บทที่ 80 แผนร้ายถูกเปิดโปง (9)
“เป่ยซี เธอก็น่าจะรู้ว่าฉันต้องการอะไร” ดวงตาเป็นประกาย อี้เป่ยซีไม่ระวังทำตะเกียบหลุดมือ เธอก้มตัวลงไปเก็บทันที แต่ก็ไม่ระวังชนแก้วที่อยู่ข้างหน้าล้มอีก เสียงแก้วแตกดังแสบแก้วหู กระจัดกระจายไม่เป็นท่า
“นายดูสิ ช่วงนี้ชีวิตของฉันยุ่งเหยิงไปหมด”
ลั่วจื่อหานส่งตะเกียบคู่ใหม่ให้เธอ “เพราะว่าคนเก่าน่าจะไปแล้ว” พูดพลางรินน้ำให้เธอใหม่อีกแก้ว อุ่นกำลังดี ความอบอุ่นค่อยๆ แผ่ซ่านจากฝ่ามือ เธอดื่มไปอึกหนึ่ง ไม่ได้พูดอะไรอีก ลั่วจื่อหานก็ก้มหน้ากำลังง่วนกับอะไรบางอย่างบนโทรศัพท์มือถือ ไม่นาน กับข้าวที่สั่งก็มาเสิร์ฟ แม้ไม่ค่อยอยากกินเท่าไร อี้เป่ยซีก็ยังฝืนตัวเองกินเข้าไปนิดหน่อย
กินไปได้ครึ่งหนึ่ง โทรศัพท์ของลั่วจื่อหานก็ดังขึ้น เขาเหลือบมองดูคนด้านข้าง ออกไปรับสาย หลังจากกลับมาแล้วสีหน้าไม่สู้ดีนัก เจือปนความโมโหที่กลั้นเอาไว้
“เป็นอะไรไป?”
“เปล่า” เขาทำไปเป็นปกติอีกครั้ง “อาหารไม่ถูกปากเหรอ ทำไมกินน้อยแบบนี้?”
อี้เป่ยซีไม่ได้ซักไซ้ต่อ ในใจของเธอก็มีคำตอบอยู่บ้างแล้ว แม้ไม่ได้ถามอะไร แต่ว่าตอนนี้คนที่ต่อต้านเธอคือใคร คนที่จะได้ประโยชน์จากเรื่องนี้ที่สุดคือใคร ตอนนี้เข้าใจอย่างแจ่มแจ้งแล้ว แม้เธอจะโง่ไปกว่านี้ก็รู้ว่าใครที่ต้องมีส่วนร่วมในเรื่องนี้แน่ๆ
เรื่องของคราวนี้กับคราวที่แล้ว เธอจะปล่อยทิ้งไว้แบบนี้ไม่ได้
“ก็นิดหน่อย อาหารที่นี่มันไปหน่อย ไม่อร่อยเหมือนที่นายทำ” เธอเขี่ยกับข้าวในจาน ใบหน้าไม่มีความอยากอาหารอย่างเห็นได้ชัด และพูดประโยคนี้โดยไม่รู้ตัว
“งั้นต่อไปฉันก็ทำให้เธอกินดีไหม”
“ดี…หา?” เธอดึงสติกลับมาทันที “ไม่ ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องหรอก นายกินอิ่มแล้วยัง ไม่อย่างนั้นพวกเรากลับกันเถอะ แหะๆ”
ลั่วจื่อหานวางตะเกียบในมือลง “งั้นพวกเราไปกันเถอะ”
“ไป? ไปไหน?”
เขาลากอี้เป่ยซีออกไปโดยไม่พูดอะไร ทั้งสองคนวิ่งอยู่บนถนนเหมือนเด็ก จนกระทั่งมาถึงที่หมาย
อี้เป่ยซีจึงเห็นตัวอักษรขนาดใหญ่จนน่าประหลาดใจ สวนสนุก
สวนสนุกที่ควรจะคราคร่ำไปด้วยผู้คนในบัดนี้เงียบสงบจนได้ยินเสียงลมพัด อี้เป่ยซีเห็นมุมปากที่โค้งขึ้นของลั่วจื่อหาน เข้าใจในเจตนาดีของเขา แต่ว่า เธอก็ไม่ชอบมาที่สวนสนุกทุกอาทิตย์หรอกนะ
“ในนี้ยังมีห้องลับนะ”
“ห้องลับ!” ดวงตาของอี้เป่ยซีเป็นประกาย รบเร้าให้คนที่อยู่ข้างๆ นำทางไปทันที
ออกมาจากห้องลับ เด็กน้อยที่คิดว่าตัวเองไม่สนใจกำลังเล่นสนุกอยู่ในบรรดาเครื่องเล่น ข้างกายก็เริ่มเต็มไปด้วยเสียงที่มีความสุขและผ่อนคลาย
ลั่วจื่อหานอยู่เป็ยเพื่อนเธอตลอดเวลา คว้ามือของเธอ มองดูเวลาบนมือ ดึงคนที่กำลังพุ่งไปยังเรือโจรสลัดเอาไว้
“ไว้วันหลังเถอะ ยังมีอีกเรื่องนึงที่สำคัญกว่า”
“หา ให้ฉันเล่นให้จบค่อยก่อนไปไม่ได้เหรอ?”
