บทที่ 98 สิ่งที่เรียกว่าความจริง (2)
ในใจและในสมองของอี้เป่ยซีสับสน สับสนมากๆ เธอรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างเบื้องหลังคำพูดนี้ แต่ว่าทำอย่างไร ทำอย่างไรก็นึกไม่ออกว่ามันมาจากตรงไหน
เธอกอดตัวเอง เรื่องก่อนหน้านี้ทำให้อี้เป่ยซีสั่นสะท้าน แต่ว่าฟางหมิ่นเหรอ เธอแทบจะคิดไม่ถึงเลย
“เป่ยซี เธอ เธอไม่เป็นไรนะ?”
อี้เป่ยซียิ้ม “ฉันสบายดี ไม่เป็นไร”
“เป่ยซี เธอจะต้องยกโทษให้ฉันนะ” อี้เป่ยซีมองดูหยดน้ำตาที่ค้างเติ่งอยู่ที่แก้ม แสงแห่งความแน่วแน่เปล่งประกายอยู่ในดวงตาสุกใส เธอพยักหน้า
“เรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดของเธอ” เธอส่ายหน้า “ถ้าจะให้พูดกันตามตรง ฉันก็ต้องโทษตัวเอง ฉันแค่คิดไม่ถึงว่า…” คิดไม่ถึงว่าเรื่องทั้งหมดจะมีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับลู่เยี่ยจิ่ง คิดไม่ถึงว่าฟางหมิ่น…จะใช้วิธีสกปรกแบบนี้
‘นอกจากฟางหมิ่นแล้ว ลู่เยี่ยจิ่งจะไปหาใครได้ จะทำอะไรได้ เรื่องของฉินรั่วเข่อล่าสุด เขาก็มีส่วนร่วมด้วยสินะ’
“เป่ย เป่ยซี ที่จริงก่อนหน้านี้ฉันเห็น…ฟางหมิ่น แอบตามเธอกับ…กับฉินรั่วเข่อ ฉันสงสัย ว่าวีดีโอล่าสุด มีส่วนเกี่ยวข้อง…กับเขาหรือเปล่า…”
อี้เป่ยซีดื่มน้ำ “เรื่องนี้…ฉันไม่อยากพูดถึงมันอีกแล้ว” เธอลูบคลำแก้ว “มันก็ไม่ได้มีผล…อะไรกับฉันมาก…”
“เป่ยซี แต่ว่าเธอชอบ…”
“เปล่า” ในใจเจ็บปวดเล็กน้อย จู่ๆ ภาพในคืนนั้นก็ปรากฏขึ้นในดวงตาของเธอพร้อมเสียงที่น่าอับอายขายหน้า เธอส่ายหน้าทันที “พี่เป่ยเฉินมีชีวิตเป็นของเขาเอง ฉันเป็นแค่น้องสาวของเขา เขาก็น่าจะเห็นฉันเป็นแค่น้องสาวเหมือนกัน”
“เป่ยซี แต่ว่าเธอ…”
อี้เป่ยซีวางแก้วน้ำลงบนโต๊ะ หมุนฝาปิดด้วยความจริงจังมาก ก้มหน้าต่ำ “ฉันเหนื่อยแล้ว อยากไปพักผ่อนสักหน่อย อาจารย์ให้การบ้านมา ถ้าพรุ่งนี้เธอจะเข้าเรียนก็อย่าลืมซะล่ะ ฉันนอนก่อนนะ ราตรีสวัสดิ์”
ถังเสวี่ยแอบกำมือแน่น ยิ้ม “อือ ราตรีสวัสดิ์เป่ยซี”
‘ฟางหมิ่น ฉินรั่วเข่อ ฉินแยว่เข่อ ลู่เยี่ยจิ่ง…เมื่อกี้ยังมีใครอีกนะ…ลั่วจื่อหาน…เขาก็มาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ได้ยังไง…’
‘ฟางหมิ่น’ อี้เป่ยซีนึกถึงเรื่องที่ถังเสวี่ยเล่า เห็นได้ชัดว่าตอนเปิดเทอมคนที่จิกกัดเธอมากที่สุดก็คือเธอ แต่ทำไมถึงรู้สึกว่า…รู้สึกว่าเธอไม่มีทางทำเรื่องพวกนั้น
สับสนจังเลย ใครจะช่วยเธอได้บ้าง อี้เป่ยซีคลำหาของอยู่ข้างๆ หยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองออกมา นิ้วเลื่อนเปิดรายชื่อผู้ติดต่อ
‘พี่เป่ยเฉิน…เขาจะต้องไม่มีเวลาแน่ๆ เขากำลังยุ่งนี่นา เซี่ยเช่อก็ไม่ชอบเรื่องพวกนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไร หลานฉือเซวียน…เขาจะต้องไปบอกพี่เป่ยเฉินแน่ๆ ผลก็คงออกมาเหมือนกัน’
‘อ๊า น่าหงุดหงิดจัง ควรจะหาใครดีนะ?’
