บทที่ 55 เพื่อนเก่า (5)
ทุกครั้งก็คิดอย่างหมดหวังว่าเธอจากไปแล้วหรือเปล่า ทุกครั้งก็รู้สึกตื่นเต้นเพราะท่าทางของเธอ อยากจะยอมแพ้นับครั้งไม่ถ้วน แต่ก็ลุกกลับขึ้นมาอีกนับครั้งไม่ถ้วน แต่ว่าความผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำเล่า มันรู้สึกแย่มากจริงๆ ลั่วจื่อหานถอนหายใจ รู้สึกราวกับว่าตะกอนที่อยู่ในใจค่อยๆ หายไปแล้ว
อี้เป่ยซีไม่ได้พูดอะไร ลั่วจื่อหานก็ไม่ได้พูดอะไรอีก รถแล่นไปจนถึงใต้อพาร์ทเมนต์ของลั่วจื่อหาน เมื่ออี้เป่ยซีลงจากรถจึงเอ่ยปาก “ลั่วจื่อหาน นายไม่ต้องเสียใจหรอก คนดีๆ อย่างนาย ใครที่ทิ้งนายก็ถือเป็นความสูญเสียของเขา”
“อืม ฉันรู้ว่าเธอคิดยังไง ขอบคุณมากนะ เป่ยซี” เขาพูดพลางยื่นมือมาหยิกแก้มเธอ อี้เป่ยซีรู้สึกได้ถึงสัมผัสที่หยาบกร้านและเจ็บปวดบนใบหน้า จึงรีบหลบอย่างไม่พอใจ
“เลิกหยิกได้แล้ว หน้าบานแล้วเนี่ย ปกติก็บานอยู่แล้ว”
ลั่วจื่อหานเหลือเชื่อ “แบบนี้ก็น่ารักดี” เขาพูดพลางก็ใช้มือจิ้มๆ อีก อี้เป่ยซีปัดออกและเดินไปข้างหน้าอย่างโกรธๆ เขาส่ายหน้า ยังเหมือนตอนเด็กๆ เลย
“ฉู่ซ่ง”เมื่ออี้เป่ยซีเห็นคนที่อยู่ในห้องรับแขก ดวงตาก็เปียกชื้น ฉู่ซ่งเงยหน้าขึ้นแล้วขมวดคิ้ว แต่ก็ยังเดินเข้าไปหาเธออย่างรวดเร็ว
“ถ้าขัดอี้เป่ยเฉินไม่ได้ เธอยอมรับไปก็พอแล้ว ร้องไห้…ร้องไห้ทำไม ดูซิว่าหน้าตาเธอตอนนี้น่าเกลียดจะตายอยู่แล้ว”
“ฮือๆๆ ฉู่ซ่ง” อี้เป่ยซีกอดเขา “ฉันตามหานายมานานแล้ว”
ฉู่ซ่งที่แสร้งทำเป็นขึงขังในตอนแรกอ่อนลง ตบหลังของเด็กสาวเบาๆ พลางพูดปลอบใจอย่างอ่อนโยน “เอาเถอะ ฉันอยู่นี่แล้ว มีอะไรน่าร้องล่ะ โตขนาดนี้แล้ว ทำตัวเหมือนเด็กไปได้”
น้ำตาของอี้เป่ยซีไหลรินลงมาอย่างห้ามไว้ไม่อยู่ ฉู่ซ่งที่มีสีหน้าอ่อนโยนก่อนหน้านี้เปลี่ยนเป็นเขียวคล้ำด้วยความโมโห “ฉู่เซี่ย น้ำมูกเธอเลอะเสื้อฉันแล้ว” เขาผลักเธอด้วยความรังเกียจ ขณะที่กำลังจะรับเอาทิชชูที่ลั่วจื่อหานยื่นให้มาเช็ดเสื้อผ้า ก็เห็นอีกฝ่ายส่งให้อี้เป่ยซีอย่างไม่เต็มใจเท่าไหร่ ส่วนเขาก็เอาทิชชูห่อใหม่มาเช็ดเสื้อตัวเอง
“ฉันมียังธุระต้องจัดการ พวกเธอตามสบายเถอะ” ลั่วจื่อหานพูดจบก็เดินขึ้นไปข้างบนทันที อี้เป่ยซีนั่งอยู่บนโซฟาอยู่เนิ่นนานถึงจะหยุดร้องไห้
“ฉู่ซ่ง นายรู้จักกับลั่วจื่อหานได้ยังไง”
ฉู่ซ่งยิ้มมีเลศนัย “ฉันอยากถามเธอมากกว่าว่ารู้จักกับลั่วจื่อหานได้ยังไง”
“รอยยิ้มนายนี่มันเจ้าเล่ห์จริงๆ”
“เธอก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันหรอก”
“ฉู่ซ่ง พอฉันไปแล้ว พวกเธอสบายดีไหม?”
