งานวันเกิด (3)
อี้เป่ยซียังคงจมอยู่กับความยินดีจากการได้รับหุ่นโมเดลมา อี้เป่ยเฉินเห็นท่าทางที่จริงจังของเธอก็อดไม่ไหวลูบหัวที่ก้มลงของเธอ ฝ่ามือรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นที่แท้จริง ความรู้สึกทั้งหมดที่ได้รับจากการสัมผัสทำให้เขาสบายใจอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
“ประธานลั่ว” ลั่วจื่อหานพยักหน้าทักทาย ตอนนี้ละสายตาออกจากเด็กสาวแล้ว และกลับคืนมามีท่าทางปกติที่เย็นชาและดูไร้เหตุผล
“พี่เป่ยเฉิน พวกพี่คุยกันเถอะ ฉันจะไปเก็บของก่อน” อี้เป่ยซีเก็บของอย่างจริงจังมาก หลังจากได้ยินคำอนุญาตแล้วก็กลับขึ้นไปชั้นบนด้วยความเบิกบานใจ
อี้เป่ยเฉินรินไวน์แก้วหนึ่งให้ลั่วจื่อหาน “ขอบคุณที่นายช่วยเหลือเสี่ยวซี”
ลั่วจื่อหานรับไวน์มา พลางมองดูของเหลวในแก้วทรงสูงหมุนแกว่งภายใต้แสงไฟจนเป็นสีสันที่ต่างออกไป จู่ๆ ก็รู้สึกไม่อยากดื่ม จึงเม้มปากเล็กน้อย “เปล่าหรอก ก็แค่บังเอิญช่วยไว้เท่านั้น” ผ่านไปสักพักเขาก็เอ่ยช้าๆ “แต่ว่าโอกาสบังเอิญมีมากไปหน่อย”
“เป็นเพราะปกติฉันละเลยเอง”
“ก็โทษนายไม่ได้หรอก แค่อี้เป่ยซีไม่อยากพูดมากเท่านั้นเอง” ดวงตาลั่วจื่อหานเป็นประกาย ฉะนั้นเธอเลยไม่บอกนายว่าเกิดอะไรขึ้นที่ประเทศ U กันแน่ เธอจะไม่บอกนายว่าทำไมต้องละทิ้งสิ่งที่ตัวเองชอบมากที่สุด จะไม่บอกนายว่าชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยทำให้เธออึดอัดมากแค่ไหน เธอจะไม่บอกนายว่าทั้งๆ ที่วันนี้สำคัญกับเธอมาก แต่กลับพังลงเพราะความเห็นแก่ตัวของนาย
เธอจะไม่บอกเรื่องทุกข์ใจของตัวเองให้นายฟัง เธอใช้นิสัยเด็กๆ ปิดบังความทุกข์ของตัวเอง เธอไม่อยากบอกอะไรนายทั้งนั้น
ลั่วจื่อหานส่ายหัว ทำไมตัวเองต้องคิดเยอะแบบนี้ เรื่องไม่ได้เกี่ยวข้องกับเขามากเท่าไร เขาดื่มไวน์ในแก้วรวดเดียวหมดอย่างหงุดหงิดใจเล็กน้อย ไม่รู้ว่าในใจรู้สึกอย่างไรกันแน่ เรื่องราวหลายอย่างรวมอยู่ด้วยกันเยอะเกินไปจนไม่สามารถแยกแยะได้
หลังจากอี้เป่ยซีเก็บของขวัญของตัวเองเรียบร้อย ก็รู้สึกว่าตัวเองเข้ากับบรรยากาศในล็อบบี้ไม่ได้ จึงหนีมาที่ที่มีแสงไฟเข้าถึง เธอได้เสียงที่คุ้นเคยพูดคุยกันในสวนดอกไม้ด้านหลัง จึงอดเงี่ยหูฟังไม่ได้
“นายเข้าใจผิดแล้ว ขอโทษทีฉันไม่สนใจเรื่องนี้เลยสักนิดเดียว” หลานฉือเซวียนกล่าว
“เพราะนายก็รู้สึกได้ เลยกลัวเป็นพิเศษว่าคนรอบข้างจะดูออกใช่ไหม? ทำไมไม่กล้ายอมรับ ทำไมไม่กล้ารับล่ะ นายจะยอมทิ้งสิ่งที่ตัวเองปรารถนามากที่สุดแค่เพราะสถานการณ์นี้เหรอ?”
