บทที่ 69 แย่มาก โดนจูบ (1)
“เป่ยซี ถ้าวันหลังไม่สบายใจก็มาหาฉันได้” ลั่วจื่อหานเดินอยู่ข้างเธอ อี้เป่ยซีเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย เห็นใบหน้าด้านข้างของเขาที่ตึงเครียดอยู่บ้าง สายตามองไปข้างหน้า มีความกังวลที่ไม่อาจเข้าใจได้ ผ่านไปเนิ่นนานคนข้างๆ ไม่ได้ตอบ ลั่วจื่อหานหันมาสบสายตาของเธอเข้าพอดี
อี้เป่ยซีหลบตาด้วยความตื่นตกใจ ทำทีเป็นชื่นชมทัศนียภาพรอบข้าง ลืมตอบคำถามของเขาแล้ว
“เป่ยซี”
“หา นายเรียกฉันเหรอ อากาศวันนี้ไม่เลวเลย วิวก็ใช้ได้ เหมาะกับการออกมาเดินเล่นมากจริงๆ เอ๊ะนายดูตรงนั้นสิแมวเยอะจังเลยนะ นายว่าพวกมันเป็นแมวจรจัดหรือว่าแมวเลี้ยง เมื่อก่อนฉันก็อยากเลี้ยงแมวมากเหมือนกัน ว้าว นั่นคอร์กี้เหรอ? น่ารักจัง ทำไมถึงไม่เห็นเจ้าของมันล่ะ…” อี้เป่ยซีพูดเจื้อยแจ้วเป็นชุด ลั่วจื่อหานได้แต่ตามความคิดและจังหวะก้าวเดินของเธอ
ทั้งสองเดินไปได้สักพักหนึ่ง ร่างกายก็มีเหงื่อซึมออกมา อี้เป่ยซีกำลังจะหยิบกระดาษทิชชู จู่ๆ ก็มีสัมผัสอ่อนโยนบนหน้าผาก ลั่วจื่อหานกำลังใช้ทิชชูซับให้ด้วยความจริงจังมาก ราวกับว่าเป็นงานที่สำคัญมากงานหนึ่ง
“คือว่า ฉัน ฉันซับเองเถอะ” อี้เป่ยซียื่นมือต้องการจะรับกระดาษทิชชูมา แต่กลับโดนมือของลั่วจื่อหานโดยไม่ได้ตั้งใจ เขากุมมือน้อยๆ นั้นขึ้นมาแผ่วเบา
“เมื่อกี้ทำไมไม่พูดต่อล่ะ?” เสียงของลั่วจื่อหานราวกับหยกที่ร่วงลงบนจานหยก เสนาะหูเป็นอย่างมาก อี้เป่ยซีพยายามที่จะดึงมือตัวเองกลับมา
“ฉันไม่ได้ไม่สบายใจจริงๆ แล้วก็ไม่มีอะไรน่าเล่านี่นา” ทันใดนั้นมือเธอก็ถูกเขาออกแรงบีบ เธอเจ็บจนต้องมองลั่วจื่อหาน “นาย…ปล่อยมือได้ไหม หงะ เหงื่อออกมากแล้ว มะ มันอึดอัด”
เขาหัวเราะเบาๆ ไม่รังเกียจเลยสักนิด ฝ่ามือใหญ่ยังคงลูบคลำอยู่บนมือน้อยที่อ่อนแอและเหมือนไร้กระดูก อี้เป่ยซีรู้สึกว่าท้องฟ้ากำลังสั่นไหวเล็กน้อย
ทำไมวันนี้ลั่วจื่อหานถึงประหลาดแบบนี้ เป็นเพราะว่าไม่ได้พักผ่อนนาน สติก็เลยเลอะเลือนงั้นเหรอ?
เมื่อเธอคิดว่าสาเหตุอาจเป็นเพราะเธอเอง ก็ไม่ได้พูดหรือทำอะไรอีก ปล่อยให้เขาเล่นมือของตัวเองไป เธอก้มหน้ามองดูมือของลั่วจื่อหาน เรียวยาวทรงพลัง เห็นข้อต่อชัดเจน สวยงามจนน่าประหลาดใจ ราวกับเป็นชิ้นงานศิลปะที่ไร้ตำหนิโดยสิ้นเชิง เธอมองมือของตัวเองอีกครั้ง ส่วนที่ตัวเองเคยภูมิใจที่สุด เมื่ออยู่ต่อหน้าเขาแล้วก็หยาบกร้านขึ้นมาทันใด
คุณชายใหญ่ก็คือคุณชายใหญ่ แม้แต่มือยังดูดีเล่อค่า
“สนุกไหม?” เมื่อได้ยินเสียง ทันใดนั้นเธอจึงค้นพบว่าตัวเองเล่นกับมือของลั่วจื่อหานตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ เธอหยุดการกระทำอย่างเคอะเขิน
“อืม ดูจากลายมือแล้วก็รู้ว่านายเป็นคนที่มีอันจะกิน ทุกอย่างเป็นไปดังใจหวัง มีความเป็นอยู่ที่ดี เส้นชีวิตการงานความรักก็ดีมากนะ” อี้เป่ยซีรวบรวมความกล้า พูดจาไร้สาระไปเรื่อย
ลั่วจื่อหานกลับมองเธอไม่ออก “เป่ยซีใส่ใจความรู้สึกฉันขนาดนี้เลยเหรอ?”