‘ประธานลั่ว ลั่วจื่อหาน…รู้เรื่องนี้นานแล้วเหรอ ถ้าเขารู้แล้วทำไมถึงไม่พูดอะไรเลย’
‘ตาบ้านั่น ต่อให้เธออยากรู้ก็อย่าไปหาเขาเลย’ คิดพลางปิดโทรศัพท์มือถือ นอนหงายอยู่สักพัก ขบฟัน สุดท้ายก็ยอมแพ้
“ขอโทษค่ะ ไม่มีหมายเลขที่คุณเรียก…”
‘อะไรกันเนี่ย! เขาบล็อคเธองั้นเหรอ? คนขี้งอน ก็แค่ดึงเขาเข้าแบล็คลิสต์แป๊บเดียวเองนี่นา ตาแก่ขี้น้อยใจ ไม่น่าล่ะจนป่านนี้ถึงยังไม่มีผู้หญิงมาชอบ’
เธอพ่นลมหายใจทางจมูก ‘ก็ไม่มีผู้ชายคนไหนชอบแบบนี้เหมือนกัน’
อี้เป่ยซีโยนโทรศัพท์มือถือไปอีกทาง นอนอยู่บนเตียง กัดชายผ้าห่มครุ่นคิดถึงปัญหาที่อยู่ภายใน มันมากเกินไปสับสนเกินไปวุ่นวายเกินไป ขณะที่กำลังสลึมสะลืออยู่นั้น จู่ๆ แรงสั่นก็ทำเอาเธอตกใจตื่นทันที
“ฮัลโหล” เธอขยี้ตา
“ในที่สุดก็ยอมเอาชื่อฉันออกจากแบล็คลิสต์แล้วเหรอ?” ไม่มีความโมโหใด ราวกับว่าแม้แต่ระคนความเอ็นดู
“ลั่วจื่อหาน?” ได้ยินชื่อของลั่วจื่อหาน ถังเสวี่ยที่กำลังอ่านหนังสืออยู่ที่โต๊ะก็ราวกับถูกไฟช็อต ตัวแข็งทื่อเฉียบพลัน ตั้งอกตั้งใจฟังบทสนทนาของอี้เป่ยซี
“นายก็ดึงชื่อฉันเข้าไปเหมือนกันไม่ใช่เหรอ เราเสมอกันแล้ว”
ทางนั้นถอนหายใจเบาๆ “ฉันจะทำอย่างนั้นได้ยังไง ตามหาตัวอยู่ตั้งนาน ฉันจะทำลงได้ยังไงล่ะ”
อี้เป่ยซีได้ยินเสียงที่อบอุ่นของเขา พูดไม่ออกไปชั่วครู่ “พูดยังกับว่าฉันแล้งน้ำใจ…”
“ทำไม คิดถึงฉันซะแล้วเหรอ?”
“เชอะ ใครคิดถึงนาย” เธอลุกขึ้นนั่ง เล่นกับผมของตัวเอง “คือว่า…”
“เป่ยซี”
“หืม?”
“ฉันเคยพูดหรือเปล่าว่าฉันชอบเธอมาก”
อี้เป่ยซีสะดุ้งตกใจกับคำสารภาพที่ไม่มีปี่มีขลุ่ย เสียงน่าดึงดูดของลั่วจื่อหานได้ยินชัดเป็นพิเศษในค่ำคืนที่เงียบสงัด ดวงตาค่อยๆ เลื่อนลอย ใบหน้าก็แดงก่ำ
“เป่ยซี เธอยังฟังอยู่ไหม?”
