บทที่ 72 แผนร้ายถูกเปิดโปง (1)
หลังจากตื่นนอน อี้เป่ยซีค้นซ้ายหาขวาก็หาโทรศัพท์มือถือของตัวเองไม่เจอ ขณะที่เห็นเวลาในห้องก็กัดฟันจำใจไปมหาวิทยาลัย พอออกจากบ้านก็เจอฉู่ซ่ง ราวกับว่าเขากำลังรอเธออยู่ตรงนั้น
“ฉู่ซ่ง ก่อนหน้านี้นายเห็นมือถือฉันไหม?”
ดวงตาสีดำเป็นประกาย น้ำเสียงเขายังคงเป็นปกติ “ความจำเธอไม่ดีเอง ใครจะรู้ว่าเธอทิ้งไว้ไหนแล้ว เอาล่ะ ไปเรียนก่อนเถอะ เดี๋ยวเธอจะสายเอานะ”
“ไม่หรอกมั้ง ฉันจำได้ว่าใส่ไว้ในกระเป๋าหนังสือแล้ว” เธอเกาหัว พยายามนึกย้อนดู
“โธ่เอ๊ย ก็แค่มือถือเครื่องหนึ่ง กลับไปซื้ออีกเครื่องให้เธอก็โอเคแล้วไม่ใช่เหรอ” เขาหมดความอดทนอย่างเห็นได้ชัด ต้องการจะเปลี่ยนหัวข้อนี้โดยเร็ว อี้เป่ยซีคว้าเสื้อของเขา เดินไปด้านหน้า มองเขาอย่างพินิจพิเคราะห์ จู่ๆ ฉู่ซ่งก็รู้สึกร้อนตัวเล็กน้อย
“เธอ เธอจะทำอะไร”
“ฉู่ซ่ง วันนี้นายพูดจาแปลกๆ นะ”
“แปลก แปลกที่ไหนกัน ปะ ปกติฉันก็พูดแบบนี้ไม่ใช่เหรอ?”
“พูดมา มีอะไรปิดบังฉันใช่ไหม”
ฉู่ซ่งดึงมือของเธอออกทันที ไม่มองตาเธออีก “ฉันจะมีอะไรปิดบังเธอได้ อย่าคิดมากเลย ไปเถอะๆ ไปมหา’ลัยได้แล้ว”
“ไม่ได้ ฉู่ซ่ง นายมาคุยกับฉันให้รู้เรื่อง นายฟอกเงินมาใช่ไหม” อี้เป่ยซีถามอย่างเอาจริงเอาจัง ฉู่ซ่งสีหน้างงงวย ฟอกเงินอะไรกับอะไร
“ทำไมจินตนาการเธอถึงล้ำแบบนี้เนี่ย”
“งั้นทำไมจู่ๆ นายก็ใจกว้างแบบนี้ล่ะ แถมยังบอกว่าจะซื้อมือถือเครื่องใหม่ให้ฉันอีก ก่อนหน้านี้ใครกันที่ไม่ยอมเลี้ยงแม้แต่ข้าวสักมื้อ”
ที่แท้ก็เรื่องนี้นี่เอง ฉู่ซ่งถอนหายใจโล่งอกเล็กน้อย “เฮ้อ ฉันไม่ได้พูดสักหน่อยว่าฉันจะซื้อให้เธอ”
“แล้วทำไมนายถึงพูดด้วยความมั่นใจเต็มร้อยแบบนั้น” อี้เป่ยซีก้าวเท้ายาวๆ ไปข้างหน้า “ไปสิๆ เดี๋ยวก็เข้าเรียนสายหรอก”
ตอนนี้นึกขึ้นมาได้ ก่อนหน้านี้มัวทำอะไรอยู่
“ทำไมนายยังไม่ไปอีก?”
