บทที่ 91 สุขสันต์วันเกิด (1)
สุดท้ายมู่ลี่ไป๋ก็ยังใช้เนื้อเพลงที่อี้เป่ยซีเขียน และยังประกาศว่าจะทำให้เธอประหลาดใจ อี้เป่ยซีกลับไม่มีความรู้สึกตั้งหน้าตั้งตาคอย เธอรู้ดีว่าเธอได้เอ่ยอำลาแล้วและหวังว่าเธอจะสามารถบอกลาได้จริงๆ เนื้อเพลงนี้เป็นการเขียนขึ้นเพื่อตัวเอง เขียนเพื่อตัวเองด้วยความเห็นแก่ตัวมาก
เวลายังคงไหลผ่านไปเป็นเวลาหลายเดือน ถังเสวี่ยกับฟางหมิ่นลาหยุดกับทางมหาวิทยาลัยเนื่องด้วยเหตุผลอะไรบางอย่าง ฉินเยวี่ยเข่อก็ถูกลงโทษกักบริเวณเนื่องด้วยเรื่องก่อนหน้านี้ ส่วนฉินรั่วเข่อนั้น เพราะไม่มีข้อพิสูจน์ชัดเจนจึงไม่มีใครพูดถึง ชีวิตก็ยังเหมือนกับเมื่อวานที่ผ่านไปอย่างสงบ
หลังจากฤดูร้อนอันร้อนระอุได้ทรมานทุกคนแล้ว มันก็จากไปโดยยังทิ้งร่องรอยไว้เล็กน้อย ใบไม้ในบริเวณมหาวิทยาลัยค่อยๆ เปลี่ยนสี เหมือนผู้เฒ่าผู้แก่ที่เฝ้าดูทุกอย่างอย่างอ่อนโยน
อี้เป่ยซีเก็บสมุดวาดภาพของตัวเอง คิดจะจบธุระแล้วกลับบ้าน
ราวกับว่าหลังจากเมามายครั้งนั้น ก็ชอบการวาดภาพโดยไม่รู้ตัว
“ฉู่เซี่ย” เสียงดังขึ้นฉับพลัน สมุดวาดภาพในมือของอี้เป่ยซีร่วงลงพื้นเสียงดัง เธอมองค้อนคนที่กำลังเดินมา
“ทำไมนายถึงโผล่มาปุบปับแบบนี้ ตกใจแทบแย่”
“โถ่เอ้ย ตอนนี้จะมีอะไรทำให้เธอตกใจได้อีกล่ะ ไปๆๆ ไปที่นึงกับฉันหน่อย”
อี้เป่ยซีหลบมือของเขา “ไม่ได้ วันนี้ฉันจะกลับบ้าน”
“เธอจะตามใจฉันสักครั้งไม่ได้หรือไง?”
“ฉู่ซ่งไม่ดื้อนะ พรุ่งนี้ฉันจะไปเที่ยวกับนาย” เก็บหนังสือวาดภาพใส่กระเป๋าของตัวเอง อี้เป่ยซีกำลังจะเดินไปยังสวนมหาวิทยาลัย
ฉู่ซ่งหยุดอยู่หน้าม้านั่งเนิ่นนาน วิ่งเหยาะตามมาข้างๆ อี้เป่ยซี “ฉู่เซี่ย เธอรู้ไหมว่าวันนี้เป็นวันอะไร?”
