บทที่ 46 เพื่อนเก่ากลับมา (1)
“เป่ยซี ต่อไปขโมยลูกอมกินอีกไม่ได้นะ” ลั่วจื่อหานเขกศีรษะของเธอเบาๆ
อี้เป่ยซีกะพริบตาถี่ ท่าทางงุนงงมาก “ทำไม…อือ…” ไม่รอให้เธอพูดจบ ลั่วจื่อหานจับศีรษะของเธอไว้ทันที สบตาเธอพลางจุมพิตริมฝีปากแดงๆ แทรกผ่านสิ่งกีดขวางไปพันรอบปลายลิ้นน้อยๆ ของเธอ ผ่านไปเนิ่นนานจึงผละจากเธออย่างอ้อยอิ่ง
“หวานเกินไปก็ไม่ดี”
บ้าเอ๊ย อี้เป่ยซีลุกขึ้นนั่งจากเตียงอย่างรวดเร็ว ลูบริมฝีปากตัวเองตามจิตใต้สำนึก ทำไมถึงฝันแบบนี้ได้ ตัวละครเอกก็ยังเป็นเขาอีก พระเจ้า พระเจ้า ต้องเป็นเพราะช่วงนี้ตัวเองนอนดึกมากไปแน่ๆ คนหนุ่มสาวจะนอนดึกไม่ได้ เธอคิดพลางพัดวีใบหน้าของตัวเอง
ฤดูใบไม้ผลิของเมือง B อบอุ่นกว่าที่อื่น เธอยังคงครุ่นคิดอยู่
เชอะ กำลังคิดอะไรบ้าบอกันแน่เนี่ย เป็นฤดูใบไม้ผลิหรือไม่ใช่อะไรกัน
คงเป็นเพราะช่วงนี้ลั่วจื่อหานมักเสนอหน้ามาให้เธอเห็นบ่อยๆ ต้องใช่แน่ๆ มันก็แค่ความฝันเอง จะมีอะไรนักหนาเชียว
คนประเภทอย่างเขาจะขี้เล่นแบบนี้ได้ยังไง?
นั่นสิ คนอย่างลั่วจื่อหานเห็นแวบแรกก็เย็นชาเฉยเมย ไร้ความน่าสนใจมาก จะทำเรื่องแบบนี้ได้ยังไง
อา…อี้เป่ยซี คิดเหลวไหลอีกแล้ว เธอล้มลงบนเตียงอย่างผิดหวัง ต่อไปเจอหน้าเขาก็หลบๆ ไปก็แล้วกัน
“เสี่ยวซี เสี่ยวซี” อี้เป่ยเฉินเคาะประตูอยู่ด้านนอก “ไหนบอกว่าวันนี้มีกิจกรรมอาสาสมัครไม่ใช่เหรอ ยังจะนอนอยู่อีก?”
“ฉันจะตื่นเดี๋ยวนี้แหละ” อี้เป่ยซีกอดหมอนตัวเองพลางพลิกตัว แล้วก็พลิกอีกรอบ สุดท้ายจึงลุกขึ้นนั่ง ธุระสำคัญต้องมาก่อน
ขณะที่กำลังกินข้าวเช้า อี้เป่ยซีใจลอยเล็กน้อย ในสมองมีแต่เรื่องวุ่นวายที่ผสมปนเปเข้าด้วยกันเหมือนกับกาวเหนียวๆ
“เสี่ยวซี เสี่ยวซี” หลังจากอี้เป่ยเฉินเรียกชื่อเธอหลายครั้ง อี้เป่ยซีจึงตอบอย่างเลื่อนลอยเล็กน้อย “ช่วงนี้เธอชอบกินหวานเป็นพิเศษเหรอ?”
อี้เป่ยซีลุกขึ้นยืนเสียงดังปัง “เปล่านะ ฉันไม่ได้กินหวาน”
“เธอจะตื่นเต้นขนาดนี้ทำไม” อี้เป่ยเฉินหัวเราะเสียงเบา “เติมน้ำตาลในกาแฟเยอะเกินไปแล้วน่ะ”
เธอมีปฏิกิริยาตอบสนองทันที ผลักน้ำตาลออกไปไกล พอมองกาแฟแล้วรู้สึกขัดสายตา จึงผลักออกไปเช่นกัน “พี่เป่ยเฉิน” เธอทำท่าทางน้อยใจ “ต่อไปพวกเราอย่ากินน้ำตาลเลย ไม่สิ ต่อไปฉันไม่อยากเห็นมันแล้ว ฉันเกลียดของหวานที่สุด”
อี้เป่ยเฉินแปลกใจเล็กน้อย แต่ก็ยังเออออตามไป “ได้ ต่อไปไม่กินแล้ว เอ้า แก้วนี้พี่ให้เธอก่อน ไม่ได้เติมอะไรเลย ดีหรือเปล่า”
อี้เป่ยซีรับมาอย่างดีใจ หลังดื่มไปอึกหนึ่งคิ้วก็ขมวดเข้าหากัน ขม…เธอสูดหายใจแล้วดื่มกาแฟที่เหลือรวดเดียวหมด ก่อนจะวางแก้วลงบนโต๊ะอย่างแรง อี้เป่ยเฉินเห็นท่าทางของเธอกับคิ้วที่ขมวดกันก็ถามว่า “ไม่ชินใช่ไหม?”
