บทที่ 51 เพื่อนเก่า (1)
ย่างก้าวที่สับสนอลหม่านของอี้เป่ยซีหยุดลง ท้องฟ้ามืดครึ้มเล็กน้อย นักศึกษาในอาคารเรียนค่อยๆ ทยอยไปยังโรงอาหารและหอพัก ราวกับแม่น้ำที่แบ่งตัวเป็นสาย เธอยืนขวางกระแสของฝูงชน แสดงให้เห็นถึงความแปลกแยกโดดเดี่ยวรูปแบบหนึ่ง เธอเม้มปาก
ในเวลานี้เขาก็กลับไปแล้วหรือเปล่า เธอออกแรงดึงสายสะพายกระเป๋าหนังสือ ก้าวเดินไปด้วยความมั่นคงอีกครั้ง
บอกว่าอยู่ข้างบ้านเธอไม่ใช่เหรอ? อี้เป่ยซีมองไปรอบๆ มีบ้านไม่กี่หลังในบริเวณใกล้เคียง ต้องไปถามทีละหลังเหรอ? แม้จะกดกริ่งไปหลายหลังแล้วแต่ก็ลงเอยด้วยความผิดหวัง อี้เป่ยซีรวบรวมความกล้าอีกครั้งกำลังจะกดกริ่งตรงปลายนิ้ว โทรศัพท์มือถือบนตัวสั่น เธอไม่กล้าเพิกเฉย จึงกดปุ่มรับสายทันที
“เสี่ยวซี”น้ำเสียงของอี้เป่ยเฉินไร้ซึ่งความเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ใดๆ “ตอนนี้เธอกำลังทำอะไรอยู่?”
“ฉัน ฉันกำลังเดินอยู่นอกมหาลัย ช่วย…เอ่อ” อี้เป่ยซีรู้ว่าหลังจากเกิดเรื่องเหล่านั้นแล้ว อี้เป่ยเฉินก็แยกมหาวิทยาลัยแห่งนี้เป็นพื้นที่อันตรายด้วย “กำลังช่วยเพื่อนทำแบบสอบถาม พี่ไม่รู้หรอกว่าพวกเขาน่าโมโหแค่ไหน ไม่ตอบแบบสำรวจเลย”
“งั้นพี่ไม่กวนเสี่ยวซีแล้ว”
“โอเค พี่เป่ยเฉินไว้ดึกๆ ค่อยคุยกัน”
เธอมองหน้าจอที่ดับลง พี่เป่ยเฉินจะไม่รู้เรื่องของฉู่ซ่งงั้นเหรอ? เขาไม่ชอบให้เธอไปค้นหาอดีตไม่ใช่เหรอ หรือว่าพี่เป่ยเฉินทำให้ฉู่ซ่งจากไปอีกแล้ว?
ช่างมัน ถามต่ออีกหน่อยเถอะ เธอมองดูประตูในละแวกบ้านที่ปิดสนิท ถอนหายใจ จากนั้นก็กดกริ่ง
ขณะที่ยังเหลือบ้านไม่กี่หลัง ไม่รู้ว่าไฟของรถใครส่องสว่าง มันส่องอยู่บนตัวอี้เป่ยซีโดยตรง เธอเบะปาก เดินเข้าไปเปิดประตูรถแล้วขึ้นไปนั่ง
“พวกเรากลับบ้านกันก่อน”
“พี่เป่ยเฉิน”
อี้เป่ยเฉินหัวเราะเบาๆ “ทำไมล่ะ อยากถามพี่ว่ารู้ไหมว่าฉู่ซ่งอยู่ไหนเหรอ?”