‘ยอมทิ้งอะไร ของอะไรเหรอ’ อี้เป่ยซีฟังใจจดใจจ่อ ขดตัวฟังต่ออยู่ที่มุมกำแพง
“ฉันก็บอกไปแล้ว ฉันไม่เข้าใจว่านายกำลังพูดอะไร” จากนั้นเสียงฝีเท้าของหลานฉือเซวียนก็ดังขึ้น ไม่กี่ก้าวก็หยุดลง เซี่ยเช่อน่าจะหยุดเขาไว้
เซี่ยเช่อหัวเราะเบาๆ “ทำไม เพราะกลัวว่าฉันจะพูดจี้ใจดำก็เลยคิดหนีออกไปจากที่นี่เหรอ กลัวที่จะเห็นความคิดตัวเองตรงๆ ขนาดนี้เลยเหรอไง?”
“ฉันไม่มีความคิดอะไร” หลานฉือเซวียนยิ้มเยาะ “นายถอยไป ไม่อย่างนั้น…”
“ทำไม ไม่อย่างนั้นนายจะตะโกนเหรอ? ให้ทุกคนรู้ว่านายหลานซือเซวียนเป็น…”
“หุบปาก”
อี้เป่ยซีไม่เคยได้ยินน้ำเสียงหลานฉือเซวียนที่โมโหขนาดนี้มาก่อน ก็แค่คำไม่กี่คำเอง เพราะอะไรต้องโมโหขนาดนั้น ความคิดที่แท้จริงของเขาคืออะไรกันแน่นะ?
‘น่าจะเป็นเพราะไม่อยากให้คนอื่นรู้’ อี้เป่ยซีพยักหน้าในใจ งั้นเธอก็ไปเถอะ พฤติกรรมแอบฟังแบบนี้ไม่ดีเลยจริงๆ แต่ว่าคิดดูอีกที เรื่องที่เซี่ยเช่อรู้หมดแต่เธอไม่รู้ มันก็ไม่ค่อยยุติธรรมน่ะสิ
พวกเขาสองคนสนิทกันขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไร? หรือว่าหลานฉือเซวียนเชื่อใจคนอย่างเซี่ยเช่อได้ง่ายกว่า ช่างเถอะ ฟังต่อแล้วกัน
“เสี่ยวเซวียนเซวียน นายดูท่าทางนายตอนนี้สิ เหมือนกับเด็กสาวที่ถูกคนจี้ใจดำจนโกรธเป็นฟืนเป็นไฟเลย ว่ายังไง ลองกับคนอื่นไม่ได้ ทำไมไม่ลองกับฉันล่ะ?”
“เป่ยซี” เสียงที่สดใสดังขัดจังหวะทั้งสามคน อี้เป่ยซีเดินออกมาอย่างกระอักกระอ่วน ท่ามกลางความมืด อาการบนใบหน้าของหลานฉือเซวียนเห็นได้ไม่ชัดเจน
อี้เป่ยซีบ่นในใจว่าทำไมเธอถึงโผล่มาเวลานี้ ในตอนที่ฉันกำลังจะเข้าถึงความจริงอยู่แล้วเชียว “ฉันเพิ่งมาถึงตรงนี้ ไม่ได้ยินอะไรเลย ไม่ได้ยินอะไรเลย”
เซี่ยเช่อหัวเราะชั่วร้าย “ฉันกลับอยากให้เธอได้ยินอะไรซะอีก?”
“จริงเหรอ?” พอรู้สึกได้ถึงสายตาดุร้ายของทั้งสองคน อี้เป่ยซีรีบหันเดินไปหาถังเสวี่ย “ถังเสวี่ย มีอะไรเหรอ?”
ถังเสวี่ยไม่ใส่ใจบรรยากาศลึกลับระหว่างทั้งสามคน พูดว่า “ใกล้จะตัดเค้กแล้วนะ รอเธอกลับไปอยู่”
“อืมๆๆ ไปกินเค้กกันได้แล้ว พวกนายมาด้วยกันเถอะ”พูดจบก็ยังหัวเราะแห้งๆ สองที เซี่ยเช่อเดินไปหาอี้เป่ยซีราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น แล้วจัดแจงเสื้อผ้าของเธอ
“เสื้อเย็นหมดแล้ว อย่าอยู่ข้างนอกนานๆ เลย เดี๋ยวฉันกับรุ่นพี่หลานของเธอจะตามไป” รอยยิ้มบนใบหน้าเขาชั่วร้าย ตลกน่ะ ไม่ง่ายเลยกว่าวันนี้เขาจะได้คุยเปิดอกกับหลานฉือเซวียน จะปล่อยให้เด็กสาวคนนี้ทำเรื่องของตัวเองพังได้อย่างไร
อี้เป่ยซีฟังคำเตือนของเขาออก จึงพยักหน้า “งั้นพวกเรากลับไปก่อนนะ พวกนายค่อยๆ คุยกัน ค่อยๆ กัน” จากนั้นดึงตัวถังเสวี่ยจากไปอย่างรวดเร็ว
“เป่ยซี คนนั้นสนิทกับรุ่นพี่หลานมากเหรอ? เขาเพิ่งกลับประเทศมาไม่นานไม่ใช่เหรอ?”