“วันที่ฉันกลับบ้าน”
เขาเผยอาการเสียใจเป็นอย่างมาก น้ำเสียงก็เปลี่ยนเป็นมืดมน “วันนี้เป็นวันเกิดของฉู่เซี่ย วันนี้เป็นวันเกิดครบรอบสิบแปดปีของฉู่เซี่ย”
อี้เป่ยซีหยุดเดิน ไม่รู้ว่าในใจรู้สึกอย่างไร เม้มปากไม่พูดอะไร
“เมื่อก่อนฉันก็ฉลองวันเกิดด้วยกันกับเขาทุกปี ฉลองกับเขาตอนเด็ก พอโตขึ้นก็ยังฉลองกับเขา ถ้าเธอมีธุระก็ไปเถอะ ไม่เป็นไร ฉันฉลองวันเกิดให้ฉู่เซี่ยคนเดียวจนชินแล้ว”
“ตอนแรกฉันนึกว่าครบสิบแปดปีก็ควรจะพิเศษสักหน่อย ขอโทษที รบกวนเธอแล้ว”
“ฉู่ซ่ง นายก็รู้ว่าฉันไม่ได้หมายความแบบนั้น”
ฉู่ซ่งปลดมือเธอออก แววตาเมินเฉย “ฉันรู้ว่าเธอหมายความว่าอะไร ป่านนี้แล้ว เธอก็น่าจะลืมไปหมดแล้ว ไม่เป็นไร ฉันไม่โทษเธอ”
“ฉู่ซ่ง” อี้เป่ยซีมองฉู่ซ่งที่เดินไปยังทิศทางตรงข้ามรู้สึกร้อนรนเล็กน้อย เธอสาวเท้าตามไป “ฉันจะไปกับนาย”
“ไม่ต้องหรอก เธอกลับบ้านเถอะ ฉันจะกลับบ้านไปฉลองวันเกิดกับฉู่เซี่ย”
“อัยยา ทำไมนายถึงขี้น้อยใจอยู่เรื่อยเลย ถ้านายให้ฉันไปอีกฉันก็จะไปจริงๆ แล้วนะ”
ฉู่ซ่งกอดอี้เป่ยซี เสียงจมูกฟึดฟัด “ฉันก็แค่กลัว กลัวว่าเธอจะลืมฉู่เซี่ย ลืมฉู่ซ่ง ฉันกลัวว่าเธอจะลบอดีตทิ้งไป ฉันกลัวมาตลอดเลยเธอรู้ไหมฉู่เซี่ย”
“ฉันรู้ ฉันรู้ ฉันก็ไม่เป็นไรแล้วไม่ใช่เหรอ ฉันจำได้ว่าตัวเองคือฉู่เซี่ย แล้วก็รู้ว่านายคือฉู่ซ่งนี่นา นายอย่าคิดมากได้หรือเปล่า”
อี้เป่ยซีตบๆ หลังของเขา “ถ้านายยังร้องไห้อีก เจ้าของวันเกิดก็ไม่ไปแล้วนายจะจัดวันเกิดให้ใครล่ะ”
“ได้ ฉันจะพาเธอไป” พูดจบก็ดึงมือของอี้เป่ยซีวิ่งไปยังสวนมหาวิทยาลัย ในตอนแรกย่าวก้าวของเธอหนักอึ้งเล็กน้อย ราวกับว่ากำลังยึดติดกับอะไรบางอย่าง จากนั้นก็ค่อยๆ เบาขึ้น ราวกับเด็กซุกซนที่ไล่จับผีเสื้ออยู่ริมแม่น้ำ
ฉู่ซ่งไม่ได้พาเธอไปที่ภัตตาคารโรงแรมอะไรเทือกนั้น แต่กลับพาเธอไปที่ซูเปอร์มาร์เก็ตอาหารสด เลือกวัตถุดิบทำอาหารด้วยท่าทางจริงจัง
“ไม่จริงมั้ง นายทำอาหารเป็นเหรอฉู่ซ่ง คิดไม่ถึงจริงๆ”
“มีเรื่องที่เธอคิดไม่ถึงอีกเยอะ” ฉู่ซ่งวางวัตถุดิบลงในรถเข็น ไปยังเป้าหมายต่อไป อี้เป่ยซีมองสำรวจสภาพแวดล้อมโดยรอบ
ซูเปอร์มาร์เก็ตอาหารสดมีความเชื่อถือมากกว่าซูเปอร์มาร์เก็ตทั่วไป จึงไม่มีสิ่งของไร้คุณภาพโผล่มาให้เห็น เธอพยักหน้า เดินตามฉู่ซ่ง
สถานที่คือบ้านของฉู่ซ่ง อี้เป่ยซีกำลังเล่มเกมส์อยู่บนหน้าจอโดยไม่สนใจสิ่งใด เสียงที่อยู่ภายนอกถูกสกัดกั้นด้วยหูฟัง
“ฉู่เซี่ย” ฉู่ซ่งตะโกนเรียกอยู่หลายรอบ เธอจึงถอดหูฟังออก
“นายเรียกฉัน?”
