คิดที่จะสนใจเรื่องนี้อีกต่อไป ตัวเขาได้ก้าวขึ้นไปบนอากาศก่อนที่จะบินตามพวกเขา ด้วยความเร็วเต็มที่แทน
ในขณะที่ฮั๊วจงหยางออกบิน ตัวเขาก็ได้เหลียวมามองด้านหลัง ตามที่คาดไว้ ลู่โจวได้บินตามตัวเขามา หลังจากนั้นฮั๊วจงหยางก็ได้หันกลับมามองที่ด้านหน้า ในตอนนี้มีอะไรบางอย่างกําลังกวนใจเขา ฮั๊วจงหยางตัดสินใจที่จะชะลอตัวลง “ผู้อาวุโสลู่ ท่านกําลังจะไปแท่นบูชาสวรรค์เพื่อดูเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างงั้นสินะ?”
“แท่นบูชาสวรรค์?” จากนั้นลู่โจวก็จําสิ่งที่เสี่ยวเอ้อจากโรงเตี้ยมเมมาพูดได้ “ถูกต้องแล้วล่ะ”
ฮั๊วจงหยางรู้สึกไม่สบายใจเมื่อได้ยินเช่นนั้น ในตอนนี้เรื่องทุกอย่างดูซับซ้อนกว่าที่พวกเราจินตนาการไว้มาก ฮั๊วจงหยางเคยคิดมาเสมอว่ามันเป็นการบูชายัญธรรมดา เพียงแค่ผู้ฝึกยุทธผู้ที่มีพลังอวตารดอกบัวเจ็ดกลีบอย่างเขาเพียงคนเดียวก็คงจะสามารถทําภารกิจได้อย่างง่ายดาย แต่ในตอนนี้ฮั๊วจงหยางกลับพบกับยอดฝีมือจากสํานักเฮ้งซูและผู้อาวุโสจากสํานักเผิงไหล ภารกิจนี้ดูเหมือนจะไม่ใช่เรื่องง่ายซะแล้ว
ฮั๊วจงหยางเริ่มมีความประทับใจที่ดีต่อสํานักเผิงไหลมากยิ่งขึ้น ชาวลัทธิขงจื้อได้ปกครองโลกมาอย่างช้านาน เป็นเรื่องธรรมดาที่พวกเขาจะต้องเคยรุกรานชาวลัทธิขงจื้อมาหลายครั้งแล้ว แม่ทัพของเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์เองก็เป็นชาวลัทธิขงจื้อเช่นกัน
ท้ายที่สุดฮั๊วจงหยางก็เริ่มชะลอการเคลื่อนไหวให้ช้าลง ตัวเขาพยายามใช้พลังลมปราณที่มี ปิดกั้นคลื่นลมที่พัดผ่าน “ท่านรู้เรื่องคนที่ถูกบูชายัญในครั้งนี้ไหมผู้อาวุโส?”
