บทที่ 81 จื่อจวีหานซื่อ (1)
หลังจากลั่วจื่อหานส่งอี้เป่ยซีกลับมหาวิทยาลัยแล้วไม่ได้กลับบ้านทันที แต่ขับรถไปยังสถานที่หนึ่งเขตชานเมือง บนพื้นลูกรังที่กว้างขวางและรกร้างอย่างเห็นได้ชัดนั้นมีบ้านเหล็กหลังหนึ่งที่ชำรุดทรุดโทรมอย่างยิ่งตั้งอยู่ เงี่ยหูฟังก็ราวกับว่ายังได้ยินเสียงลมที่กระทบบนผิวเหล็กและเหมือนจะรู้สึกได้ถึงสกรูที่หละหลวมเล็กน้อย ทำให้ชวนพะวงว่าวินาทีเดียวต่อมาสิ่งก่อสร้างสิ่งนี้จะยังคงอยู่หรือว่าจะกลายเป็นส่วนประกอบที่รกร้างไร้คนรู้จักเหมือนเศษหินที่อยู่บนพื้น
“ประธานลั่ว” ผู้ชายคนนั้นที่อยู่ในศูนย์การค้าโค้งนอบน้อม ลั่วจื่อหานลงจากรถเห็นสภาพของที่แห่งนี้ขมวดคิ้วเล็กน้อย ก้าวเท้าเดินไปข้างหน้า ก้อนหินที่อยู่ใต้เท้าส่งเสียงกระทบกัน
“ประธานลั่ว คุณหนูอี้กลับบ้านแล้วครับ” เมื่อรับสายรายงาน เขาตอบว่าอือคำเดียว บนใบหน้าไม่มีอารมณ์ใดๆ เมื่อส่งสัญญาณ ประตูเหล็กก็ถูกเปิดออกเสียงดังเอี๊ยดอ๊าด นักข่าวที่แอบถ่ายถูกโยนไปที่กลางห้อง ภายใต้แสงไฟนั้น เขาเหมือนกับลูกแกะที่รอการถูกเชือด มือและเท้าที่ผูกติดกันยังคงสั่นเทา
“พูดอะไรบ้าง?” ลั่วจื่อหานนั่งลงบนเก้าอี้ ถามคนที่อยู่ข้างๆ
“ไม่พูดอะไรเลยครับ”
“อ๋อ?” เขาหรี่ตา ยกข้อมือขึ้นมาดูนาฬิกา “ตอนนี้หนึ่งทุ่มยี่สิบหก ฉันจะให้นายสี่นาที”
แววตาที่แหลมคมราวกับมีดยิงตรงไปที่คนนั้น คนอื่นก็ต่างตื่นกลัวกับกลิ่นไอบนตัวลั่วจื่อหาน ยืนอยู่ข้างๆ ด้วยความเคารพ
“ผม ผมไม่มีอะไรจะพูด ผมเป็นแค่นักข่าวคนนึง ผมแค่ถูกหัวข้อข่าวบังตาไว้ก็เลยตามพวกคุณมา ไม่มีใครสั่งผม และจะไม่มีใครสั่งผมด้วย”
“นายคิดว่า ฉันพานายมาที่นี่ทำไม?” ลั่วจื่อหานเหลือบมองคนด้านข้าง “ซ้อมจนกว่ามันจะพูด”
เขาตอบรับ จากนั้นผู้คนรอบกายที่มีเครื่องมือก็ล้อมรอบคนนั้น ไม้หน้าสามทั้งหมดตีลงไปบนตัวของเขา เสียงกรีดร้องและเสียงไม้ที่ปะทะลงบนเนื้อหนังทำให้ห้องนี้สั่นไหว ลั่วจื่อหานนั่งลง อารมณ์บนใบหน้าไม่ได้เปลี่ยนไปเลย
“พวกแก นี่มันผิดกฎหมายนะ แก…บ้าเอ๊ย พวกแกไม่ตายดีแน่”
“อ๊า…หยุดตีได้แล้ว หยุดตีได้แล้ว ผมพูด ผมพูด ผมพูดแล้วโอเคไหม?”
“ประธานลั่ว” คนนำทีมก้าวไปข้างหน้า รอคำสั่งขั้นต่อไป
ลั่วจื่อหานเหลือบดูเวลา “หนึ่งทุ่มสามสิบเอ็ด ตอนนี้ฉันไม่อยากฟัง พวกนายซ้อมต่อเลย”
“ครับ”
เขาเท้าศีรษะมอง กำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่อย่างรวดเร็ว หลังจากผ่านไปเนิ่นนาน จึงสั่งให้ลูกน้องหยุด ลุกขึ้นยืนเดินเข้าไปหาคนนั้นทีละก้าวๆ คุกเข่าลง
“พูด”
“เป็น เป็นหลิงจื่อเซี่ย เรื่อง เรื่องก่อนหน้านี้เขาก็เป็นคนให้ผมทำ”
“ตีต่อ” ลั่วจื่อหานหันหลังกลับอย่างไร้ความปรานี กลับไปนั่งที่ตำแหน่งเดิม “ไม่อยากพูดใช่ไหม?”