‘ฉันเองก็อยากรู้ว่าเขาเป็นอะไรกับรุ่นพี่หลานของเธอเหมือนกัน ถึงอย่างไรก็รู้สึกได้ว่าไม่ชัดเจน ซับซ้อน และคลุมเครือมาก’
“ไม่รู้สิ บางทีหลานฉือเซวียนอาจจะอยากยกระดับสุนทรียภาพของเขาก็ได้” อี้เป่ยซีพูดเดาไปเรื่อย แต่ถังเสวี่ยกลับไม่เห็นด้วยเลยสักนิด
เธอขมวดคิ้ว “จะเป็นไปได้ยังไง” สำรวจอี้เป่ยซีรอบหนึ่ง “จะว่าไปเธอน่าจะเป็นคนไปยกระดับมากกว่านะ”
“แบบฉันเรียกว่าชิลๆ โอเคไหม ใครจะไปชอบเล่นอะไรวุ่นวายขนาดนั้น”
“เป่ยซี เธอนี่เหมือนลูกแมวพองขนเลย” ถังเสวี่ยแซว แต่อี้เป่ยซีกลับอึ้งอยู่ตรงนั้น
‘เป่ยซี ท่าทางตอนที่เธอโกรธเหมือนลูกแมวขี้โมโหยังไงยังงั้นเลย’
‘เชอะ นายต่างหากเป็นลูกแมว ทั้งบ้านมีนายคนเดียวแหละที่เหมือนแมว’
‘เพราะงั้นลูกแมวอี้ก็เลยชอบแมวตัวใหญ่แบบฉันมากที่สุดสินะ’
ภาพในความทรงจำปรากฏขึ้นโดยไม่ทันตั้งตัว จะกดยัดไปในกล่องเก็บอดีตอย่างไรก็ไม่ลง
‘ทำไมถึงคิดถึงนายได้ แต่ว่าก็เป็นแค่คำพูดเดิมๆ เป็นคำพูดธรรมดาที่ไม่มีความรู้สึกอะไร คงเป็นเพราะช่วงนี้เกิดเรื่องมากเกินไปจึงซ่อมกุญแจล็อกที่เสียของตัวเองไม่ทันล่ะมั้ง’ เธอถอนหายใจ
“อืม ฉันไปหาพี่เป่ยเฉินก่อนนะ”
อี้เป่ยเฉินกำลังจูงมือของเธอ เขารู้สึกได้ว่าจิตใจของเธอเลื่อนลอย “เป่ยซีเหนื่อยเหรอ?”
“อือ เดี๋ยวพี่เป่ยเฉินกลับไปคนเดียวเถอะ ฉันจะนอนอยู่ที่นี่แหละ”
“ได้ เธออยู่นี่พักผ่อนให้เต็มที่”
เขากุมมือเธอตัดเค้กพอเป็นพิธี ที่เหลือก็ยกให้เป็นหน้าที่ของพนักงานบริการที่อยู่ข้างๆ อี้เป่ยซีอ้อยอิ่งอยู่ครู่หนึ่งจึงกลับขึ้นข้างบน
วันนี้ออกจะเหนื่อยจริงๆ แฮะ…
นายบอกว่าจะทำให้ฉันลืมนายไม่ใช่เหรอ ทำไมถึงมาปรากฏตัวครั้งแล้วครั้งเล่า นี่ต่างหากคือสิ่งที่นายอยากทำจริงๆ เพราะนายอยากลงโทษฉัน ลู่เยี่ยหวา ลู่เยี่ยหวา ทำไมนายต้องขัดขวางกันด้วย นายก็รู้ความจริงแล้วไม่ใช่เหรอ
แต่ละย่างก้าวที่ขึ้นชั้นบนหนักหน่วงมากเกินจะเปรียบ
“ฉันจะถือว่าอาการหนักใจของเธอเป็นเพราะกำลังคิดถึงคนพิเศษบางคนในวันพิเศษแบบนี้ได้หรือเปล่า?”
อี้เป่ยซีเงยหน้าขึ้นเห็นคนใส่สูทสีแดงเหมือนไวน์ ม่านตาหดลงทันที…
…………………………….