‘เป่ยซีอะไร พวกเรายังไม่ได้สนิทกันมากซะหน่อย ใครให้นายเรียกแบบนี้’ อี้เป่ยซีวิพากษ์วิจารณ์เงียบๆ แต่ก็ต้องยอมรับว่าเสียงที่ลั่วจื่อหานเรียกเป่ยซีนั้นไพเราะมาก
“ทำไมถึงไม่พูดแล้วล่ะ?”
“ลั่วจื่อหาน นายเคยคิดจะเป็นนักพากย์ไหม? เสียงของนายแบบนี้ ฆ่าคนได้ภายในวินาทีเดียวแน่นอน” อี้เป่ยซีตอบไม่ตรงคำถาม เธอยังคงอยู่ในความเพลิดเพลิน
“ถ้างั้น…” เขาทำทีครุ่นคิด อี้เป่ยซีนึกว่าเขากำลังคิดถึงคำแนะนำของเธอ รู้สึกสนใจในทันที
พูดเป็นเล่น นึกถึงตอนนั้นหลานฉือเซวียนก็ถูกเธอดึงมาติดกับ เธอมีความสามารถในการโน้มน้าวคนมากนะโอเคไหม
“ใช่แล้วๆ พื้นฐานโทนเสียงของนายมันดีมากอยู่แล้ว แค่เพิ่มการเรียนรู้ทักษะเข้าไปหน่อย จริงๆ นะ คิดๆ ดูก็อยากเห็นแล้ว ว่ายังไง ว่ายังไง สนใจหรือเปล่า?”
ลั่วจื่อหานเห็นเธอโน้มน้าวตัวเองอย่างมีชีวิตชีวา ก็แสร้งเผยอาการคาดหวังออกมา “อันนี้ฉันก็รู้สึกสนใจเหมือนกัน…”
เขายังพูดไม่ทันจบก็ถูกตัดบททันที “ใช่ไหมล่ะ ใช่ไหมล่ะ”
“แต่ว่านะเป่ยซี ฉันอยากพูดให้คนคนเดียวฟังเท่านั้น”
พูด…พูดให้คนคนเดียวฟังเท่านั้น อี้เป่ยซีเห็นรอยยิ้มในดวงตาของเขา จึงรู้ตัวว่าตัวเองโดนแกล้งเข้าแล้ว “อืมๆ งั้นเขาก็โชคดีจริงๆ ฮ่ะๆๆ”
“ใช่ อยากบอกอรุณสวัสดิ์ราตรีสวัสดิ์เขาคนเดียวทุกวัน อยากเล่าเรื่องที่เขาชอบฟังโดยใช้เสียงที่เขาชอบ”
อี้เป่ยซีรู้สึกได้ถึงสายตาที่มองตัวเอง หางตาเธอกระตุก ถ้างั้นลั่วจื่อหานกำลังพูดเรื่องความรักอยู่เหรอ? มันไม่เหมาะกับเขาคนนี้เลยสักนิดโอเคไหม แม้ว่ามันจะปลุกเร้าได้ดีทีเดียวก็ตาม
เธอไอเบาๆ หันหน้าไปข้างหน้า “อืมๆๆ ก็ดีนะ ก็ดีนะ”
“เธอจะเต็มใจให้โอกาสฉันไหม? เป่ยซี” น้ำเสียงอ่อนโยนราวกับสายน้ำ ไหลผ่านหูไปอย่างอ่อนละมุน ทำให้หัวใจรู้สึกจั๊กจี้
เธอมองลั่วจื่อหานด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย เมื่อก่อนใช่ว่าจะไม่รู้สึกถึงความรู้สึกที่เขามีต่อตัวเอง เพียงแต่นึกว่ามันคือความรู้สึกดีทั่วๆ ไป ผ่านเข้ามาก็ผ่านไปแล้ว ต่อมารู้ว่าเขาคือคนเมื่อสมัยเด็ก ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก แต่คำสารภาพที่ฉับพลันแบบนี้ มันอยู่นอกเหนือความคาดหมายของตัวเองมาก
คนที่โดดเด่นอย่างลั่วจื่อหานจะชอบอะไรในตัวเธอได้? รูปลักษณ์ภายนอก? เขาก็ไม่ใช่คนที่คิดอะไรผิวเผินแบบนั้น คุณค่าภายใน แม้ไม่อยากยอมรับ แต่ว่าที่จริงเธอก็ไม่ได้มีคุณค่าภายในอะไร นิสัยเหรอ? คนที่เกียจคร้านเฉื่อยชาและเอาแต่ใจเหมือนคุณหนูอย่างเธอ ถ้าชอบก็ไม่เท่ากับหาความทุกข์หรอกเหรอ?
