บทที่ 66 เรื่องเล่าในมหาวิทยาลัย (8)
กำแพงสี่ด้านเชื่อมต่อกันอย่างแน่นหนา การอยู่ตามลำพังราวกับว่ากำแพงขาวทั้งสี่ด้านต่างรุมล้อมคุณเพียงคนเดียว คุณจะไม่ได้อยู่ในห้องที่อบอุ่นของตัวเองอีกต่อไปแล้ว แต่เป็นโลงศพที่ทั้งสี่ด้านมีแต่ความเยือกเย็นจางๆ ยื่นมือสัมผัสตัวเองก็เป็นกระดูกแห้งเหือด
อี้เป่ยซีรู้สึกราวกับว่าถูกคนบีบคอ มวลอากาศมหาศาลพวยพุ่งออกมาจากทรวงอกของเธอ แต่กลับมีเพียงอากาศที่มีกลิ่นเหม็นจางๆ หลั่งไหลเข้าไป เธอรู้สึกว่าในสายตาของเธอเต็มไปด้วยดวงตาเปื้อนเลือดไม่ก็ใบหน้าสยดสยอง เธอก้าวไปข้างหน้า คว้าแขนเสื้อของอี้เป่ยเฉินเอาไว้
“พี่เป่ยเฉิน พี่…”
อี้เป่ยเฉินพลิกตัวมา เชยคางของเธอขึ้นมา แววตาที่จนปัญญานั้นเข้มข้นขึ้น น้ำเสียงยังคงอ่อนโยนสง่างาม “ทำไมถึงกลัวขนาดนี้” หน้าผากของเขาชนกับหน้าผากของอี้เป่ยซี ลมหายใจอบอุ่นรินรดอยู่บนใบหน้าของเธอ “เสี่ยวซี่ ไม่ต้องไปคิดอะไรแล้ว มีแต่จะทำให้ตัวเองกลัวซะเอง”
“แต่ว่ามันน่ากลัวจริงๆ นี่นา พี่เป่ยเฉิน ต้องโทษพี่นั่นแหละ ดึกๆ ดื่นๆ ยังจะดูหนังผีอีก” เธอพูดด้วยเสียงสะอื้นเล็กน้อย
อันที่จริงไม่ควรใช้วิธีนี้เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของเธอเลยจริงๆ อี้เป่ยเฉินโทษตัวเอง กอดเธอไว้ในอ้อมแขน ตบไหล่ของเธอเบาๆ เหมือนกับปลอบโยนเด็กน้อย “เอาเถอะ เอาเถอะ เพราะพี่เป่ยเฉินไม่ดีเอง พี่อุ้มเธอกลับไปนอนนะ? นี่ก็ดึกมากแล้ว”
อี้เป่ยซีกำชายเสื้อของเขา ทั้งใบแนบอยู่บนหน้าอกกว้างเขา รู้สึกได้ถึงความอบอุ่นและความรู้สึกปลอดภัยจากร่างกายเขา เธอตอบรับด้วยเสียงต่ำในลำคอ อี้เป่ยเฉินจึงค่อยจัดโต๊ะลวกๆ แล้วอุ้มเธอกลับไปที่ห้อง
“พี่เป่ยเฉิน พี่ไม่ไปได้ไหม?” ดวงตาที่มีน้ำตาคลอแฝงแววอ้อนวอน อี้เป่ยเฉินพยักหน้า กำลังจะไปปิดไฟ “ไม่ปิดไฟได้ไหม?”
“อืม ได้สิ” เขาดึงมือของตัวเองกลับ หยิบเครื่องนอนอีกชุดออกมาจากตู้เสื้อผ้า เอนตัวลงข้างอี้เป่ยซี ห่มผ้าห่ม หันหน้าเข้าหาเด็กสาวของเขาพร้อมโอบหลังไว้
อี้เป่ยซีดึงมือของอี้เป่ยเฉินขึ้นมา หันหน้าเข้าหาเขา กอดแขนของเขาด้วยความออดอ้อนเล็กน้อย
“เป็นอะไรไป?”
“เปล่า” อี้เป่ยซียักไหล่ “ก็แค่รู้สึกว่านานแล้วที่ไม่ได้นอนคุยกับพี่เป่ยเฉิน”
อี้เป่ยเฉินยื่นมือออกไปลูบผมของเธอ “เสี่ยวซี พวกเรายังอยู่ด้วยกันอีกนาน เธออยากจะคุยกับพี่ยังไงก็ได้”
เธอไม่ได้ครุ่นคิดลึกลงไปในประโยคนี้ เพียงหลับตาด้วยสีหน้าพึงพอใจ “พี่เป่ยเฉิน พี่อยากเล่านิทานให้ฉันฟังไหม?”