คำที่เธอต้องการพูดแข็งทื่ออยู่ตรงนั้น ไม่พยักหน้า ไม่ส่ายหัว ซุกตัวอยู่ในเก้าอี้ ราวกับเต่าที่หดหัวกลับเข้ากระดองของตัวเองอย่างไรอย่างนั้น
“เสี่ยวซีเธอก็น่าจะรู้ แม่กับพี่ไม่อยากให้เธอติดต่ออะไรกับคนพวกนั้นอีกแล้ว แม้ว่าพ่อจะเคยพูด แต่ว่า…”
“ฉันรู้ ฉันรู้ ฉันแค่อยากรู้ว่าฉู่ซ่งมาหาฉันหรือเปล่า ตอนนี้เขาสบายดีไหม บอกเขาว่าฉันก็สบายดี แค่นี้เอง ฉันไม่ได้คิดถึงเรื่องอื่นเลย”
“เสี่ยวซี พี่รู้ว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่ ตอนนี้เธอตัดสินใจและได้เลือกตั้งแต่สิบกว่าปีที่แล้วแล้ว ทำไมตอนนี้ถึงอยากทำลายมันล่ะ”
“พี่เป่ยเฉิน ฉันไม่เข้าใจ ต่อให้ฉันติดต่อกับฉู่ซ่ง ก็จะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงทั้งนั้นนะ ฉันก็ยังเป็นอี้เป่ยซี ฉู่ซ่งก็ยังเป็นฉู่ซ่ง ฉันไม่เข้าใจว่าทำไมต้องแบ่งแยกปัจจุบันกับอดีตชัดเจนขนาดนั้น ทำไมต้องแบ่งแยกความสัมพันธ์ระหว่างเขากับพวกเราด้วย”
“เสี่ยวซี เธอยังไม่เข้าใจอีกเหรอ? ถ้าไม่ใช่เพราะพวกเขา เธอจะทนทุกข์ทรมานอยู่ข้างนอกขนาดนั้นได้ยังไง ถ้าไม่ใช่เพราะพวกเขา แม่แท้ๆ ของเธอจะทนที่เธอจากไปไม่ไหวจนเลือกแขวนคอตายได้ยังไง” อารมณ์ของอี้เป่ยเฉินอ่อนไหวจนควบคุมไม่ได้
“ไม่ใช่ว่าพี่คัดค้านที่เธออยู่กับพวกเขา แค่รู้สึกว่าพวกเขาไม่คู่ควรได้รับการปฏิบัติจากเธออย่างที่เป็นอยู่ตอนนี้ เสี่ยวซี พี่แค่ไม่ต้องการให้ใครมาทำร้ายเธอ เธอน่าจะเข้าใจใช่หรือเปล่า?”
อี้เป่ยซีพยักหน้า พิงอยู่ข้างหน้าต่างรถด้วยความเศร้าสร้อยเล็กน้อย ในใจรู้สึกสับสน แต่ว่าในตอนนั้นเธอที่ทิ้งทุกอย่างและยอมรับสิ่งที่พวกเขาให้ทุกอย่างแล้ว เรื่องนี้จะโทษพวกเขาทั้งหมดก็ไม่ถูก เธอหลับตา แพขนตายาวปิดบังดวงตาเอาไว้ หากดูผ่านๆ ก็จะเหมือนกับว่ากำลังขดตัวหลับอยู่ตรงนั้น
อี้เป่ยเฉินถอนหายใจ มือที่จับพวงมาลัยกำแน่นเล็กน้อย
พวกเขาจากไปไม่ทันไร ก็มีรถคันหนึ่งปรากฏอยู่ในละแวกที่พักอาศัย
“สงสัยเธอโดนพาตัวไปแล้ว” ฉู่ซ่งพิงเก้าอี้อย่างหมดกำลังใจ “มาช้าอีกแล้ว”
“ฉู่ซ่ง เธอกับอี้เป่ยซีรู้จักกันได้ยังไง?”
นิ้วของฉู่ซ่งหงิกงอเล็กน้อย “รู้จักได้ยังไง รู้จักตั้งแต่ตอนที่ผมเกิดมาล่ะมั้ง พี่สนใจเรื่องของอี้เป่ยซีไม่ใช่เหรอ? ทำไมถึงไม่รู้ว่าอี้เป่ยซีถูกบ้านอี้รับเลี้ยงล่ะ”
“เขาถูกรับเลี้ยงจริงๆ”
“ใช่แล้ว เขาก็ไม่ได้ชื่ออี้เป่ยซี เขาชื่อฉู่เซี่ย เซี่ยที่แปลว่าฤดูร้อนน่ะ”
“ฉู่เซี่ย” ลั่วจื่อหานทวนชื่ออีกรอบ หรี่ตาลง
ฉู่ซ่งพยักหน้า “ฉู่เซี่ย ฉู่เซี่ยที่งี่เง่าคนนั้น”
“ทำไมไม่เคยได้ยินนายพูดถึงเขา” ลั่วจื่อหานถาม ทำไมก่อนหน้านี้เขาคิดไม่ถึง เซี่ยเซี่ยพูดอยู่เสมอว่ามีน้องสาวชื่อว่าซ่งซ่ง ก็คือฉู่ซ่งน่ะเหรอ?