“อัยยา ที่ผมพูดเป็นความจริงทุกคำ ถึงหลิงจื่อเซี่ยจะสนิทกับคุณ แต่ว่า แต่ว่าก็ ก็ด่วนตัดสินว่าผมเป็นคนผิดไม่ได้นะ หยุดตีได้แล้ว อ๊า…”
ลั่วจื่อหานยิ้มเยาะ “คนเบื้องหลังของนายคือใคร ใครสั่งให้นายใส่ร้ายหลิงจื่อเซี่ย”
“เรื่อง…เรื่องมันเป็นแบบนี้แหละ ผม จะกล้าโกหกได้ยังไง” เสียงอ่อนแอมากแล้ว ชวนให้น่าเป็นห่วงว่าเขาจะหมดสติหรือเปล่า ลั่วจื่อหานส่งสัญญาณให้ทุกคนหยุดตี ถังน้ำเกลือที่เย็นจัดราดบนตัวเขาโดยตรง ใบหน้าบิดเบี้ยวเพราะความเจ็บปวด
“เป็น เป็นหลิงจื่อเซี่ยนั่นแหละ” อ่อนแรงเต็มทีแต่ก็ยังยืนยันหนักแน่นในคำตอบของตัวเอง
“ต้องการให้ฉันช่วยนายกำจัดคนพวกนั้นที่เป็นไปไม่ได้ออกไป เพื่อที่นายจะได้แปดเปื้อนต่อไปหรือเปล่า?” ลั่วจื่อหานไม่ได้มองเขาเลย “ฉันเสียเวลากับนายมามากพอแล้ว ฉันคิดว่านายน่าจะรู้ดี มีนายหรือไม่มีนาย สุดท้ายใครเป็นคนทำ ฉันก็จะสืบเจอเหมือนกัน”
“ในเมื่อนายปากหนักขนาดนี้ ฉันก็ไม่มีอะไรจะพูดอะไรแล้ว วี๊ด แล้วแต่พวกนายเลย”
เสียงหมาหอนดังมาจากระยะไกล คนที่ล้มอยู่บนพื้นลังเลเล็กน้อย จนกระทั่งเห็นว่าลั่วจื่อหานกำลังจะเดินออกไป เห็นใบหน้าที่กระหายเลือดของคนข้างๆ เขารวบรวมกำลังสุดความสามารถเพื่อรั้งเขาเอาไว้
“ผมพูด ผมพูด”
ดวงตาของลั่วจื่อหานเป็นประกาย หันกลับมามองเขาด้วยความดุร้าย พูดอย่างชัดถ้อยชัดคำ “พูดทุกอย่างให้ละเอียด”
ภายใต้ความโกรธเคืองของลั่วจื่อหาน เขาอธิบายเรื่องทุกอย่างอย่างละเอียดถี่ถ้วน เหลือบมองคนที่นั่งอยู่ด้วยความหวาดกลัวเล็กน้อย
เสียงหวีดของลมพัดผ่านข้างหูไป มือกำพวงมาลัยแน่น พวกนายนี่ช่างเป็นคนที่อันตรายจริงๆ จะต้องไม่ให้อยู่ข้างกายอีกต่อไปแล้ว
“ประธานลั่ว ตอนนี้เขาอยู่ในบ้าน พวกเราจะ…”
“ไม่ต้อง ฉันเอง” เขาเหยียบเพิ่มคันเร่ง รถมาถึงคฤหาสต์หลังหนึ่งอย่างรวดเร็ว
“ประธานลั่ว วันนี้คุณหนูของพวกเราไม่สบาย คุณค่อยมาวันอื่นเถอะ” ลั่วจื่อหานถูกผู้ดูแลบ้านขวางที่หน้าประตู แม้จะหวาดกลัวอยู่บ้าง แต่ผู้ดูแลบ้านยังคงรักษาความสง่างามดังเช่นปกติ พูดจาอย่างชัดถ้อยชัดคำ
ลั่วจื่อหานไม่ใส่ใจคนอีกฝ่ายเดินไปข้างหน้า ผู้ดูแลบ้านถอยหลังโดยไม่รู้ตัว
“ประธานลั่ว อย่าทำให้พวกเราลำบากใจดีกว่า” พวกเขารู้ดีว่านิสัยของลั่วจื่อหานค่อนข้างเย็นชา ไม่ไว้หน้าใครทั้งนั้น โดยปกติแล้วก็มักทำให้ผู้คนเกรงกลัวไม่กล้าเข้าใกล้ ตอนนี้ท่าทางเกรี้ยวกราดแบบนี้ ยิ่งทำให้น่ากลัวเข้าไปอีก “ประธานลั่ว คุณหนูของพวกเราไม่สบายจริงๆ”
