บทที่ 63 เรื่องเล่าในมหาวิทยาลัย (5)
เรื่องราวของแมงเม่าบินเข้ากองไฟที่ตายอย่างน่าอนาจล้วนเป็นอดีตไปแล้ว ตอนนี้เข้าใจทุกอย่างอย่างละเอียดถี่ถ้วน และบอกตัวเองว่าจะไม่แตะต้องมันอีก แต่แม้ว่าจะผ่านไปนานขนาดนั้น ทุกวันคืนก็ยังคงพลิกตัวไปมายากจะหลับลง ยังต้องการที่จะไปหาเขาด้วยตัวเอง ร้องขอผลลัพธ์ แม้ว่ามันอาจจะไม่ใช่สิ่งที่ตัวเองต้องการ แม้ว่าต้องฉีกแผลเป็นที่ยังไม่หายดีอีกครั้ง ก็ยังต้องการให้ตัวเองได้ตัดสินใจเป็นครั้งสุดท้าย
จริงใจก็ดี เสแสร้งก็ดี ถ้าไม่ได้หลุดออกมาจากปากของคนคนนั้นก็รู้สึกว่าทุกอย่างยังไม่จบลง ตัวเองก็ไม่สามารถปล่อยวางได้เช่นกัน
ตัวเองยังมีใจแล้วจะทำอย่างไรได้ ตัวเองยังจบไม่ลงแล้วจะทำอย่างไรได้ อดีตผ่านไปแล้ว เรื่องราวทั้งหมดก็อธิบายเรียบร้อยแล้ว ผลลัพธ์เป็นไปตามธรรมชาติ ใครบ้างจะสามารถย้อนเวลาได้ เพียงแค่ไปบอกลาเองนี่นา ทำไมพวกเขาถึงไม่เชื่อตัวเอง แม้แต่เขาก็ไม่เชื่อ
เซี่ยเช่อเห็นสีหน้าเศร้าโศกของเขา ก็ยื่นมือตัวเองออกไปตามจิตใต้สำนึก ทว่าก็วางลงทันใด แม้จะรับรู้เรื่องนี้จากปากของพวกเขาเท่านั้น แต่เขาก็สามารถรู้สึกได้ถึงทุกอารมณ์ของหลานฉือเซวียน ความกล้าหาญที่สร้างขึ้นมาอย่างยากลำบากถูกทำลายจนแตกสลาย เหลือเพียงแค่ความเจ็บปวดและการดูถูก เขาต้องเจ็บมากแน่นอน
ทำไมไม่เอาความชอบ ความกล้าหาญ ความมุ่งมั่นของนายไปให้คนที่คู่ควร ทำไมไม่รอจนเขาปรากฏตัว รอที่จะได้อยู่กับเขา จากนั้นทำลายห่วงผูกมัดประเภทนี้เพื่อไปอยู่กับ เขา แล้วหันหลังให้กับคนที่ดูถูกเหยียดหยามทุกคน
“ไม่มีประโยชน์ ฉันก็รู้สึกว่าพวกนายควรจะบอกลากันดีๆ” ร่างของหลานฉือเซวียนหยุดชะงัก ในเวลานี้เซี่ยเช่อยืนอยู่เคียงไหล่ของเขา เงาของสองคนทอดตัวลงบนแผ่นหินอ่อนบนทางเดิน รอยกระดำกระด่างเล็กละเอียดกลายเป็นพื้นหลังของเงาทั้งสองคน กลมกลืนกันอย่างเป็นธรรมชาติ ราวกับว่าถูกแกะสลักลงในหินนานแล้ว
เมื่ออี้เป่ยซีมาถึงก็มีเหงื่อบางๆ ซึมออกมาแล้ว เธอจึงค่อยเข้าใจว่าเซี่ยเช่อกำลังแกล้งเธอ หนังสือแค่ไม่กี่เล่ม เดิมทีเอากลับบ้านไปได้อย่างง่ายดาย ทำไมถึงต้องการให้เธอเอามาไว้ในออฟฟิศ เธอส่ายหัว แต่ก็ยังก้าวขึ้นบันไดที่ด้านหน้าตึกไป
