บทที่ 67 เรื่องเล่าในมหาวิทยาลัย (9)
คุณเคยมีความรู้สึกแบบนั้นไหม คุณสามารถหัวเราะได้อย่างมีความสุขมากๆ แต่ว่าคุณก็รู้สึกหมองเศร้า แม้ว่าคุณกำลังเพลิดเพลินกับสิ่งที่คุณชอบ หรือรู้สึกได้ถึงแสงอาทิตย์สีทองสดใส แต่ไม่อาจนอนอยู่ในอ้อมแขนของเมฆขาว มันถูกปกคลุมด้วยเมฆครึ้ม ไม่สามารถขยับตัวได้
เล่นอยู่ในสวนสนุกเนิ่นนาน อี้เป่ยเฉินซื้อไอศกรีมที่ทั้งเย็นทั้งหวานให้อี้เป่ยซีเป็นข้อยกเว้น จู่ๆ มันก็ไม่ชวนให้คนรู้สึกพอใจอีกต่อไป ความสุขทั้งหมดกลายเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเพียงผิวเผิน ความหนักหน่วงที่พูดไม่ออกต่างหากคืออารมณ์ส่วนลึกที่แท้จริง อี้เป่ยซียังคงยิ้มน้อยๆ แต่วันนี้เธอเพิ่งค้นพบว่าการยิ้มแบบนี้ตลอดเวลาช่างเหนือจริงๆ
แม้แต่แรงที่จะยิ้มก็มีไม่เพียงพอ
หลังจากอี้เป่ยเฉินทานข้าวเที่ยงกับเธอแล้ว จึงค่อยส่งอี้เป่ยซีกลับหอพัก ทันทีที่กลับถึงหอพักเธอล้มตัวลงบนเตียงทันที ทั้งตัวไร้เรี่ยวแรง เปลือกตาที่หนักอึ้งปิดลงแต่ไม่มีความง่วงสักนิด เธอวางมือซ้อนกันที่หน้าท้องส่วนล่าง รู้สึกราวกับว่าตัวเองกำลังนอนอยู่ในโลงศพ
มีเพียงความระลึกได้กับความคิด แต่กลับไม่อยากขยับตัวอีก ไม่อยากลืมตาขึ้นมา
เธอได้ยินเสียงนอกหอพักอย่างชัดเจน ได้ยินถังเสวี่ยส่งเสียง “ชู่” เพราะนึกว่าเธอกำลังหลับ ได้ยินเสียงถอนหายใจของฟางหมิ่น
สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นที่ข้างหูจริงๆ แต่รู้สึกว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับตัวเอง ร่างกายนอนอยู่ตรงนั้น แต่ความคิดราวกับหลุดพ้นจากพันธะผูกพันของร่างกายแล้ว
อี้เป่ยซีไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไรไป เธอเพียงแต่รู้สึกทุกข์ใจมาก แค่อยากจะหลับตาชั่วนิรันดร์เพียงลำพัง นอนอยู่ตรงนี้คนเดียวโดยไม่คิดอะไร เหมือนกับท่อนไม้ ไม่ร้องไห้ ไม่หัวเราะ ไม่ส่งเสียง
เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้นในหอพักที่เงียบสงัด แม้แต่ดนตรีที่ผ่อนคลายตอนนี้ก็ยังหนวกหูมาก อี้เป่ยซีขมวดคิ้ว ยังคงไม่ลืมตา ในเวลานี้เสียงของฉินเยว่เข่อกลับดังขึ้น “ตอนนี้ทักษะการแกล้งหลับของใครบางคนนี่มันสุดยอดจริงๆ”
คำพูดแสบแก้วหูสุดๆ อี้เป่ยซีก็ยังคงไม่ลืมตาหรือแม้แต่ขยับตัว
“เธอนึกว่านอนอยู่ตรงนี้แล้วจะหนีความจริงได้เหรอ อี้เป่ยซี จุ๊ๆ โง่เง่าจนหมดทางรักษาจริงๆ”
“ฉินเยว่เข่อ คิดว่าคงมีแต่คนที่ฝันว่าอีกาจะกลายเป็นหงส์แบบเธอที่เชื่อข่าวปลุกกระแสแบบนั้น”
“ปลุกกระแสอะไร” น้ำเสียงของฉินเยว่เข่อแหลมสูงกะทันหัน จากนั้นก็อวดดี คำพูดคำจาหยิ่งผยอง “พี่สาวฉันก็บอกแล้วว่าพวกนั้นเป็นเรื่องจริง”
เสียงหัวเราะดูถูกของฟางหมิ่นดังขึ้น “งั้นพี่สาวเธอก็เป็นหนึ่งในตัวละครจริงๆ สินะ”