“ไม่ ฉันจะต้องชินแน่” สาวน้อยพูดพลางพยักหน้าหงึกหงัก
“โอเค”
หลังจากอี้เป่ยเฉินไปส่งเธอที่มหาวิทยาลัยก็จากไป อี้เป่ยซีมาถึงที่จึงค่อยเห็นว่าถังเสวี่ยยังยืนอยู่ที่นั่นด้วย
“เธอไม่ได้อยู่กับฟางหมิ่นเหรอ?”
ถังเสวี่ยพยักหน้า “ฉันกลับมาเอาของนิดหน่อย ก็เลยแวะมาดูเธอด้วยน่ะ”
“มีอะไรน่าดูล่ะ” อี้เป่ยซีรู้สึกแปลกๆ เล็กน้อย “ก็ไม่ใช่เรื่องลำบากอะไร เธอไม่ต้องกังวลขนาดนั้นหรอก”
“งั้นก็รบกวนเธอแล้วนะ” ถังเสวี่ยเหมือนกับนึกอะไรบางอย่างได้ “นี่คือลูกอมที่คุณอาให้ฉันไว้ อร่อยมากเลย ปกติเธอชอบกินของหวานไม่ใช่เหรอ อะ ฉันให้”
“ไม่เอา” อี้เป่ยซีถอยห่างไปทันทีหลายก้าว “ตอนนี้ฉันเซนซิทีฟกับของหวานมาก เธอช่วยเอาออกไป เอาออกไปที”
“แปลกคนจริง” ถังเสวี่ยถือลูกอมไปทักทายคนอื่นแล้ว
อี้เป่ยซีร้องไห้อยู่ในใจ ทำไมกลัวอะไรแล้วสิ่งนั้นก็ยิ่งมาปรากฏอยู่ตรงหน้ากัน วันนี้เธอลืมไหว้เจ้าที่ตอนออกจากบ้านหรือไง?
อี้เป่ยซีถอนหายใจยาว หยิบสายที่หัวหน้าทีมมอบให้มาคล้องไว้ด้วยความไม่ชอบใจเล็กน้อย ยืนอยู่ไม่ทันไรก็เริ่มหาวอย่างอดใจไม่ไหว ถ้ารู้ว่าน่าเบื่อแบบนี้เธอก็คงไม่รับปากถังเสวี่ยแล้ว ไม่รู้ว่าฟางหมิ่นเป็นยังไงบ้าง
เธอนึกขึ้นได้ว่าเมื่อวานตอนตัวเองกำลังเล่นเกมส์ ถังเสวี่ยกระหน่ำโทรหาไม่หยุดจึงต้องรับสายอย่างจนใจ เธอที่รีบร้อนกลับไปร่วมการต่อสู้ของทีมรับปากคำขอถังเสวี่ยไปโดยไม่ได้คิดอะไร
ฟางหมิ่น…อี้เป่ยซีนึกถึงอีกคน ดวงตาหรี่ลงเล็กน้อย แม้ว่าทุกวันอีกฝ่ายจะปากคอเราะราย แต่ว่าแท้จริงแล้วเป็นคนมีจิตใจเอื้อเฟื้อทีเดียว นี่คงเป็นเหตุผลที่ถังเสวี่ยสนิทกับเธอล่ะมั้ง
“มาแล้วๆ” ระหว่างที่เอ่ย ทุกคนต่างยืนตัวตรงอยู่ที่สองฝั่งถนน อี้เป่ยซีบังคับให้ตัวเองมีชีวิตชีวาขึ้น รถคันสีแดงมาหยุดอยู่ตรงหน้าพวกเขา รองเท้าหนังคู่หนึ่งที่ขัดจนแวววับก้าวแตะพื้น ผู้คนที่กำลังเสียงดังเงียบสงบลงทันที ผู้ชายสวมสูทสีแดงเหมือนไวน์ก้าวลงจากรถ หลังจากเห็นใบหน้าของเขาชัดเจนแล้ว กลุ่มคนที่เงียบสงบก็เริ่มกระซิบกระซาบกัน
อี้เป่ยซีตัวแข็งทื่ออยู่ตรงนั้น สีเลือดบนใบหน้าหายไปในชั่วพริบตา
เดิมทีลู่เยี่ยอิ่งนึกรำคาญเล็กน้อย แต่เมื่อเห็นบางคนที่ยืนตัวแข็งทื่อโดยไม่ตั้งใจแล้วก็รู้สึกสนุกขึ้นมา ดูแล้ววันนี้คงเป็นวันที่น่าสนุกมากทีเดียว มุมปากของเขายกยิ้ม เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าอี้เป่ยซีด้วยความระมัดระวังมาก
“มายก๊อด อี้เป่ยซีรู้จักเขาเหรอ?”