อี้เป่ยซีไอ “ฉัน วันนี้ดึกมากแล้ว ฉันจะไปนอนแล้ว มีอะไรค่อยคุยกันพรุ่งนี้”
“ได้ ช่วงนี้ดูแลสุขภาพด้วย ถ้าไม่สบายอย่าลืมโทรมาหาฉันนะ”
เธอนึกขึ้นได้ทันทีว่าลั่วจื่อหานหมายถึงเรื่องเมื่อวาน “รู้แล้ว รู้แล้ว นายนี่ขี้บ่นจริงๆ ราตรีสวัสดิ์”
วางโทรศัพท์มือถือลง เธอถอนหายใจเฮือกใหญ่ ลืมเสียสนิทว่าตัวเองอยากพูดอะไรกับลั่วจื่อหาน เกาๆ หัว ‘แต่ว่าแบบนี้ก็ดี…ถังเสวี่ยยังอยู่ ถ้าหากได้ยินว่าเธอพูดอะไร ก็คงจะไม่มีความสุขแน่ๆ พรุ่งนี้ค่อยคุยเถอะ’
เธอล้มตัวลงบนเตียง นึกถึงคำพูดของลั่วจื่อหานเมื่อครู่ มือแตะอยู่บนริมฝีปากโดยไม่รู้ตัว ‘ไม่เคยเห็นตาแก่ขี้บ่นแบบนี้มาก่อนเลย’ เธอครุ่นคิด เปลี่ยนคำแนะนำของลั่วจื่อหานเป็นตาแก่จอมเงอะงะ แตะๆ โทรศัพท์มือถือของตัวเองด้วยความพึงพอใจ
“เป่ยซี เธอกับ…”
“ฉันกับลั่วจื่อหานไม่ได้เป็นอะไรกัน เธอ เธออย่าคิดมาก”
“ฉันยังไม่ได้พูดถึงใครเลยนะ เธอจะตื่นเต้นไปทำไม?”
“หา อะไรน่ะ ฉันง่วงมากเลย พรุ่งนี้ค่อยคุยกันเถอะ” อี้เป่ยซีหาวแล้วล้มตัวลงบนเตียง หันหน้าเข้าหากำแพง ไม่รู้ว่าทำไม รู้สึกอยากเปลี่ยนวอลเปเปอร์เป็นสีครามที่สดชื่นเหมือนเขา
วันต่อมา อี้เป่ยซีคว้าโทรศัพท์มือถือทันทีที่ตื่นนอน ต้องการจะโทรออก แต่กลับรู้สึกว่าไม่เหมาะสม ล้างหน้าล้างตาเสร็จแล้ว รอจนกระทั่งเรียนรอบเช้าเสร็จ จึงกดเลขหมายโทรออก
“ฉันอยู่ใต้ตึกเรียนของพวกเธอ”
“นายมาที่มหา’ลัยพวกเราทำไม?” อี้เป่ยซีนึกถึงลั่วจื่อหานที่มีออร่าจับขนาดนี้ ไม่ว่าจะเดินไปไหนจะต้องมีกลุ่มสาวๆ ห้อมล้อมเขาแน่นอน
‘หลงตัวเอง เพลิดเพลินกับความรู้สึกแบบนี้มากล่ะสิ’
“คาบต่อไปของเธอว่าง”
“ไม่มีเรียนก็ห้ามนายมาที่มหา’ลัย รอแป๊บ ฉันจะลงไป” อี้เป่ยซีสะพายกระเป๋าแล้วลงไปทันที เห็นสาวๆ กลุ่มหนึ่งแอบมองลั่วจื่อหานตามคาด ตาลุงนั่นยืนอยู่ตรงนั้นอย่างค่อนข้างเปิดเผย ราวกับว่ากำลังเพลิดเพลินไปกับมัน
เมื่อเห็นอี้เป่ยซีมาถึง ลั่วจื่อก็เผยยิ้มทันใด เธอรีบรุดไปหาเขาแล้วดึงเขาจากไป ไม่สนใจหน้าตาบูดเบี้ยวของคนรอบข้าง
“ยิ้มจนหน้าบานเลยใช่ไหม ทำไมปกติไม่เห็นนายชอบยิ้มขนาดนี้ ยิ้มให้ตายไปเลย” พูดพลางเดินกระแทกเท้าด้วยความขุ่นเคือง
“หึงเหรอ?”
อี้เป่ยซีหยุดเดิน หน้าแดงเล็กน้อย “ใคร ใครหึงกัน ฉันก็แค่ ก็แค่ไม่อยาก ไม่อยากให้คนตาบอดเพราะนายเยอะขนาดนั้น หรือถูกหน้าตาของนายหลอกน่ะ” เธอพยักหน้าอย่างแรง
ลั่วจื่อหานโอบอี้เป่ยซีเข้ามาในอ้อมแขน “เป่ยซี ฉันชอบอาการเมื่อกี้ของเธอมาก”
เธอผลักเขาออก “ฉันไม่ชอบอาการเมื่อกี้ของนายเลย”
“งั้นเธอชอบอาการฉันตอนนี้ไหม?”
“……”
————