“ได้ พี่จะเล่านิทานให้ฟัง กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีกระต่ายน้อยตัวหนึ่ง…” เขาพูดพลางยื่นมือออกมาตบๆ หลังของอี้เป่ยซี น้ำเสียงไพเราะเป็นพิเศษในค่ำคืนที่เงียบสงัด “เสี่ยวซี เสี่ยวซี” อี้เป่ยเฉินผลักเธอเบาๆ ก็ไม่เห็นว่าคนที่หลับตาจะมีปฏิกิริยาใดๆ เขาหัวเราะอย่างเอ็นดู จูบหน้าผากเธอเบาๆ อดไม่ไหวเอื้อมมือลูบไล้หน้าผาก คิ้ว และปลายจมูกของเธอ ในที่สุดก็หยุดอยู่ที่ริมฝีปากสีแดงระเรื่อ ริมฝีปากอวบอิ่มยังคงยกยิ้มมีความสุข เขาก้มหน้าเล็กน้อย สัมผัสมันอย่างเบามือราวกับแมลงปอที่สัมผัสผิวน้ำ
“ราตรีสวัสดิ์ เสี่ยวซี”
ทั้งสองคนหลับสนิททั้งคืนไร้ซึ่งความฝัน
ขณะที่ฟ้าสว่างและอี้เป่ยซีลืมตาขึ้นก็ค้นพบว่าตัวเองไม่รู้ว่ามาอยู่ในผ้าห่มของอี้เป่ยเฉินตั้งแต่เมื่อไร เธอเกาะแน่นอยู่บนตัวเขาราวกับปลาหมึก ร่างกายที่ถูกคั่นด้วยเสื้อผ้าแนบแน่น เธอรีบปล่อยมือทันที กลับไปที่ผ้าห่มของตัวเองด้วยความเศร้าหมอง แล้วผ้าห่มก็ถูกคนข้างหลังดึงเข้าไปกอด
“พี่ พี่เป่ยเฉิน” อี้เป่ยซีรู้สึกว่าใบหน้าของตัวเองเหมือนถูกแผดเผา เธอตัวแข็งทื่ออยู่ในอ้อมแขนของคนข้างหลัง ไม่กล้าขยับตัว แย่แล้วๆ ครั้งนี้พี่เป่ยเฉินจะดูออกหรือเปล่า ไม่สิ เข้าใจผิดซะบ้างเถอะ ความคิดเธอหมุนวนไปมาอย่างรวดเร็ว ครุ่นคิดเหตุผลเพื่ออธิบาย
“ทำก็ทำไปแล้ว ยังจะคิดข้ออ้างอะไรอีก”
อะไรทำไม่ทำกันเล่า อี้เป่ยซีรู้สึกแต่ว่าได้ยินเสียงฟ้าผ่าอยู่ในหัว เธอขยับตัว ก็ถูกคนตบหัวเบาๆ
“นอนต่อ อย่าขยับตัวสิ” ลมหายใจบนคอดูเหมือนจะร้อนขึ้นเล็กน้อยด้วย อี้เป่ยซีตอบรับขณะหน้าแดง เอาหน้าซุกไว้ในผ้าห่ม
“ตอนนี้หน้าแดงเป็นด้วยเหรอ?” เขาเอ่ยแซว ริมฝีปากเหมือนจะสัมผัสหูของอี้เป่ยซี ความรู้สึกอ่อนปวกเปียกส่งผ่านระหว่างคนสองคน เธอยิ่งหดคอหนักกว่าเดิม
ลมหายใจข้างหลังเริ่มหนักหน่วงขึ้น อี้เป่ยซียังไม่ทันตอบสนอง มือที่อยู่บนเอวก็ยกออกไปแล้ว เธอไม่กล้าหันกลับไปมอง “เสี่ยวซีนอนต่อไปหน่อยเถอะ พี่จะไปเตรียมอาหารเช้าให้” แล้วเขาก็ออกจากห้องไป
เมื่อได้ยินเสียงปิดประตู เธอคลุมโปงอยู่ใต้ผ้าห่ม
‘อี้เป่ยซี เธอยิ่งทำอะไรเกินหน้าเกินตามากขึ้นทุกที ถูกกระตุ้นด้วยกิเลสตัณหา ฉัน ฉันทนเธอไม่ไหวจริงๆ’
ดูเหมือนว่ากลิ่นของเขายังคงลอยอยู่ในอากาศ อุณหภูมิบนผิวหนังก็ถูกจารึกไว้ในหัวและปรากฏขึ้นมาเป็นครั้งคราว
“ไม่ต้องคิดแล้ว ไม่ต้องคิดแล้ว” เธอยกผ้าห่มออกอย่างหงุดหงิด ลุกจากเตียงไปล้างหน้าล้างตา