“รู้แล้ว” ฉู่ซ่งเร่งฝีเท้าให้ทันเธอ
ทันทีที่เข้าห้องเรียน อี้เป่ยซีก็รู้สึกได้ว่าเพื่อนนักศึกษาที่อยู่ข้างๆ ทำตัวแปลกๆ ทุกคนไม่กล้ามองตาเธอโดยตรง เธอรู้สึกแปลกใจนิดหน่อย แต่ก็ยังไปนั่งที่เดิม เพื่อนนักศึกษาข้างๆ ทำตัวเหมือนนกกระจอกแตกรัง รวมตัวอยู่ด้วยกันแต่ไม่ต้องการจะเข้าใกล้เธอ
เธอกลายเป็นสัตว์ร้ายน่ากลัวไปแล้วหรือไง? เธออดไม่ได้ที่จะรู้สึกขำ หยิบหนังสือเรียนออกมาอย่างไม่ใส่ใจ และรออาจารย์เข้ามา วันที่ไม่มีโทรศัพท์มือถือ เวลาแห่งการรอคอยผ่านไปอย่างยากลำบากจริงๆ อาจารย์มาถึงอย่างไม่เร่งรีบ คนอื่นที่อ้อยอิ่งในเวลาเดียวกันนั้นก็คือเพื่อนร่วมหอพักของอี้เป่ยซีอีกสามคน
ฉินเยวี่ยเข่อเหลือบมองเธอด้วยความหยิ่งยโสมาก แล้วนั่งลงที่นั่งด้านหน้า ฟางหมิ่นกับถังเสวี่ยนั่งข้างเธอ เพิ่งจะนั่งลง ถังเสวี่ยก็แอบมองอี้เป่ยซีตลอดเวลา คาบเรียนผ่านไปแล้ว ถังเสวี่ยยังคงมองมายังทิศทางของอี้เป่ยซีอยู่
“ถังเสวี่ย ตาเธอเป็นอะไรไป?”
คนที่ถูกเรียกชื่อรีบละสายตาของตัวเองไปด้วยความกระวนกระวาย ส่ายหน้า ปิดปากแน่น ราวกับกลัวว่าตัวเองจะหลุดเอ่ยอะไรออกไป อี้เป่ยซีไม่ใส่ใจ ฟังบทเรียนและจดบันทึกต่อ
ขณะอยู่ในห้องน้ำหลังเลิกเรียน อี้เป่ยซีกลับถูกคนขวางทางเอาไว้ เธอมองคนที่ขวางทางตัวเองข้างหน้าอย่างหงุดหงิด ตอนนี้ชักจะอดไม่ไหวแล้ว “ถอยไป ฉันจะกลับ”
ฉินเยวี่ยเข่อหัวเราะเยือกเย็น “อี้เป่ยซี เธออย่าคิดว่าจะรังแกพวกเราง่ายๆ นะ ก็แค่เกิดมาต่ำต้อยกว่าเธอนิดหน่อยเท่านั้น นอกจากเรื่องนี้แล้วเธอยังมีอะไรน่าอวดดีอีกล่ะ”
อี้เป่ยซีคร้านจะใส่ใจคำถามถางของอีกฝ่าย “ความต้องการของฉันไม่สูงหรอก มีแค่ด้านหนึ่งที่ชนะคนอื่นก็พอแล้ว ในเมื่อรู้ว่าสถานะของเธอสู้ฉันไม่ได้ เธอยังไม่หลีกทางไปอีก”
“อี้เป่ยซี อย่านึกว่าเธอเป็นคุณหนูบ้านอี้แล้วจะทำอะไรตามใจชอบไม่เห็นคนอื่นอยู่ในสายตาได้นะ พี่สาวฉันน่ารังแกแต่ฉันไม่ใช่ ฉันจะเตือนเธอให้ อย่ามาหาเรื่องพี่สาวฉันอีก ไม่อย่างนั้นแม้แต่อี้เป่ยเฉินก็จะไม่ปล่อยเธอ”
นี่มันเรื่องอะไรกัน? อี้เป่ยซีถูกเธอพูดจาอ้อมค้อมใส่จนสับสนเล็กน้อย มันเกี่ยวอะไรกับพี่สาวเธอและพี่เป่ยเฉินด้วย
“ฉินเยวี่ยเข่อ พวกเราสองคนไม่มีเรื่องขัดใจกันนะ แต่ไหนแต่ไรฉันก็ไม่เคยทำอะไรไม่ดีกับเธอเลยนะ ตอนนี้เธอกำลังเล่นอะไรกันแน่?”
“อี้เป่ยซี สักวันหนึ่งฉันจะทำให้เธอสูญเสียทุกอย่าง คุกเข่าแทบเท้าฉัน ขอร้องให้ฉันปล่อยเธอไป” พูดจบก็จากไปอย่างไม่แยแส ปล่อยให้อี้เป่ยซีมีสีหน้างงงวย
ดูซีรีส์น้ำเน่าเยอะเกินไปหรือเปล่า? จิ๊ๆ ช่างเป็นตัวละครในซีรีส์ที่มีชีวิตจริงๆ พูดจาชวนให้คนกังขา อี้เป่ยซีล้างมืออีกครั้ง เดินออกมาจากห้องน้ำ จะกลับไปนั่งที่ของตัวเอง
“เป่ยซี” อี้เป่ยซีนั่งแถวสุดท้ายติดประตู ครู่หนึ่งก็ได้ยินเสียงคนเรียกอยู่ข้างนอก เมื่อเห็นฉินรั่วเข่อเธอขมวดคิ้ว แม้จะไม่เต็มใจแต่ก็ยังเดินออกไปแล้ว
วันนี้สองพี่น้องคู่นี้คิดจะทำอะไรกันแน่?