“ไม่ดี ไม่ดีเลยสักนิด” ฉู่ซ่งกอดอี้เป่ยซีไว้ “ฉู่เซี่ยเธอเป็นคนโง่ที่งี่เง่าที่สุดในโลกเลย ใครสอนเธอว่ารวยแล้วจะสบายดี ใครจะไปสนใจผลประโยชน์น้อยนิดที่พวกบ้านอี้ให้กันล่ะ เธอเหมือนกัน ไม่บอกฉันสักคำก็จากไปแล้ว ฉันยังไม่เห็นด้วยเลย เธอมีสิทธิ์อะไรทำตามใจตัวเอง”
อี้เป่ยซีลูบหัวของเขา เหมือนกับเป็นพี่สาวคนหนึ่ง “ซ่งซ่ง ตอนนั้นน่ะ พ่อทนไม่ไหวแล้วจริงๆ ฉันไม่อยากพวกเขาลำบาก บ้านอี้ดีกับฉันมาก แล้วก็ดีกับพวกนายมากเหมือนกันนะ”
ฉู่ซ่งเกาะเธอแน่น ส่ายหัวอย่างเอาเป็นเอาตาย “ไม่ดีๆ ไม่ดีเลยสักนิด ที่พ่อยืนหยัดต่อไปไม่ได้มันไม่เกี่ยวกับเธอเลย ตัวเองแก้ไขปัญหาไม่ได้ สุดท้ายยังให้คนที่อ่อนแอกว่าเข้ามาช่วย ฉันละอายใจแทนพ่อจริงๆ”
เธอยื่นมือตบหลังของเขา ก็ได้ยินเสียงร้องลั่นของฉู่ซ่ง “โอ๊ย…ฉู่เซี่ย เธอนี่มือหนักจริงๆ เจ็บจะตายอยู่แล้ว”
“ฉันแค่ตบเบาๆ เอง คงไม่ขนาดนั้นมั้ง นายเจ็บขนาดนั้นจริงเหรอ?”
“ล้อเล่นน่ะ” ฉู่ซ่งกัดฟัน เธอลองให้คนอื่นตบบนแผลเธอดูสิ อย่าร้องไห้ก็แล้วกัน
“เอาเถอะ ฉันจะนวดให้นาย”
“เธออย่า โอ๊ย…ฉู่เซี่ย หยุดเดี๋ยวนี้ เจ็บๆๆ” ฉู่ซ่งเจ็บจนน้ำตาไหล ถ้ารู้ว่าจะมีวันนี้ ตอนนั้นฉันจะเอาหลังไปรับไม้ทำไมกัน
อี้เป่ยซีรู้สึกผิดปกติจึงดึงเสื้อยืดของฉู่ซ่งขึ้นทันที รอยฟกซ้ำปรากฏสู่สายตา เธอยื่นมือไปแตะด้วยความระมัดระวังเป็นพิเศษ ฉู่ซ่งรู้สึกว่ามีของเหลวเย็นๆ บางอย่างสัมผัสกับร่างกายของตัวเอง เขารีบดึงเสื้อของตัวเองขึ้น
“ฉู่เซี่ย เธอทำมาจากน้ำรึไง? น้ำตาเยอะขนาดนี้ยังร้องไห้ไม่หมดอีกเหรอ อีกอย่างเพิ่งเจอกันครั้งแรกก็คิดจะถอดเสื้อฉันซะแล้ว เธอนี่หน้าไม่อายจริงๆ”
อี้เป่ยซีถูกเขาแซวจนหัวเราะ เธอด่าเขาทั้งน้ำตา “เกิดอะไรขึ้นกับนาย?”