ฉินเยว่เข่อไม่พูดกับอีกฝ่ายอีก เดินไปข้างเตียงอี้เป่ยซีทันที เห็นเธอนอนเงียบๆ อยู่บนเตียงก็รู้สึกโมโหเล็กน้อย บนใบหน้ายังคงมีรอยยิ้มเสแสร้ง “อี้เป่ยซี เพลิดเพลินกับชีวิตคุณหนูในหลายวันนี้ไปเถอะ ต่อไปฉันจะไม่ให้เธอได้อยู่เป็นสุขแน่” พูดจบก็กระแทกส้นสูงจากไป
“เป่ยซี เป่ยซี” ถังเสวี่ยเรียกชื่ออย่างเป็นกังวลขณะผลักเธอเบาๆ
“หนวกหูชะมัดเลย” อี้เป่ยซีลุกขึ้นนั่งบนเตียง โลกทั้งใบหมุนคว้าง เธอพิงกำแพงอยู่ครู่หนึ่ง จึงค่อยๆ ลงมาจากเตียง แล้วจัดกระเป๋าหนังสือของตัวเอง
“เป่ยซี เธอไม่เป็นไรนะ?” ถังเสวี่ยดึงมือเธอ เอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง อี้เป่ยซีไม่ค่อยเข้าใจสักเท่าไร เธอจะเป็นอะไรได้ และไม่อยากไปสืบเสาะหาสาเหตุของมันด้วย เธอส่ายหัว ดึงมือตัวเองกลับ จัดของต่อไป จากนั้นก็แบกกระเป๋าและออกจากหอพักไปโดยไม่ได้พูดอะไร
ถึงโทรศัพท์มือถือในกระเป๋าสะพายข้างหลังสั่นก็ไม่หือไม่อือ เธอเดินไปทีละก้าวๆ เพียงแค่ต้องการกลับไปที่อพาร์ทเมนต์เล็กๆ ของตัวเองแล้วหลับตานอน เอนนอนอย่างเงียบๆ ก็พอแล้ว
เธอรู้สึกว่าร่างกายของตนกำลังเดินเหมือนเครื่องกลอยู่บนพื้น แต่ตัวเองกลับเดินท่องน่องอยู่บนก้อนเมฆ จิตใจหนักอึ้งเล็กน้อย
เปิดประตูปิดประตูแล้วล็อค ทำทุกอย่างรวดเดียวอย่างมีกลไกลและต่อเนื่องกัน เธอโยนกระเป๋าหนังสือลงบนพื้น ไฟก็ไม่ได้เปิด นอนลงบนเตียงทั้งเสื้อผ้า หลับตาลงอย่างจริงจัง ลมหายใจสม่ำเสมอและแผ่วเบา
ไม่รู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงของเวลา ไม่รู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงของร่างกาย ทุกความรู้สึกค่อยๆ เลือนราง ราวกับว่ามีเพียงเธอบนโลก แม้แต่ร่างกายของตัวเองก็หายไป มีแต่ตัวเองเท่านั้น
เธอเดินอยู่บนก้อนเมฆตามลำพัง รอบกายกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา ความสุขทวีขึ้นอีกครั้ง
“เป่ยซี อี้เป่ยซี อี้เป่ยซี” โลกของตัวเองสั่นคลอนในฉับพลัน ฉากสีขาวก่อนหน้านี้กลายเป็นฉากสีดำ แม้จะไม่ค่อยเต็มใจนักแต่ก็ยังลืมตา สติของเธอกลับเข้าสู่ร่างกายของตัวเองอีกครั้ง พบว่าตัวเองไม่มีเรี่ยวแรงเลยแม้แต่นิดเดียว และกำลังซุกตัวอย่างอ่อนแรงอยู่ในอ้อมแขนของคนคนหนึ่ง เสียงหัวใจเต้นและเสียงเรียกจากข้างหลังนั้นอ่อนโยนและไพเราะ
ใครกำลังเรียกเธอ? เธอไม่รู้ และไม่อยากเอ่ยปากถาม อยู่ในอ้อมอกของคนคนนั้นโดยไม่ขยับเขยื้อน ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองใดๆ
“อี้เป่ยซี เธอตื่นแล้วเหรอ” น้ำเสียงเจือความดีใจและความคาดหวัง เธอรู้สึกว่าตัวเองควรจะพยักหน้า แต่กลับไม่อยากพยักหน้า ดวงตาทั้งคู่เหม่อมองใบหน้าของคนตรงหน้า
‘ลั่วจื่อหานนี่เอง นายโผล่มาในห้องฉันได้ยังไง?’