“นี่เธอเป็นอะไร?” เธอเห็นมือของฉินรั่วเข่อบิดเข้าหากัน ก้มหน้า ราวกับว่าทำอะไรผิดอย่างไรอย่างนั้น “เอ่อ เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือเปล่า?”
ฉินรั่วเข่อเงยหน้าขึ้น ใบหน้าซูบตอบเห็นได้ชัด ดวงตาก็บวมแดงเพราะร้องไห้มานาน อิดโรยเป็นอย่างมาก น้ำตายังคงร่วงลงมาจากแก้มอย่างต่อเนื่อง
“เธอ เธอเป็นอะไรไป?”
เธอกัดริมฝีปาก ท่าทีเหมือนอดกลั้นเอาไว้ ปาดน้ำตาบนใบหน้า สูดหายใจเข้าลึก แล้วยิ้มน้อยๆ “ฉันไม่เป็นไร ฉันแค่ได้ยินว่าฉินเยวี่ยเข่อสร้างความเดือดร้อนให้เธอ เลยอยากจะขอโทษเธอแทนเขา”
“เธอเป็นแบบนี้แล้วจะขอโทษอะไร? เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือเปล่า? วันนี้พวกเธอสองคนแปลกๆ”
ความประหลาดใจฉายผ่านดวงตาของฉินรั่วเข่อ จากนั้นก็กำมือตัวเองแน่นกว่าเดิม กิริยาเล็กน้อยเหล่านี้แน่นอนว่าไม่รอดพ้นสายตาของอี้เป่ยซี
เธอควรจะรู้อะไรหรือเปล่า? ทำไมเธอถึงรู้สึกว่าเหลือเชื่อแบบนี้ วันนี้ทำไมทุกคนถึงได้แปลกเหลือเกิน
“เธอพูดมาก็พอ ไม่เป็นไรหรอก”
ฉินรั่วเข่อยิ้มขมขื่น “ฉันจะพูดอะไรได้ เป็นเพราะ เป็นเพราะคนอื่นสร้างเรื่องขึ้นมาทั้งนั้น ต่อไปฉันจะคุยกับฉินเยวี่ยเข่อให้รู้เรื่อง ต่อไปเขาจะไม่หาเรื่องเธออีก” น้ำเสียงเหมือนกับถูกรังแกแต่ไม่กล้าพูดอะไร อี้เป่ยซีรู้สึกว่าน้ำเสียงของอีกฝ่ายไม่รื่นหูอยู่บ้าง ลักษณะนี้เหมือนสาเหตุที่ไม่กล้าพูดความจริงเป็นเพราะเธอ เหมือนเธอกำลังรังแกอีกฝ่ายหนึ่งอย่างไรอย่างนั้น
ความรู้สึกแบบนี้ทำให้รู้สึกอึดอัดใจ ขณะที่อี้เป่ยซีต้องการเอ่ยถามต่อ จู่ๆ ฉู่ซ่งก็ปรากฏตัวต่อหน้าพวกเธอ ไม่เก็บซ่อนความรังเกียจที่มีต่อฉินรั่วเข่อเลยแม้แต่น้อย เขาดึงมือของอี้เป่ยซีมาทันที ดึงระยะห่างระหว่างทั้งสองฝ่ายออกจากกัน
“เธอมาทำอะไรที่นี่?”
มือของฉินรั่วเข่อผ่อนคลาย “ฉันมาขอโทษ”
“หืม ขอโทษ? ก็ควรขอโทษอยู่หรอก ตอนนี้ขอโทษเสร็จแล้วเธอก็รีบไปซะ ต่อไปถ้าคนอื่นรู้ว่าเธอมาหาอี้เป่ยซี มันจะไม่ง่ายแค่การขอโทษแล้ว”
“ขอบคุณที่เตือนสตินะ” พูดจบฉินรั่วเข่อก็จากไป ลำตัวไม่ได้ยืดตรงเหมือนก่อนหน้านี้ แต่โค้งงอเล็กน้อย
อี้เป่ยซีเงยหน้าขึ้นมองน้องชายที่สูงกว่าตัวเอง “มีอะไรปิดบังฉันจริงๆ ใช่ไหม ทำไมถึงรู้สึกว่าพวกเธอแปลกๆ กัน”
“เอ๋ งั้นเป็นไปได้แล้วว่าเธออยู่บนจุดสูงสุดที่คนทั่วไปถูกมอมเมาแต่มีเธอคนเดียวที่ตื่นรู้ ขอชื่นชม ขอชื่นชม”
……………………..