“ว้าว เขาหล่อจริงๆ เลย อยู่กับอี้เป่ยซีแล้วเหมาะสมกันมาก”
ผู้อำนวยการเห็นสองคนที่ยืนอยู่ตรงนั้นเหมือนคนนอก สีหน้าก็เงอะงะ เขากระแอมไอเบาๆ “ประธานลู่ ยินดีต้อนรับครับ ห้องประชุมอยู่ทางนี้”
ลู่เยี่ยอิ่งละสายตาตัวเองไป ตอบว่าอือเบาๆ แล้วก้าวเท้าเดินจากไป อี้เป่ยซีพ่นลมหายใจ ราวกับถูกดูดพลังงานไปจนหมด
‘ลู่เยี่ยอิ่ง ที่นายมาครั้งนี้เป็นเพราะฉันเหรอ?’
“ตายๆ แม่คุณทูนหัวของฉัน เธอมาอยู่ในทีมอาสาสมัครได้ยังไงเนี่ย” หลังจากรองผู้อำนวยการที่อยู่ข้างๆ เห็นลู่เยี่ยอิ่งจากไปแล้วก็รีบพูดกับอี้เป่ยซี ตอนนี้ใครบ้างจะไม่รู้ว่าเธออี้เป่ยซีคือน้องสาวของอี้เป่ยเฉิน การเปิดตัวครั้งใหญ่ก็เพียงพอแล้ว ยังมีคนลากเธอมาร่วมกิจกรรมพวกนี้อีก
“วันนี้ถังเสวี่ยมีธุระ ฉันมาช่วยแทนเขาน่ะค่ะ”
“ถังเสวี่ย?” รองผู้อำนวยการประหลาดใจอย่างเห็นได้ชัด “ช่างเถอะ ไม่ว่าจะเหตุผลอะไร เด็กน้อยเธอกลับไปเถอะ ตรงนี้แค่พวกเราก็พอแล้ว”
อี้เป่ยซีไม่พอใจเล็กน้อย แต่เมื่อนึกได้ว่าใครคือแขกถึงพยักหน้า และกำลังจะจากไป
“อี้เป่ยซี”
“คะ” อี้เป่ยซีหันไปก็เห็นผู้อำนวยการที่มีสีหน้าขึงขัง
“ประธานลู่อยากหาคนที่ไว้ใจได้มาช่วยเป็นล่ามให้เขาหน่อย”
อี้เป่ยซีกัดริมฝีปาก…ไม่ได้ เธอจะเข้าไปไม่ได้ “ผู้อำนวยการคะ ภาษาของฉันแย่เกินไป ตรงนี้ก็มีเพื่อนนักศึกษาที่เรียนเอกภาษาของประเทศ U ไม่ใช่เหรอคะ?” ไว้ใจได้เหรอ เขาจะไว้ใจเธอได้อย่างไร เขาอยากฆ่าเธอล่ะสิไม่ว่า
“เอ่อ…นักศึกษาอี้เป่ยซี ประธานลู่บอกว่าเธอคือเพื่อนสนิทของพี่ชายเขา”
“ฉันไปค่ะ ฉันไป” อี้เป่ยซีกัดริมฝีปากพลางตามผู้อำนวยการไปถึงห้องประชุม เธอยืนอยู่หน้าประตู มือที่เปิดประตูสั่นเทาเล็กน้อย ผู้อำนวยการชำเลืองมองเธอแวบหนึ่ง
“นักศึกษาอี้เป่ยซี เธอกลัวอะไรอยู่หรือเปล่า?”
อี้เป่ยซีพยักหน้า “ผู้อำนวยการคะ ฉันจะขอ…”
ผู้อำนวยการส่ายหน้าให้ พูดชี้แนะอย่างจริงใจ “นักศึกษาอี้เป่ยซี แม้ว่าฉันไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น และไม่เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับประธานลู่ที่อยู่ข้างใน แต่อาจารย์ก็เคยสอนเธอแล้วว่าการหนีไม่ใช่วิธีที่ถูก วันนี้เธอหลบได้ แล้วพรุ่งนี้ล่ะ? เธออยากจะสูญเสียความเป็นตัวเองระหว่างการไล่ตามและหลบหนีไปตลอดเหรอ?”
อี้เป่ยซีมองลูกบิดประตูโดยไม่ได้พูดอะไร
“คนที่จิตใจอ่อนไหวก็ต้องสัมผัสกับของที่ตัวเองแพ้ทาง ถึงจะแก้อาการแพ้ได้ไม่ใช่เหรอ?” เขาล้วงกระเป๋า “ตอนที่ลูกสาวฉันอารมณ์ไม่ดีเขาชอบกินลูกอม ฉันเลยพกติดตัวไว้เม็ดหนึ่ง เอาไปสิ”
อี้เป่ยซีหันหน้าไปด้วยความรังเกียจ จากนั้นผลักประตูทันที…
…………………