ทำไมมักจะรีบร้อนอยากหาหลักฐานเสมอ แต่กลับลืมสังเกตสิ่งเหล่านั้นที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดตลอด อี้เป่ยซี ฉู่เซี่ย อี้เป่ยซี ฉู่เซี่ย…ลั่วจื่อหานรู้สึกว่าจู่ๆ บางอย่างก็ชัดเจนขึ้นมา ร่างกายก็พลอยร้องดีใจไปด้วย
ไม่น่าล่ะดวงตาถึงได้เหมือนขนาดนี้ เหมือนกันขนาดนี้
“ผมจะไปสู้บ้านอี้ได้ยังไง” ฉู่ซ่งน้ำเสียงท้อแท้ “ผมจะพาฉู่เซี่ยไปไม่รู้ตั้งกี่ครั้งแล้ว แต่ว่านะ พอบ้านอี้เจอทีไรก็จะส่งผมไปอยู่ที่ไกลๆ ทุกที จนแม้แต่ประเทศ U ผมก็ไปไม่ได้” เขาแสร้งพูดด้วยความผ่อนคลาย
“ผมจำได้ว่ามีครั้งหนึ่ง ผมอยู่ข้างๆ ซูเปอร์มาร์เก็ตที่เขาไปประจำ ใส่ชุดมาสคอตรอเขาโผล่มา ตอนนั้นอากาศร้อนมากเลย บนตัวไม่มีส่วนไหนที่ไม่มีเหงื่อเลย ตอนที่ผมคิดว่ากำลังจะจับตัวเขาได้แล้ว อี้เป่ยเฉินก็โผล่มา พาเขากลับบ้าน ฉู่เซี่ยไม่ได้มองผมเลย วิ่งไปกับเขาอย่างมีความสุข มันจะมากเกินไปแล้ว ผมเกือบจะเป็นโรคลมแดดตายอยู่แล้วแต่เขาไม่มองผมเลย จากนั้นผมก็ถูกซ้อม แล้วถูกส่งกลับประเทศ Z”
เขาพูดอย่างสบายๆ มาก จากนั้นก็เริ่มร่ายยาว “เพราะเรื่องนี้ผมเลยถูกพ่อแม่สั่งสอนซะนานเลย แต่ว่าผมไม่เห็นด้วยกับพวกเขาแม้แต่นิดเดียว เรื่องขายลูกสาวเพื่อความรุ่งเรืองแบบนี้ ผมรู้สึกแต่ว่ารังเกียจ อะไรคือรู้สึกผิดรู้สึกถูก ทำเพื่อใครหรือไม่ได้ทำเพื่อใคร ก็เป็นแค่ข้ออ้างที่ทำให้พวกเขาสบายใจ ผมไม่เข้าใจจริงๆ ฉู่เซี่ยงี่เง่าคนนั้นทำไมถึงรับปากไปกับคนอื่นแบบนี้ นึกว่าตัวเองเสียสละเพื่อคนอื่นเยอะขนาดนั้นแล้วยิ่งใหญ่นักหรือไง?” เขาพูดพลางรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย
เสียงที่ทุ้มต่ำของลั่วจื่อหานดังขึ้น “มันก็โทษเขาไม่ได้หรอก”
“ใช่ โทษเขาไม่ได้ ต้องโทษผม โทษพ่อแม่ผม โทษที่พวกเขาไม่ได้เรื่อง ขนาดลูกสาวตัวเองก็รักษาไว้ไม่อยู่ โทษที่ผมไร้ความสามารถ หาเขาเจอแล้วแต่กลับพาเขากลับไปไม่ได้”
“บางครั้งผมก็รู้สึกเศร้านะ ทำไมผมหาเขามาตั้งนานแล้ว แต่ไม่เคยเห็นเขาทำอะไรเลย ทุกครั้งที่ผมปรากฏตัวข้างๆ เขา แต่กลับไม่เห็นว่าเขาสังเกตเห็นผม พี่ดูตอนนี้สิ ผมปรากฏตัวต่อหน้าเขาแล้ว เขาก็จำไม่ได้ว่าผมคือฉู่ซ่ง”
“บางทีเขาอาจแค่ไม่กล้ายอมรับ”
“พี่รู้ได้ยังไง?”
ลั่วจื่อหานส่ายหัว “ฉันไม่รู้ ก็แค่เดา”
“ไม่รู้ว่าเขากล้าหรือเปล่า แต่ว่าพฤติกรรมของเขาวันนี้โง่เง่าเกินไปแล้ว ถ้ารู้ว่าผมอยากตามหา เขาแค่ยืนอยู่ที่เดิมก็พอแล้ว แต่ว่าผมก็ดีใจมากนะ”
“แต่ว่าวันนี้พี่สาวนายคงดีใจไม่ออกแล้ว”
ฉู่ซ่งเบิกตากว้าง ไม่เข้าใจ ลั่วจื่อหานจึงพูดต่อ “เกิดเรื่องตั้งเยอะแบบนี้ อี้เป่ยเฉินไม่รู้หรอกว่าอี้เป่ยซีทำอะไรในมหา’ลัยบ้าง
เขาชื่อฉู่เซี่ย”
……………….