“ก็ไม่เชิง” ลู่โจวโล่งใจที่ฮั๊วจงหยางชะลอตัว ตัวเขาจะไปตามฮั๊วจงหยางทันได้ยังไงกัน? เป้าหมายของตัวเขาเคลื่อนที่ด้วยความเร็วของผู้ที่มีพลังอวตารดอกบัวเจ็ดกลีบ แต่ลู่โจวเคลื่อนที่ด้วยความเร็วของพลังอวตารดอกบัวกลีบเดียว ลู่โจวสามารถใช้วิซซาร์ดไล่ตามได้ แต่นั้นมัน ก็เป็นเพียงการเปิดเผยตัวตนของตัวเขาเอง
ฮั๊วจงหยางครุ่นคิตอยู่พักหนึ่งก่อนที่จะพูดต่อ “ข้าได้ยินมาว่ามีหญิงสาวนางหนึ่ง ไม่มีใครรู้ว่า นางเป็นใครและมาจากไหน แต่นางเป็นคนที่ชั่วร้าย บ้างก็ว่านางเป็นชาวลั่วหลาน บ้างก็ว่านางมาจากทะเลไม่มีที่สิ้นสุด แต่ไม่ว่านางจะมาจากใหนก็ไม่สําคัญ สิ่งที่สําคัญคือนางไม่เหมือนใคร หลังจากที่นางปรากฏตัวขึ้นสัตว์ร้ายทั้งหลายก็เริ่มโจมตีมนุษย์ นางคือสัญญาณแห่งความโชคร้าย สุดท้ายแล้วนางจึงถูกใช้เป็นเครื่องสังเวยไป” หลังจากที่พูดจบฮั๊วจงหยางก็ได้จ้องมองไปที่ใบหน้าของลู่โจว ตัวเขาอยากที่จะแน่ใจว่าลู่โจวไม่ได้ตามล่าหาคนๆเดียวกัน
เป็นธรรมดาที่ลู่โจวจะไม่ได้สนใจเรื่องนี้ ยังไงซะเป้าหมายของเขาก็คือยู่เฉิงไห่เพียงคนเดียว “แล้วเจ้าเชื่อเรื่องนี้ด้วยอย่างงั้นเหรอ?”
“ไม่แน่นอน” ฮั๊วจงหยางตอบปฏิเสธ
“ แล้วเจ้าจะไปช่วยเหลือนางเหรอไงกัน?”
“…” ฮั๊วจงหยางตกตะลึง ชายชราคนนี้เหนือกว่าที่ฮั๊วจงหยางได้คาดการณ์เอาไว้ ก่อนที่ตัวเขาจะได้ล้วงข้อมูลอะไร ตัวเขากับถูกรุกใส่ก่อน “ข้าเองก็เช่นเดียวกับท่าน ข้าอยากที่จะไป ดูเหตุการณ์วุ่นวายก็เท่านั้น ผู้อาวุโสลู่ ท่านไม่คิดว่ามันน่าเสียดายเหรอที่ต้องสังเวยชีวิตผู้ที่มีพลังวิเศษแบบนั้น”
“จิตใจของมนุษย์ยากแท้หยั่งถึง พวกเราแค่เอาชีวิตรอดในโลกใบนี้มันก็ยากเต็มกลืนแล้ว ใครบ้างที่จะมีเวลารู้สึกผิดต่อผู้อื่นล่ะ?” ลู่โจวกล่าวออกมา
“ท่านพูดถูก ข้าได้เปิดหูเปิดตาแล้ว” ฮั๊วจงหยางที่พูดเสร็จมองไปที่ด้านหน้า ในตอนนี้ผู้ฝึก ยุทธจากสํานักเฮงซูไม่ได้อยู่ในสายตาอีกต่อไป “ผู้อาวุโสสู่ พวกเราควรจะเร่งความเร็วเลยดีไหม?”
“ไม่จําเป็น” ลู่โจวพูดออกมาอย่างใจเย็น
เป็นเพราะคําพูดของลู่โจวมีเหตุผล เพราะแบบนั้นฮั๊วจงหยางจึงเห็นด้วย “ท่านฉลาดหลักแหลมจริงๆ ผู้อาวุโสลู่ยังไงซะแท่นบูชาสวรรค์ก็ไม่หนีไปไหน พวกเราไม่จําเป็นเลยที่จะต้องรีบไล่ตามสาวกจากสํานักเฮ้งชู”
ทั้งสองคนยังบินต่อไป พวกเขาทั้งคู่ไม่ได้รีบร้อนอะไรอีก ทั้งลู่โจวและฮั๊วจงหยางได้บินผ่านผืนป่าและแม่น้ําด้านนอกเมืองไป เมื่อบินมาได้สักพักหนึ่งทั้งคู่ก็สังเกตเห็นแท่นบูชาสวรรค์ที่แสนจะเรียบง่ายอยู่ ทุกอย่างถูกแต่งเติมด้วยสีแบบเรียบง่าย
แท่นบูชาสวรรค์ไม่ได้มีขนาดใหญ่อะไรมากมาย มันกว้างเพียง 100 เมตรเท่านั้น แท่นบูชาทั้งหมดถูกปูด้วยหินอย่างสมบูรณ์ ทั้งสี่มุมของแท่นบูชามีบันไดอยู่ทั่วทุกทิศทาง ณ ใจกลางของแท่นบูชาสวรรค์ ดูเหมือนจะมีสิ่งก่อสร้างไม้อะไรบางอย่างถูกตั้งขึ้นมา บนสิ่งก่อสร้างนั้นมีไม้กางเขนอยู่ ที่ใต้ไม้กางเขนมีกองพื้นกองใหญ่ตั้งอยู่อีกที
“เจ้าพวกนี้คิดจะใช้คนเป็นเครื่องสังเวยจริงๆ สินะ?”