ถ้างั้นทำไมลั่วจื่อหานถึงพูดแบบนี้ บางทีเพราะเห็นว่าเธออารมณ์ไม่ดีก็เลยล้อเล่นล่ะมั้ง เหมือนกับพวกฉู่ซ่ง เหมือนพวกหลานฉือเซวียนที่ชอบล้อเล่นกับเธอ ไม่มีอันตรายอะไร
“มุกนี้ไม่ขำเลย เปลี่ยนมุกอื่นเถอะ”
“ใช่มุกรึเปล่า เธอเองก็น่าจะรู้ แต่ไม่ต้องรีบตอบหรอก” ลั่วจื่อหานลูบไล้ผมของเธอ
“แต่ทำไมล่ะ?”
ลั่วจื่อหานหลุดขำ เชิดหน้าของอี้เป่ยซีขึ้น มองตาเธอด้วยความจริงจัง เงาของเขาสะท้อนอยู่ในดวงตาเธอ โครงร่างชัดเจน “อาจเป็นเพราะว่าเธอก็คือเธอ คนที่ฉันชอบ เหตุผลนี้เป็นไง?”
อี้เป่ยซีเก็บขาเข้าไปข้างในอีก ลั่วจื่อหานยังคงไม่ปล่อยมือ เธอหลับตาลง ความมืดทำให้ยิ่งอ่อนไหวต่อความรู้สึกอื่นเป็นพิเศษ ลมหายใจของเขา ความรู้สึกจากการสัมผัสชัดเจนยิ่งขึ้น ชัดเจนจนยากที่จะมองข้ามได้
“ฉัน ลั่วจื่อหาน…” เธอรวบรวมความกล้าลืมตาขึ้น ใบหน้าหล่อเหลาที่อยู่ตรงหน้านั้นใหญ่ขึ้นทีละน้อย ริมฝีปากสองของคนประกบกัน ปลายลิ้นของลั่วจื่อหานบรรจงวาดอยู่บนริมฝีปากแดงของเธอ ราวกับกำลังแกะสลักงานศิลปะอย่างไรอย่างนั้น อี้เป่ยซีรู้สึกราวกับว่าจู่ๆ เวลาก็หยุดนิ่ง ในสมองว่างเปล่า ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ไม่รู้ว่ากำลังทำอะไรอยู่
“อ้าปากสิ” เสียงมีทรงเสน่ห์ดังขึ้นข้างหู เธออ้าปากออกเล็กน้อย ลั่วจื่อหานกอดเธอไว้แน่น อาศัยจังหวะนี้เคลื่อนริมฝีปากที่เปี่ยมด้วยรสหวานดุจน้ำผึ้งเข้าไป ดูดดื่มเล็กน้อย ประกบแนบแน่นอ่อนโยน
“อือ…” ขณะที่อี้เป่ยซีกำลังจะขาดอากาศหายใจ ลั่วจื่อหานจึงปล่อยเธอทั้งๆ ที่อยากจะทำต่อ รอยยิ้มเขาเปี่ยมด้วยความพึงพอใจ จากนั้นกัดริมฝีปากที่บวมแดงของเธอเบาๆ
“ลั่วจื่อหาน นาย ฉัน…” หลังจากอี้เป่ยซีมีปฏิกิริยาตอบสนองแล้ว เธอรู้สึกเพียงว่าในหัวสับสน ไม่แม้แต่จะจัดระเบียบประโยคได้ เธอพลันพบว่าตัวเองนั่งอยู่บนตักของเขาตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ มือกำลังโอบอยู่บนเอวตัวเองตามอำเภอใจ
อี้เป่ยซีหน้าแดงทันที ลุกขึ้นมาจากตัวเขา แล้วเดินจากไปโดยไม่พูดอะไรสักคำ และไม่สนใจเสียงหัวเราะเบาๆ ของคนที่อยู่ข้างหลังด้วย
………………………..