อี้เป่ยซีลงไปชั้นล่างด้วยความเชื่องช้าเล็กน้อย พบว่าอี้เป่ยเฉินเพิ่งเข้าห้องครัว เธอย่องเข้าไป กระโดดไปที่ด้านหลังของเขา “มาฉันช่วย”
“อือ เอาถ้วยกับตะเกียบออกมาก่อนเถอะ” อี้เป่ยเฉินส่งของให้เธอ ปล่อยให้อี้เป่ยซีไปเล่นอีกด้านหนึ่ง เธอปฏิบัติต่อเครื่องใช้เซรามิกในมือด้วยความระมัดระวังมาก จานรองที่ถูกจัดไว้อย่างดีตั้งแต่แรกร่วงลงมาจากโต๊ะ อี้เป่ยซีตกใจจนถอยหลังไปหนึ่งก้าวแบะและชนเข้ากับหน้าอกของอี้เป่ยเฉิน เขากอดเธอไว้แผ่วเบา
“ไม่เป็นไรนะ?” อี้เป่ยเฉินสำรวจอย่างละเอียด เมื่อพบว่าบนตัวเธอไม่มีบาดแผลอะไร จึงถอนหายใจโล่งอก
“ก็เห็นอยู่ว่าฉันวางไว้ดีแล้ว ทำไมจู่ๆ ถึงตกลงมาได้ล่ะ” อี้เป่ยซีรู้สึกผิดเล็กน้อย กำลังจะก้มลงไปเก็บเศษขยะพวกนั้น เขาก็คว้ามือน้อยๆ ที่กำลังจะเอื้อมไปหยิบเศษของแตกไว้
“เสี่ยวซีออกไปเล่นข้างนอกเถอะ พี่จัดการก็พอแล้ว”
เธอพยักหน้าก่อนเดินออกไปข้างนอก อี้เป่ยเฉินทำความสะอาดชิ้นส่วนบนพื้นด้วยความคล่องแคล่ว ใส่เข้าไปในถุงหนา เอาถุงกระดาษคราฟท์ห่อไว้อีกที แล้ววางลงด้านข้าง ทำงานในมือต่อ อี้เป่ยซีนั่งอยู่ด้านนอกรู้สึกหดหู่ใจเป็นอย่างมาก
เธอทำเรื่องเล็กๆ น้อยๆ พวกนี้ไม่ได้ตั้งแต่เมื่อไรกัน เธอบีบนิ้วของตัวเอง ทั้งๆ ที่วางไว้ดีแล้วนี่นา ‘ทำไมถึงร่วงลงมาได้ วันนี้ซวยจริงๆ เลย’ เธอปีนขึ้นไปบนโต๊ะ เหม่อมองน้ำที่อยู่ในแก้ว เห็นๆ อยู่ว่ามันเป็นแก้วใสที่มีน้ำใส แต่ทำไมสิ่งของที่อยู่ตรงหน้ากลับไม่ชัดเจน
เธอเอียงศีรษะ ไม่คิดเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้มากมายอีก ไม่นานบนโต๊ะก็เต็มไปด้วยอาหาร อี้เป่ยซีนั่งตัวตรงอย่างไร้ชีวิตชีวา หยิบตะเกียบของตัวเองมา
“โอเคแล้ว ไม่มีอะไรแล้ว ก็แค่จานแตกเอง” อี้เป่ยเฉินนึกว่าอาการเหม่อลอยของเธอในตอนนี้เป็นเพราะตัวเองทำผิด จึงรีบปลอบโยน
อี้เป่ยซีคนช้อนอยู่ในโจ๊กสองสามรอบแล้วจึงเงยหน้า ไอน้ำในถ้วยลอยขึ้น “พี่เป่ยเฉิน บางทีฉันก็ซุ่มซ่ามใช่หรือเปล่า” สีหน้าเธอหมดความนับถือในตัวเองเล็กน้อย
“ก็แค่ไม่ระวังเอง ใครๆ ก็เป็น ทำไมวันนี้เธอถึงคิดมากแบบนี้ล่ะ?”
เธอส่ายหน้า ถอนหายใจยาว “ก็แค่รู้สึกว่าพอได้ยินเสียงแบบนั้นแล้วอารมณ์ไม่ดีเอามากๆ ฉันก็บอกไม่ได้ว่าเพราะอะไร”
อี้เป่ยเฉินคีบของโปรดของเธอใส่ลงในถ้วยให้ “เดี๋ยวพวกเราไปสวนสนุกกันดีไหม?”
อี้เป่ยซีก็ไม่อยากรู้สึกหมดสนุก เธอฝืนทำตัวร่าเริง แล้วพยักหน้าให้เขา
………………………..