“ผู้อาวุโสฮั๊ว มีคนมากมายอยู่ที่นี่” ฮั๊วจงหยางพูดขึ้น
ทั้งสองคนค่อยๆ ร่อนลงมาจากฟ้า พวกเขาต่างก็ก้าวเข้าสู่เขตแดนของแท่นบูชาสวรรค์
ผู้ฝึกยุทธระดับล่างจํานวนมากกําลังรุมล้อมแท่นบูชาสวรรค์ไว้
“สังหารนางปีศาจนั่นซะ!”
“สังหารนางปีศาจนั้นซะ!”
“สังหารนางปีศาจนั่นซะ!!”
ลู่โจวและฮั๊วจงหยางที่ได้ยินเสียงร้องจากฝูงชนได้หันไปมอง
ผู้ฝึกยุทธจากสํานักเฮ้งชูชุดขาวได้มารวมตัวกัน
มีผู้ฝึกยุทธอีกกลุ่มที่สวมชุดของชาวลัทธิเตอยู่ด้านซ้ายมือ ทั้งสองกลุ่มต่างก็จ้องมองกัน
ฮั๊วจงหยางขมวดคิ้ว เป็นอย่างที่ตัวเขาคาดการณ์ไว้ เรื่องในครั้งนี้มันซับซ้อนมากกว่าที่ตัวเขา
“สหายหนุ่ม ไหนเจ้าถึงได้ทําหน้าบึ้งล่ะ?”
“มีคนมากจนเกินไป มันเสียงดังหนวกหูนะ” ฮั๊วจงหยางตอบกลับมา
“แล้วทําไมพวกเราถึงไม่รีบออกไปกัน? เจ้าเป็นเหมือนกับสหายของข้าที่พลัดพรากกันไปนาน เจ้าสนใจที่จะดื่มชากับข้าใหมล่ะ?” ลู่โจวพยายามอย่างเต็มที่ที่จะทําให้ตัวเองดูเข้าถึงง่ายให้มากที่สุด
แต่ฮั๊วจงหยางกับส่ายหัวปฏิเสธ “ไหนๆ พวกเราก็อยู่ที่นี่แล้ว พวกเรามาดูเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นดีกว่า…” ฮั๊วจงหยางได้สัญญากับผู้เป็นเจ้าสํานักและสีวู่หยามาแล้วว่าจะทําภารกิจให้สําเร็จ ตัวเขาจะยอมแพ้กลางทางได้ยังไงกัน? แม้ว่าสถานการณ์จะซับซ้อนมากขึ้นแต่มันก็ยังควบคุม
ฮั๊วจงหยางมองขึ้นไปที่แท่นไม้ “ผู้อาวุโสลู่ ท่านไม่ได้มาที่นี่เพื่อหญิงสาวคนนั้นเหรอ?” ดวงตาของฮั๊วจงหยางเต็มไปด้วยความสงสัย
ลู่โจวรู้ว่าฮั๊วจงหยางไม่คิดจะเชื่อคําตอบเขาแน่ ดังนั้นตัวเขาจึงตอบกลับมา “ทําไมเจ้าถึงได้ถามข้าเช่นนั้น แล้วเจ้าละคิดว่าข้ามาที่นี่ทําไม?”