“นี่เธอ รบกวนถามหน่อยสิ เธอรู้ไหมว่าออฟฟิศของอาจารย์เฉินหวาเฉินอยู่ที่ไหน? ฉันไปที่ออฟฟิศก่อนหน้านี้แล้ว แต่ว่าเขาไม่อยู่ ได้ยินอาจารย์คนอื่นบอกว่าเขาเปลี่ยนออฟฟิศแล้ว” อี้เป่ยซีมองเด็กสาวที่เดินเข้ามาหา หางม้าที่สดใสถูกผูกไว้ด้านหลังศีรษะ รอยยิ้มเป็นมิตรกับผู้คนอย่างยิ่ง บนตัวราวกับยังมีกลิ่นหอมสดชื่นของอบเชยฤดูใบไม้ร่วงด้วย
“อาจารย์เฉิน อาจารย์เฉินลาคลอดแล้วน่ะ ตอนนี้อาจารย์เซี่ยสอนแทน มีอะไรหรือเปล่า?” เด็กสาวคนนั้นลังเลเล็กน้อย กระซิบเบาๆ สองสามคำ แม้เสียงจะเบามาก แต่อี้เป่ยซียังได้ยินชัดเจน
“อาจารย์เฉินเป็นคนโสดไม่ใช่เหรอ จะลาคลอดได้ยังไง?” เห็นได้ชัดว่าเธอไม่ค่อยเชื่อข้ออ้างประเภทนี้เท่าไรนัก น่าจะเป็นมุกตลกของพวกนักศึกษาล่ะมั้ง
อีกฝ่ายถามกลับ “งั้นเธอรู้ไหมว่าห้องของอาจารย์เซี่ยอยู่ที่ไหน เพื่อนร่วมห้องพวกเราเลือกวิชาเขาแล้วมีปัญหานิดหน่อย ฉันคิดว่าจะปรึกษาเขาได้หรือเปล่า”
อี้เป่ยซีส่ายหัว “ตอนนี้อาจารย์เซี่ยไปแล้ว ฉันช่วยเขาเอาหนังสือกลับมาที่ออฟฟิศเขา”
“หา งั้นหรอกเหรอ” เด็กสาวผิดหวังเล็กน้อย “ถ้างั้นฉันไปกับเธอเถอะ แบบนี้มาครั้งหน้าจะได้หาเจอ”
เธอพยักหน้า สองคนที่เดินเข้าไปในลิฟต์ไม่ได้พูดอะไรอีก อี้เป่ยซีมองเด็กสาวคนนี้จากผนังลิฟท์โดยไม่รู้ตัว ใบหน้าอ่อนโยน มุมปากเหมือนจะยกยิ้มตลอดเวลา เหมือนหญิงสาวสูงศักดิ์ผู้อ่อนโยนที่หลุดออกมาจากเจียงหนานอย่างไรอย่างนั้น ทำให้ผู้คนรู้สึกดีโดยไม่รู้ตัว
“เธอสะดวกบอกฉันหรือเปล่าว่ามีเรื่องอะไร? ฉันจะช่วยเธอไปบอกกับอาจารย์เซี่ยก็ได้”
เด็กสาวคนนั้นยิ้มกว้าง ในดวงตาเต็มไปด้วยความซาบซึ้ง “ขอบคุณเธอนะ แต่ไม่รบกวนเธอดีกว่า เอ่อ เธอสะดวกเอาข้อมูลติดต่อของอาจารย์เซี่ยให้ฉันไหม? ฉันบอกเขาเองก็ได้”
มือของอี้เป่ยซีถือหนังสือแน่น เอาข้อมูลติดต่อของอาจารย์เซี่ยให้เธอ…ใช้ขนหน้าแข้งคิดก็คิดออกว่าถ้าหากเอาข้อมูลติดต่อของเซี่ยเช่อไปให้คนแปลกหน้าแล้วจะลงเอยอย่างไร เธอมองคนที่อยู่ตรงหน้า แต่ก็รู้สึกไม่ดีที่จะปฏิเสธไปตรงๆ เธอกัดริมฝีปากแผ่วเบาแล้วจึงเอ่ยปาก “คือว่า ฉันไม่มีหรอก ถ้างั้นคราวหน้าฉันช่วยเธอถามให้ไหม?”
“อืม ได้ งั้นเธอเมมเบอร์ของฉันก่อนเถอะ”
อี้เป่ยซีพยักหน้า เพิ่มข้อมูลติดต่อของเธอแล้ว ขณะที่กำลังป้อนชื่อก็หยุดมองอีกฝ่าย
“เยี่ยฉิน เยี่ยที่เหมือนใบไม้ตอนฤดูใบไม้ร่วง ฉินที่มาจากคำว่าความสามัคคีที่สมบูรณ์แบบ”
“อือ ชื่อดีนี่” อี้เป่ยซีพยักหน้าเล็กน้อย เยี่ยฉินกลับยิ้มอย่างเขินอาย
“ก็แค่ชื่อธรรมดาน่ะ จริงสิ ยังไม่รู้ชื่อเธอเลย?”
