บทที่ 64 เรื่องเล่าในมหาวิทยาลัย (6)
ในอดีต ผู้คนมักบอกว่าเวลาทำให้คุณลืมทุกอย่างได้ เวลาสามารถลบล้างทุกอย่างได้ ราวกับว่าเรื่องราวทั้งหมดเมื่ออยู่ต่อหน้ากาลเวลาแล้วก็ต่างกลายเป็นเรื่องเล็กที่ไม่คุ้มค่าที่จะเอ่ยถึง คำพูดประโยคนี้ถูกปฏิบัติตามและส่งผลในชีวิตมาโดยตลอด แต่ว่านั่นเป็นเรื่องหลังจากนี้นานมากๆ ในช่วงเวลาสั้นๆ ก่อนหน้านั้น ไม่ว่าทุกข์มากแค่ไหน ปวดใจมากเพียงใด ก็ต้องอดทนกับอดีตให้ได้ เพียงแต่หลังจากที่มันถูกแผดเผาตามกาลเวลาแล้ว คุณจึงจะรู้สึกว่าไม่มีอะไรเลยจริงๆ
ความเฉยชาทั้งหมดคือความเจ็บปวดที่ยากจะอดทนยิ่งกว่าความสงบนิ่งท่ามกลางความเจ็บปวด การค้นพบท่ามกลางความเจ็บปวดที่เหมือนกับว่าไม่เป็นไรจริงๆ
ฉะนั้น เวลาไม่เคยเปลี่ยนแปลงอะไรและไม่เคยซ่อนเร้นอะไร ทุกความสังหรณ์ใจจะปะทุออกมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ในช่วงเวลาที่มันควรระเบิด
“ไม่จริงมั้ง นายจะไปเข้าใจเรื่องพวกนี้ได้ยังไง?” อี้เป่ยซีมองฉู่ซ่งอย่างเหลือเชื่อ เห็นเขาพูดเกี่ยวกับปรากฏการณ์ทางเศรษฐกิจได้อย่างลื่นไหล แต่ละประโยคเต็มไปด้วยการประยุกต์ใช้ความรู้ในหนังสือ ก็อดไม่ได้ที่จะอุทานด้วยความชื่นชม
ฉู่ซ่งเงยหน้าขึ้นด้วยความภูมิใจ “แน่นอน เธอคิดว่าทุกคนจะไม่มีสมองเหมือนเธอเหรอ”
“ไม่มีอะไร ฉันก็แค่เรียนรู้ช้า นายพูดเรื่องนี้อีกทีซิ”
“ฉู่เซี่ย” ฉู่ซ่งปิดหนังสือในมือของเธอทันที “เธอไม่ต้องขยันขนาดนี้ก็ได้” เขาตั้งใจเน้นหนักคำว่าขยัน มีความไม่พอใจเจือปนอยู่เล็กน้อย
อี่เป่ยซียิ้มแห้งๆ “ฉันขยันเหรอ?”
“เธอนึกว่าฉันชมเธออยู่รึไง?” ฉู่ซ่งมองเธออย่างดูถูก “ทุกวันนี้เธอมัวแต่เข้าห้องสมุดห้องเรียนกับหอพัก ทุกอาทิตย์แต่มีมหา’ลัยกับบ้าน เพื่อนน้อยยังกับอะไรดี เวลาพักก็ไม่ทำอะไรที่มันสนุกๆ เธอไม่คิดว่าชีวิตในมหา’ลัยแบบนี้มันสูญเปล่าเหรอ?”
เธอจ้องตาไม่กะพริบ “เพื่อนฉันไม่น้อยนะ ทำไมฉันรู้สึกว่าเยอะล่ะ เยอะจนบางทีฉันไม่มีแรงไปใส่ใจ” นั่นสินะ นอกจากเพื่อนของอี้เป่ยซีแล้ว ยังมีเพื่อนสนิทของเธออีก ตัวเองก็นับว่ามีเพื่อนเยอะแล้วล่ะมั้ง “เอาละ นายอยากพูดอะไรก็พูดมาเถอะ”
“วันอาทิตย์นี้มีปาร์ตี้” รอยยิ้มประจบประแจงปรากฏบนใบหน้าของฉู่ซ่งทันที “เธอวางใจเถอะ มีแต่คนที่เธอรู้จัก ฉันอยากนัดเธอออกไปเที่ยวด้วยกัน คิดซะว่าไปผ่อนคลายเธอว่ายังไง?”