เพียงแค่เธอคิด ก็รู้สึกว่าตัวเองได้พูดประโยคนี้ออกไปแล้ว แต่ว่าริมฝีปากกลับไม่ได้ขยับ เงาของเขาสะท้อนอยู่ในดวงตาชัดเจน
“เธอเป็นอะไรไป? อยู่ที่นี่ตั้งแต่บ่ายวานแล้ว โทรเข้ามือถือเธอก็ไม่รับ”
‘ฉันรู้สึกเหนื่อยมาก เลยไม่ได้สนใจเรื่องพวกนี้’ ดวงตาของเธอขยับเล็กน้อย เห็นลักษณะของห้องที่สะท้อนอยู่บนหน้าต่าง ‘ตอนนี้ดึกมากแล้วเหรอ?’
“ตอนนี้ตีสี่ของตอนเช้าแล้ว” ลั่วจื่อหานจัดผมเผ้าของเธอ อากัปกิริยาระมัดระวังและอ่อนโยน
‘งั้นนายมาอยู่ในห้องของฉันได้ยังไง ป่านนี้แล้วควรนอนไม่ใช่เหรอ?’
“เป็นห่วงเธอน่ะก็เลยมาดู ฉันเรียกเธอเป็นครึ่งชั่วโมงแล้ว ตอนนี้ถึงจะตื่น”
‘ฉันไม่รู้ แค่รู้สึกว่าไม่อยากทำอะไรเลย ที่จริงฉันไม่ได้หลับ แค่หลับตาเท่านั้น ฉันไม่รู้ว่าทำไมไม่ได้ยินเสียงนายเรียกฉัน’
“เธอ เธอเป็นอะไรไป ทำไมไม่พูดล่ะ?” ลั่วจื่อหานมองเธอ สีหน้าท่าทางจริงจัง
‘ฉันไม่อยากพูด ไม่อยากพูดจริงๆ ฉันก็ไม่รู้ว่าทำไม’
“ไม่อยากพูดใช่ไหม?”
ขณะที่มองตาของสาวน้อย ลั่วจื่อหานรู้ว่าตัวเองทายถูกแล้ว แต่ในใจกลับไม่ดีใจเลย
“ที่แท้เธอก็เป็นห่วงเรื่องนี้มากขนาดนี้” น้ำเสียงเขาเศร้าสร้อยเล็กน้อย “หิวหรือเปล่า ฉันทำอะไรให้เธอกินไหม?”
‘ไม่เอา ฉันยังอยากหลับตาต่อ นายปล่อยให้ฉันนอนก็พอแล้ว’
ลั่วจื่อหานวางเธอลงเบาๆ “งั้นเธอพักผ่อนต่อ ถ้าไม่สบายก็เรียกฉัน โอเคไหม”
อี้เป่ยซีไม่สนใจคำพูดของลั่วจื่อหานอีก หลับตาลงอีกครั้ง สองมือประสานกันที่หน้าท้องของตัวเอง อีกสองมือวางทับอยู่ด้านบน เธอขี้คร้านจะไปใส่ใจ เดินอยู่บนเมฆต่อไป
จู่ๆ ก็รู้สึกเหมือนมีแมลงกัดที่แขน อี้เป่ยซีเพียงแค่ขมวดคิ้วแต่ไม่ได้ลืมตา จากนั้นก็ถูกกัดเบาๆ บนหลังมืออีก แต่เธอก็ไม่ได้มีปฏิกิริยาใดๆ
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน เธอจึงค่อยๆ ลืมตาขึ้น หลับตาพักผ่อนตั้งนานขนาดนี้ ทำไมยังรู้สึกเหนื่อยอยู่เลย เหนื่อยมาก ไม่อยากทำอะไรทั้งนั้น
แสงไฟที่สว่างเกินไปทำให้แสบตามาก เธอหลับตาลงอีกครั้ง ผ่านไปเนิ่นนานจึงค่อยๆ ลืมตา ปรับตัวให้เข้ากับแสง จากนั้นก็ได้ยินเสียงดีใจของลั่วจื่อหาน และค่อยๆ รู้สึกถึงเข็มที่หลังมือตัวเอง…
………………………………….