กล่าวปฏิเสธตลอดเวลา แต่ก็ยังถูกลั่วจื่อหานต้อนจนถึงห้องรับแขก เขากวาดตามองคนบอดี้การ์ดในห้องรับแขก ท่าทีที่เข้มงวดทำให้อดใจไม่ไหวจนหลุดขำ “พร้อมกันเลยไหม?” เมื่อพูดจบกลุ่มคนก็บุกเข้าไป ลั่วจื่อหานออกแรงสบายๆ สองสามทีก็ล้มหมอบกันทั้งแถบแล้ว เหลือบมองขึ้นเห็นถังเสวี่ยที่อยู่ในชุดนอน ใบหน้าน้อยซีดขาว ลักษณะเหมือนป่วยและไม่ได้พักผ่อนอย่างเต็มที่
“พวกนายทำอะไรกัน?” ในเสียงที่อ่อนแอนั้นระคนความสูงส่งและสง่างาม “ประธานลั่วเป็นเพื่อนของฉัน ทำไมพวกนายถึงวุ่นวายแบบนี้ ไปรินน้ำชา”
ลั่วจื่อหานมองเธอ จู่ๆ ความโกรธเอ่อล้นขึ้นในดวงตา ถังเสวี่ยที่กำลังลงมาข้างล่างก็รู้สึกได้อย่างชัดเจน ขาเกิดลื่น คว้าราวจับโงนเงนจึงจะสามารถพยุงตัวได้ แล้วลงข้างล่างต่ออย่างระมัดระวังมาก ชั้นเหงื่อซึมเต็มแผ่นหลัง
“ประธานลั่ว ดึกป่านนี้แล้ว มาหาฉันมีอะไรหรือเปล่า?”
“ผมนึกว่าคุณจะรู้”
ถังเสวี่ยประสานมือเข้าด้วยกัน ก้มหน้า “เรื่องเกี่ยวกับอี้เป่ยเฉินเรื่องนั้น ฉันไม่ได้บอกเป่ยซีนะ” เธอชะงักไปเล็กน้อย กลืนน้ำลาย “คุณก็รู้ ฉันเป็นเพื่อนคนเดียวของเป่ยซี เขาเห็นคุณค่าฉันขนาดนั้น ฉันก็ให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์กับเขาเหมือนกัน ฉันจะไปทำเรื่องที่ทำร้ายเป่ยซีได้ยังไง ประธานลั่วอย่ากังวลใจไปเลย”
เธอรับน้ำชาที่ส่งมาจากคนข้างๆ รวบรวมความกล้าเดินไปข้างหน้าสองสามก้าว “ก่อนหน้านี้ฉันมักจะปวดหัวตัวร้อนอยู่บ่อยๆ พี่ชายซื้อชานี้มาให้ฉัน แถมยังทำให้รู้สึกสดชื่นด้วย ประธานลั่วจะลองไหม?”
ลั่วจื่อหานฟังคำพูดของเธอ ยิ้มเย็นชา “คุณหนูถังพูดจาเก่งจริงๆ นะ”
“ฉัน เปล่าหรอก ฉันชอบพูดจาโง่ๆ ทุกครั้งก็กังวลว่าตัวเองจะพูดอะไรผิดทำร้ายจิตใจใครเข้าหรือเปล่า เวลาที่พูดกับเป่ยซีก็ระวังตัวตลอด”
“คุณกำลังขู่ผมเหรอ?”
“เปล่าๆ ประธานลั่ว คือว่า…” ถังเสวี่ยร้อนรนเล็กน้อย คอยมองความเคลื่อนไหวข้างนอกอยู่เสมอ เธอรู้ดีว่าถ้าถูกลั่วจื่อหานพาตัวไป เธอจะลงเอยเช่นไร แม้เธอจะเล่นไพ่ความสัมพันธ์กับอี้เป่ยซีก็ไม่เห็นว่าเขาจะปล่อยเธอไป ในตอนนี้ได้แต่หวังว่าพี่ชายของตัวเองจะกลับมาเร็วหน่อย เร็วอีกหน่อย
“เสียวเสวี่ย…” ถังเฉิงพุ่งเข้ามาอย่างเร่งรีบ เมื่อเห็นลั่วจื่อหานก็หยุดกึก บังคับตัวเองให้เดินไปหาเขา “ประธานลั่วมีเวลามาหาพวกเราได้ยังไง เป็นการรับแขกที่แย่จริงๆ เสียวเสวี่ย ยังไม่เอาชาให้ประธานลั่วอีก” ถังเสวี่ยยกมือที่ถือแก้วชาขึ้นสูง แขนสั่นเทา
ลั่วจื่อหานมองถังเฉิงที่ศีรษะชุ่มไปด้วยเหงื่อจึงเข้าใจ “ถังเฉิง นายมีน้องสาวที่ดีจริงๆ ไม่รู้ว่าน้องสาวที่ฉลาดของนายคนนี้ ต่อไปจะช่วยนายได้หรือเปล่า”
…………………….