“มาช่วยหน่อย”
อี้เป่ยซีเล่นกับจอยสติ๊ก “ฝันไปเถอะ ฉันเป็นเจ้าของวันเกิด ไม่ต้องทำอะไร นายจัดการเองสิ ฉันเห็นตอนที่ลั่วจื่อหานทำกับข้าวเรื่องมากที่ไหนกัน ส่วนนายน่ะ ฝีมือไม่เท่าไรถนัดแต่เรื่องไร้สาระ”
“ฉันอยากให้เธอหยุดพักจากเกมส์ที่วุ่นวายต่างหาก”
“ขอบใจล่ะ ฉันยังอยากจะโฟกัสกับการต่อสู้ของฉัน ลาก่อนนะน้องชาย” พูดจบก็ใส่หูฟังอีกครั้ง ติดพันอยู่กับเรื่องราวของตัวละครที่ต่อสู้กันบนหน้าจอ ส่งเสียงประหลาดใจและเสียงดีใจแห่งชัยชนะออกมาเป็นครั้งคราว
มีคนแตะไหล่ของเธอเบาๆ
“อย่ายุ่งน่า ไม่เห็นเหรอว่าฉันจะชนะอยู่แล้ว…บ้าเอ๊ย ทำไมยังมีด่านนี้อีกนะ” อี้เป่ยซีกัดฟันมองดูผลแห่งความพ่ายแพ้ แสงสว่างที่ซ่อนอยู่ในความมืดมิดเบื้องหน้ายังคงรอฉันอยู่นะ เธอถอดหูฟังออก หันหน้ามอง แต่กลับไม่ใช่รอยยิ้มของฉู่ซ่ง เธอลุกพรวดขึ้นมาจากพื้น
“นายๆๆ นายมาได้ยังไง”
“เธอประมาทศัตรูเกินไปแล้ว” ลั่วจื่อหานลุกขึ้นเช่นกัน พร้อมประเมิน
“ประมาทศัตรูอะไร เพราะว่าเขาเจ้าเล่ห์เกินไปต่างหาก นาย มานานแล้วเหรอ?”
ลั่วจื่อหานวางของลงบนโต๊ะ “เปล่า เพิ่งมา”
อี้เป่ยซีหันไปมองกล่องของขวัญบนโต๊ะ
“ฉู่เซี่ย สุขสันต์วันเกิด”
พอได้ยินคำอวยพร อี้เป่ยซีกลับไม่รู้ว่าต้องตอบว่าอะไร เธอหัวเราะแห้งๆ สองที “ฉลองวันเกิดสองครั้งได้ของขวัญวันเกิดนายสองรอบ ฉันนี่กำไรจริงๆ มันคืออะไรเหรอ”
“ลองเปิดดูสิ”
อี้เป่ยซีไม่หาข้ออ้างใดๆ วางจอยสติ๊กไว้อีกทาง แกะของขวัญออกด้วยความจริงจัง ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ในใจรู้สึกตั้งตาคอย
ภายในกล่องไม้มีม้วนกระดาษม้วนหนึ่ง มือเธอสั่นเทาเล็กน้อย แกะเชือกไหมด้านนอกม้วนกระดาษออก
มันคือภาพวาดที่ชื่อว่า ‘ติดตาม’ ในนิทรรศการภาพนั้น
เขาทำได้อย่างไร จื่อจวีหานซื่อไม่แม้แต่จะแสดงมันไม่ใช่เหรอ ทำไมถึงยอมขายให้เขา
“นายนาย…ฉัน…” อี้เป่ยซีตื้นตันจนพูดอะไรไม่ออกแล้ว
“เพลงนั้นเพราะมาก เข้ากับภาพนี้มาก”
“ขอบคุณ ขอบคุณ ขอบคุณ นี่มันช่าง อา ช่างตื้นตันจังเลย”
ลั่วจื่อหานมองดูท่าทางของเธอที่แทบจะกอดภาพวาดกระโดดโลดเต้น แววตามีความลึกซึ้งที่ต่างออกไป เพียงแต่ยิ้ม อี้เป่ยซีเก็บของขวัญไว้อย่างระมัดระวังมาก
“ลั่วจื่อหาน อา ฉันชอบนายมากๆ เลย”
“อืม ฉันรู้”
เอ๊ะ อี้เป่ยซีเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของเขาจึงรู้ตัวว่าพูดผิดไป แก้มค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อ เธอมองไปทางอื่นด้วยความอึดอัด ไอเบาๆ ยกน้ำบนโต๊ะขึ้นมาดื่ม
“คือว่า งั้นเราสองคนมาเล่นกันสักตาไหม?” อี้เป่ยซีเปลี่ยนหัวข้อ หยิบจอยสติ๊กขึ้นมา ลั่วจื่อหานอมยิ้มพยักหน้า
พ่ายแพ้ครั้งแล้วครั้งเล่า
“ไม่ได้ๆ อีกตา ฉันไม่เชื่อหรอก” อี้เป่ยซีคว้าจอยสติ๊ก เริ่มเกมส์ต่อสู้อีกครั้ง
————