“วันอาทิตย์? ไม่ได้ๆ วันอาทิตย์ฉันต้องกลับบ้าน วันจันทร์ถึงวันเสาร์ นายเลือกมาวันหนึ่ง”
“น่าเบื่อชะมัด วันอาทิตย์เป็นวันพิเศษนะ เธอออกไปเดินเล่นกับฉันก็ไม่ได้รึไง”
อี้เป่ยซีเงื้อมมือตบๆ ไหล่ของเขา “นายสูงขึ้นอีกแล้วใช่ไหม?”
“เธออย่ามัวแต่เปลี่ยนเรื่องสิ ยังตกลงไม่เรียบร้อยเลยนะ”
“เรื่องนี้ไม่ได้จริงๆ เวลาอื่นเมื่อไรก็ได้”
“ดูแล้วฉันว่าอาทิตย์นี้อี้เป่ยเฉินจะไม่ว่างอยู่กับเธอแล้ว” ฉู่ซ่งยิ้มเยาะเย้ย
เธอมองเขา รู้สึกว่ามีบางอย่างแปลกๆ “งั้นก็ออกไปเที่ยวกันไหม ไป ตอนนี้พี่สาวจะพานายไปเที่ยว แบบนี้ก็โอเคแล้วมั้ง”
ฉู่ซ่งมองเธอเหมือนมองเด็กปัญญาอ่อน ขาของอี้เป่ยซีเตะไปที่แข้งของเขาอย่างไม่เกรงใจ
“ฉู่เซี่ยเธอมันป่าเถื่อนเกินไปแล้ว”
“ทำตัวดีๆ กับพี่สาวหน่อย ไม่งั้นต่อไปนายจะ…” ยังไม่ทันพูดจบ อี้เป่ยซีก็ดึงฉู่ซ่งไปหลบข้างทางทันที เธอมองไปข้างหน้าด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย ตอนนี้ระหว่างเธอกับถนนใหญ่มีเพียงรั้วต้นไม้กั้น ช่องว่างระหว่างต้นไม้ทำให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่าเกิดอะไรขึ้นที่ฝั่งตรงข้ามถนน
ทำไม่พี่เป่ยเฉินถึงมาอยู่ที่นี่ได้ วันนี้ไม่ใช่วันพุธเหรอ? ต่อให้โผล่มา ทำไมเธอถึงไม่รู้อะไรเลยสักอย่าง จะเซอร์ไพรส์เธอเหรอ? เป็นไปไม่ได้ อี้เป่ยซีส่ายหน้า รีบเอาความคิดที่ไม่สมจริงนี้ออกไปจากในหัว
“เธอทำอะไรน่ะ เหมือนพวกแอบคบชู้เลย”
“บอกนายแล้วไม่ใช่เหรอ? พี่เป่ยเฉินยังไม่อยากเจอนาย”
ฉู่ซ่งไม่ชอบใจ “ในมหา’ลัยมีคนของเขา ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าวันวันเธอขลุกอยู่กับฉัน”
“เป็นเด็กเป็นเล็ก อย่าพูดจาพล่อยๆ สิ” อี้เป่ยซีพูด สายตายังคงจับตาดูฝั่งตรงข้าม ไม่นานหญิงสาวคนหนึ่งก็ลงมาจากรถ เดินจากไปอย่างเชื่องช้าเป็นพิเศษ
ใบหน้าด้านข้างนี้ คุ้นจริงๆ เธอคือ…
ฉินรั่วเข่อ เธอลงมาจากรถของพี่เป่ยเฉินได้ยังไง?
ตอนแรกก็รู้สึกแปลกๆ แล้ว หรือว่าระหว่างพวกเขาจะมีอะไรกันจริงๆ?
อี้เป่ยซีรู้สึกว่าจู่ๆ ก็มีเสียงสัญญาณเตือนดังอยู่ในหัว เธอกดขมับด้วยความหงุดหงิดเล็กน้อย
ความรู้สึกก่อนหน้านี้ถูกต้องงั้นเหรอ ฉะนั้นเรื่องปากหมึกซึมนั่นก็ใช่ด้วย พี่เป่ยเฉินเป็นคนให้เธอหรือไม่ก็ทำหล่นไว้กับเธอ พวกเขาสองคนเริ่มติดต่อกันนานแล้วสินะ เพียงแต่ทำไมเธอถึงไม่รู้ ทำไมถึงไม่มีใครเคยเล่าเรื่องนี้กับเธอเลย
เสียงสตาร์ทรถดังขึ้น รถค่อยๆ จากไป อี้เป่ยซีจึงลากซูฉ่งไปด้านข้างด้วยอาการเหม่อลอย
“ฉันนึกว่าก่อนหน้านี้เธอก็เคยคิดมาก่อนว่าจะมีเหตุการณ์อย่างวันนี้ เธอบอกว่าเรื่องเธอกับอี้เป่ยเฉินมันเป็นไปไม่ได้ไม่ใช่เหรอ ไม่เคยคิดว่าเขาจะหาอาซ้อให้เธอเหรอไง?”