“จนปัญญากับเธอจริงๆ”
จากนั้นทั้งสองคนก็มาถึงบนภูเขาด้านหลังสวนสนุก อี้เป่ยซีที่เล่นอย่างบ้าคลั่งเกินไปตอนนี้ไม่มีพลังเหลือแล้ว ขณะที่ขึ้นเขาก็สัปหงกตลอด
“พวกเราจะไปไหนเหรอ?” แทบจะลืมตาไม่ขึ้นแล้ว เธอรู้สึกว่าขาของเธอไม่ใช่ของเธอ เธอไม่สามารถควบคุมการเดินของตัวเองได้แล้ว
“ใกล้จะถึงแล้ว”
ภูเขาลูกนี้ไม่สูงมาก เพียงไม่นานก็ถึงยอดเขาแล้ว ต้นไม้แห่งฤดูใบไม้ผลิเขียวชอุ่มและเหลื่อมอยู่ด้วยกัน ศาลาที่สวยงามผลุบๆ โผล่ๆ อยู่ในช่องว่างระหว่างต้นไม้ เพ้นท์สีแดงเข้ากันอย่างยิ่งกับสีเขียวที่แน่นหนา เส้นทางสายเล็กที่ปูด้วยหินดูเหมือนจะให้สัมผัสอบอุ่นของหินกรวด กลิ่นหอมของหญ้าลอยอบอวลอยู่ในอากาศ
ดูค่อนข้างเยือกเย็นและเปล่าเปลี่ยว
เห็นได้ขัดว่าไม่ใช่ทิวทัศน์ที่ชวนน่ายินดีอะไร แต่จู่ๆ อี้เป่ยซีกลับกระปรี้กระเปร่า ทั้งๆ ที่เห็นการตกแต่งเรียบง่าย แต่กลับทำให้รู้สึกอารมณ์ดีและต้องการชมโดยรอบ
“ว้าว ที่นี่มันที่ไหน สวยจังเลย หืม ทำไมรู้สึกคุ้นจังเลย…” เธอก้มหน้าครุ่นคิด “นี่คือวิวที่จื่อจวีหานซื่อเลือกมาถึงสี่ครั้งไม่ใช่เหรอ?”
ลั่วจื่อหานหยุดเดิน “สี่ครั้ง?”
“ใช่แล้วๆ เอ๊ะ นายรู้จักจื่อจวีหานซื่อไหม ภาพวาดของเขาสวยมากๆ เลย อีกอย่างรู้สึกเหมือนกับที่นี่มาก แต่น่าเสียดายที่เลิกวาดไปตั้งแต่สองปีก่อนแล้ว”
“จะไม่รู้จักได้ยังไง”
พูดพลางเดินถึงด้านข้างของศาลา นกตัวหนึ่งยืนอยู่บนชายคาที่ยื่นออกมา ยิ่งเพิ่มชีวิตให้กับมัน คำพูดบนเสามีพลัง แม้จะถูกลมฝนชะล้างมายาวนาน แต่ก็ยังสามารถเห็นลายเส้นที่งดงามของนักเขียน เงยหน้าขึ้นไปก็จะเห็นภาพวาดหลากสีที่วาดด้วยปากกาสีซึ่งเชื่อมต่อเป็นวงกลมไม่มีที่สิ้นสุด
“เป่ยซี ดูสิ”
อี้เป่ยซีมองไปตามทิศทางนิ้วของลั่วจื่อหาน พระอาทิตย์ทำให้แสงเรียวเล็กดุจเข็มที่ทอประกายของวันธรรมดาจางหายไป มันอ่อนโยนและสว่างไสว ราวกับรอยยิ้มที่ค่อยๆ เลือนลาง ซ่อนเร้นอยู่ท่ามกลางหุบเขา เมฆสีส้มที่อยู่ด้านข้างหัวเราะเริงร่าเสียงดัง บนใบหน้ามีสีสันที่แตกต่างกันออกไป สะท้อนซึ่งกันและกัน
ทิวทัศน์ทั้งหมดที่อยู่ตรงหน้าเปลี่ยนรูปร่างโดยพลันภายใต้แสงสีทอง ทุกสิ่งรอบตัวราวกับว่าชุบด้วยชั้นทองคำที่ศักดิ์สิทธิ์และสวยงาม เพลงเสียงที่เปล่งประกายสดใสในสมัยโบราณเหมือนจะดังอยู่ข้างหู เดินทางมาอย่างยาวนานเพื่อร้องสรรเสริญให้กับช่วงเวลานี้