“ไม่มีอะไร ก็แค่พวกเด็กเมื่อวานซืนสองสามคนเล่นเกมแพ้แล้วก็มาซ้อมฉัน หน้าไม่อายจริงๆ” เขามองเธอแล้วเอ่ยขำๆ จากนั้นก็กอดอี้เป่ยซีอีกรอบ “แต่ว่าฉันชนะแล้วก็คือชนะ ไม่ว่าเขาจะซ้อมฉันยังไงฉันก็ชนะแล้ว โอ้โห ความรู้สึกแบบนี้มันดีจริงๆ”
“ขอโทษนะ ฉู่ซ่ง”
ฉู่ซ่งอึ้งไป จากนั้นก็พูดต่อ “ฉู่เซี่ย เธอฉลาดกว่าเมื่อก่อนหน่อยหนึ่ง แต่ฉันไม่ชอบเอาซะเลย ต่อไปจะหลอกเธอออกไปช่วยงานฉันคงยากแล้วล่ะ ฉันไม่เป็นไร เธอจะโทษตัวเองไปทำไม เอาเถอะๆ ไม่คุยเรื่องนี้แล้ว เธออยากรู้ไม่ใช่เหรอว่าพวกเราเป็นยังไงบ้าง ฉันจะค่อยๆ เล่าให้เธอฟัง”
ฉู่ซ่งเลือกเล่าเพียงเรื่องที่น่าสนใจหลังจากเธอจากไปแล้วให้ฟัง และยังเล่าถึงเรื่องที่เขาไปตามหาเธอ ตำหนิเธออีกเล็กน้อย
“ตอนนั้นฉันสงสัยจริงๆ ว่าตาของเธอเป็นของปลอมรึเปล่า ฉันยืนอยู่ตรงหน้าทั้งคน แต่เธอกลับมองไม่เห็นฉันเลย”
อี้เป่ยซีหัวเราะ ไม่ได้พูดอะไร ‘ฉู่ซ่ง ที่จริงฉันก็ตามหานายเหมือนกัน แต่ว่าตอนอยู่บนเครื่องบินกำลังจะบินไปประเทศ Z ก็ยังถูกพวกเขาขวางเอาไว้ ฉันก็เคยเห็นนายเหมือนกัน นายใส่เสื้อหมวกตุ๊กตาร้องไห้งอแงเหมือนเด็กโง่เลย’
“ฉู่ซ่ง นายบอกว่าอยากเล่นเกมกับฉันไม่ใช่เหรอ ว่ายังไง ยังอยากเล่นไหม”
“ฉู่เซี่ย ตอนนี้ไม่มีใครกล้าท้าทายฉันมาหลายปีแล้ว วันนี้แหละพี่ชายจะทำให้เธอรู้จักกับคำว่าอับอาย”
อี้เป่ยซีตีเขาทันที
“โอ๊ย ฉู่เซี่ย เจ็บจะตายแล้ว”
“ขอโทษ ขอโทษ ฉันลืมไป ลืมไป”
“รอฉันไปเอาจอยสติ๊กแป๊บหนึ่ง” ฉู่ซ่งลุกขึ้นอย่างไม่รีรอ หยิบเครื่องเกมกับจอยสติ๊กออกมาจากกระเป๋าของตัวเอง ทั้งสองคนเล่มเกมกันอยู่ในห้องรับแขก ขณะที่อี้เป่ยซีแพ้นับครั้งไม่ถ้วนแล้วนั้น เธอแย่งจอยสติ๊กมาจากมือของฉู่ซ่งทันที ปัดไปปัดมาไม่กี่ครั้ง ในที่สุดจึงชนะเขาจนได้
“ขี้โกงอีกแล้ว”
“ไม่เล่นแล้ว ไม่เล่นแล้ว แพ้นายตลอด ไม่สนุกเลย นายหิวหรือเปล่า ฉันหิวแล้ว”
ฉู่ซ่งพยักหน้าอย่างเกียจคร้าน “อืม หิวแล้ว เธอไปทำกับข้าวเถอะ”
เธอขว้างจอยสติ๊กไปที่หน้าอกเขาทันที “ทำกับข้าวอะไร ฉันทำกับข้าวเป็นที่ไหนกัน”
“เธอเป็นผู้หญิงดุแบบนี้ไม่มีผู้ชายคนไหนชอบหรอกนะ แน่นอนว่าก็ไม่มีเด็กผู้หญิงมาชอบเธออยู่แล้ว”
“อย่ามาพูดพล่อยๆ” อี้เป่ยซีมองเขาด้วยสายตาเหยียดหยาม “พวกเราไปกินปิ้งย่างกันเป็นไง?”
เขาเบะปากอย่างไม่ใส่ใจนัก “เธอก็โตแล้ว ในหัวยังมีแต่เรื่องของเด็กๆ มันไม่ดีต่อสุขภาพ ตอนเด็กๆ ก็เคยสอนเธอ ตอนนี้ก็ลืมซะแล้ว”
“ตอนเด็กวันๆ ใครเห็นปิ้งย่างแล้วน้ำลายไหลกันแน่”
“แค่ก เธออยากไปกินไม่ใช่เหรอ งั้นไปเถอะ ฉันจะไปบอกพี่จื่อหานก่อน”
อี้เป่ยซีหยุดเขาไว้ทันที “ไม่ต้องหรอก พวกเราไปกันเอง”
…………………..