“ฉู่ซ่ง ทำไมคำพูดเหลวไหลนายเยอะจังเลย หนวกหูจะตายอยู่แล้ว”
ฉู่ซ่งปิดปากอย่างว่าง่าย ในดวงตามีความทนไม่ได้เล็กน้อย ‘อี้เป่ยเฉิน นายทำให้เธอทุกข์ได้ยังไง’
“ฉู่ซ่ง นายว่าฉันโลภเกินไปหรือเปล่า ทั้งๆ ที่รู้ว่าเป็นไปไม่ได้ ทั้งที่รู้ว่าพวกเราไม่มีทางเดินถึงขั้นนั้น แต่ก็ยังโลภต้องการครอบครองทุกตำแหน่งข้างกายเขาไว้คนเดียว” น้ำเสียงของอี้เป่ยซีเจือความเสียใจ
เดิมทีฉู่ซ่งอยากพูดว่าใช่ แต่ก็เอ่ยออกมาได้อย่างยากลำบาก และไม่ต้องการพูดแทนอี้เป่ยเฉิน เขาได้แต่รักษาก้าวเดินของตัวเองให้อยู่ระดับเดียวกับอี้เป่ยซี
“ฉันสับสนจังเลย” อี้เป่ยซีข่มน้ำเสียงแห่งความผิดหวังเอาไว้ จากนั้นก็เห็นรถที่คุ้นเคยคันหนึ่งมาจอดข้างตัวเอง ไม่รู้ว่าทำไมทันใดนั้นเธอคิดอยากจะหลบหนี เหลือบมองฉู่ซ่งอย่างกล่าวโทษเล็กน้อย
“เสี่ยวซี” หน้าต่างรถค่อยๆ ลดระดับลง ทั้งสองคนสบตากัน อี้เป่ยเฉินเอ่ย “ขึ้นรถเถอะ”
อี้เป่ยซีเม้มปากส่งหนังสือให้ฉู่ซ่ง แล้วเข้าไปนั่งที่เบาะข้างคนขับ เธอรู้สึกว่าบรรยากาศภายในรถมีกลิ่นหอมจางๆ แต่เวลาที่ดมอย่างจริงจังก็ไม่มีกลิ่นแบบนั้นแล้ว หลังจากหันไปมาหลายครั้งก็ไม่ขยับเขยื้อนอีกและไม่พูดไม่จา
“เสี่ยวซีมีเรื่องในใจเหรอ?”
“พี่เป่ยเฉินทำไมวันนี้ถึงมาที่มหา’ลัยพวกเราล่ะ ฉันแปลกใจนิดหน่อย” อี้เป่ยซีมองไปนอกหน้าต่าง กลัวว่าบนใบหน้าของตัวเองจะเผยอารมณ์ออกมา
อี้เป่ยเฉินลดหน้าต่างรถลงเล็กน้อย ความเย็นหลั่งไหลเข้ามาในรถ เขาหยิบถุงใบหนึ่งออกมา “นี่คือเสื้อของเธอ แล้วก็ปากกาหมึกซึมของเธอก็อยู่ข้างใน”
“ทำไมเขาถึงไม่คืนให้ฉันด้วยตัวเอง แถมยังต้องไปหาพี่อีก” อี้เป่ยซีหยิบปากกาหมึกซึมออกมาจากข้างใน ดูรอยขีดข่วนและรอยบุบเล็กๆ บนฝาปากกา นี่คือของเธอ ไม่ผิดแน่
“ทำไม เธอไม่ชอบใจเหรอ ที่แท้เสี่ยวซีของพวกเราขี้หึงแบบนี้นี่เอง”
เพียงครู่เดียวอี้เป่ยซีก็หน้าแดง “หึงอะไรกัน พี่เป่ยเฉินอย่าพูดเหลวไหลนะ ฉันก็แค่รู้สึกแปลกๆ พวกพี่ไม่รู้จักกันไม่ใช่เหรอ ทำไมพี่ต้องใจดีมาเขาส่งกลับอีก…”
อี้เป่ยเฉินตอบว่าอืออย่างอารมณ์ดีมาก ส่งยิ้มให้เธอพูดต่อไป
“ช่างเถอะๆ ฉันพูดไม่รู้เรื่องเอง”
“เอาเถอะ เสี่ยวซีไม่อยากให้พี่ติดต่อกับผู้หญิงคนอื่น งั้นต่อไปพี่ก็จะไม่ติดต่อกับพวกเขา จะไม่มองพวกเขาเลย ดีหรือเปล่า?”
……………………………….