“อี้เป่ยซี”
“ที่แท้เธอก็คืออี้เป่ยซี” เยี่ยฉินมองเธอประหลาดใจ สำรวจอย่างละเอียด ไม่เห็นจะน่ารำคาญเหมือนที่พวกนักศึกษาประเมินกันเลยนี่นา ดูแล้วเธอก็เป็นสาวน้อยที่สวยๆ ใสๆ และยังไม่โต จากนั้นครู่หนึ่งถึงรู้ตัวว่าตัวเองเสียมารยาท “ขอ ขอโทษทีนะ”
“ไม่เป็นไร เยี่ยฉิน เธอเป็นนักศึกษาที่ย้ายมาเหรอ?”
“เปล่าหรอก” เธอยิ้มพร้อมส่ายหัว “ฉันเป็นผู้ช่วยอาจารย์ที่ย้ายมาปีนี้ ก็เลยไม่ค่อยรู้เรื่องที่มหา’ลัยเท่าไร แต่ว่าเป่ยซี ฉันเรียกเธอแบบนี้ได้ไหม?”
อี้เป่ยซีพยักหน้า บอกให้เธอพูดต่อ เยี่ยฉินจึงพูดต่ออย่างโล่งอก “เกือบเป็นเวอร์ชั่นจริงของ Pride and Prejudice ซะแล้ว”
อี้เป่ยซียักไหล่ไม่ใส่ใจ “พวกเขาอยากจะพูดอะไรก็พูดเถอะ ฉันชอบท่าทางของพวกเขาที่ถึงจะไม่ชอบขี้หน้าฉันแต่ก็ยังยิ้มให้ฉัน”
“เธอนิ่งมากเลยนะ” ในคำพูดของเยี่ยฉินไม่มีการประชดประชันใดๆ อี้เป่ยซีถอนหายใจ ไม่งั้นจะให้ทำยังไงล่ะ ตัวเองรู้ความจริงก็พอแล้ว “แต่ว่าเธอก็น่าชอบจริงๆ”
“งั้นผู้ช่วยอาจารย์ชอบฉันแล้วเหรอ?” อี้เป่ยซีเลิกคิ้วเล็กน้อย ดวงตาโค้งยิ้มสดใส เยี่ยฉินอึ้งไปชั่วขณะหนึ่ง
“แน่นอนๆ แต่น่าเสียดายนะ ถ้าเธอเป็นนักศึกษาในวิชาของฉัน พวกเราคงจะได้มีโอกาสรู้จักกันมากขึ้น”
“อย่าเลย อาจารย์กับนักศึกษาจะรักกันไม่ได้นะ” อี้เป่ยซีส่ายหน้าตามปกติ แต่เยี่ยฉินกลับถูกคำพูดประหลาดของเธอแหย่จนขำแล้ว แถมยังพยักหน้าเห็นด้วยอย่างจริงจัง
“อือ บางทีฉันควรจะพิจารณาเรื่องการลาออก”
ระหว่างที่คุยๆ ขำๆ กันก็เดินมาถึงออฟฟิศแล้ว อี้เป่ยซีเห็นออฟฟิศเดี่ยวสไตล์หรูหราของเซี่ยเช่อแล้วรู้สึกโมโหเล็กน้อย เธอวางหนังสือลงบนโต๊ะ ตั้งใจทำให้มันไม่เสมอกัน แล้วก็เอาปากกามาเรียงกันตามใจชอบ จากนั้นเผยรอยยิ้มเหมือนเด็กน้อยที่เล่นพิเรนทร์ เสร็จแล้วออกไปจากออฟฟิศกับเยี่ยฉินอย่างสบายใจ
“เป่ยซี ทำแบบนี้ ไม่ดีมั้ง”
“เปล่าๆ ฉันจะบอกคุณให้ อาจารย์เซี่ยชอบวางของแบบนี้มากเลย เขาจะรู้สึกว่าการจัดของรกๆ แบบนี้อบอุ่นเป็นพิเศษ มีความรู้สึกเหมือนอยู่บ้าน ทำให้เขารู้สึกสบายใจน่ะ” ท่าทางของเธอจริงจังเป็นอย่างมาก “จริงๆ นะ”
เยี่ยฉินมองประตูที่ปิดสนิทด้านหลังด้วยความสงสัยเล็กน้อย จากนั้นก็ยิ้มอย่างไม่ใส่ใจ ‘เด็กน้อยเอ๊ย’ ทั้งสองคนสบตากัน เข้าใจซึ่งกันและกันโดยไม่ต้องพูดออกมา
……………………….