“ลั่วจื่อหาน สวยจังเลย”
เขามองแววตาที่ดื่มด่ำของอี้เป่ยซี มองดูใบหน้าน้อยๆ ของเธออย่างพินิจพิเคราะห์ “ใช่ สวยมาก”
“เอ่อ?” เธอหันมาสบตากับลั่วจื่อหาน เห็นการแสดงออกของดวงตาทั้งคู่นั้น มันเทียบไม่ได้กับแสงอาทิตย์ยามพลบค่ำและป่าไม้ได้เลย เพียงชั่วขณะหนึ่งก็ลืมที่จะละสายตา มีอะไรบางอย่างเต้นรัวเร็วอยู่ในร่างกาย มีอะไรบางอย่างถูกดึงเข้าไปสู่ความล้ำลึกและสงบนั้นทีละน้อย
ทั้งสองคนขยับเข้าใกล้กันทีละน้อย เข้าไปใกล้อีก สายตาของลั่วจื่อหานหยุดอยู่บนริมฝีปากที่อ้าออกเล็กน้อยของเธอ และโน้มตัวไปข้างหน้า
“ลั่วจื่อหาน” อี้เป่ยซีหดตัวถอยหลัง เธอยังคงอยู่ในอ้อมแขนของเขา เขาเอาเธอมากอดในอ้อมอกของตัวเอง คางชิดกับศีรษะของเธอเบา ๆ
“ฉันจะไม่บังคับเธอ”
“อืม” อี้เป่ยซีพิงอยู่ในอ้อมแขนของเขาเงียบๆ ฟังเสียงหัวใจเต้นของเขาที่เต้นเหมือนกับหัวใจของตัวเอง ทรงพลังและเข้มแข็ง แสงพลบค่ำสีแดงราวกับโบยบินอยู่บนใบหน้าของทั้งสองคน
หลังจากลั่วจื่อหานส่งเธอไปถึงมหาวิทยาลัยแล้วก็ขับรถจากไป อี้เป่ยซีครุ่นคิดครู่หนึ่งก็เรียกรถกลับบ้าน ไฟปิดอยู่ ห้องทั้งห้องราวกับว่ากำลังตกอยู่ในความฝัน อี้เป่ยซีหยิบกุญแจออกมาเปิดประตู เปิดไฟในห้องรับแขก แสงไฟสีอบอุ่นขับไล่ความเยือกเย็นออกไป เธอนั่งอยู่บนโซฟา ปล่อยให้โทรทัศน์ส่งเสียงดังอยู่ด้านข้าง สายตาจับจ้องเพดานตลอดเวลา
พี่เป่ยเฉินคงกลัวว่าพอเธอรู้แล้วจะเจ็บปวดสินะ ซีรีส์ดำเนินมาถึงตอนสุดท้ายและลาจอไป บทเพลงชื่อว่ารักหรือไม่รักดังขึ้น แนวคิดศิลปะเชิงสร้างสรรค์ในฉากหลังนั้นไม่มีอิทธิพลแต่อย่างใดภายใต้ความนึกคิด เธอเหลือบดูโทรทัศน์อย่างเกียจคร้าน แล้วจ้องเพดานต่อ
จะพูดอย่างไรดี จะบอกว่าอย่าเป็นห่วงเธอเลยแล้วอวยพรให้เขากับฉินรั่วเข่อ?
แต่ก็ยังพูดไม่ออก รู้สึกไม่ค่อยเต็มใจเลย
ทำไมในตอนสุดท้ายคนที่ได้อยู่กับพี่เป่ยเฉินถึงเป็นเพียงคนอื่นล่ะ?
แต่ทำไมไม่ใช่คนอื่น ทำไมถึงเป็นเธอ
ใต้หล้าแห่งนี้ น่าจะมีเพียงเธอคนเดียวที่ไม่สมควรยืนอยู่ข้างกายพี่เป่ยเฉิน
อี้เป่ยซี นั่นคือพี่ชายของเธอ เธอควรจะอวยพรให้เขามีความสุข ไม่ใช่เป็นอย่างเมื่อก่อนที่ดึงคนอื่นตกลงไปในหนองน้ำอีกคน
………………………..