บทที่ 97 สิ่งที่เรียกว่าความจริง (1)
ลั่วจื่อหานได้ยินเสียงของเธอ รู้สึกอิ่มอกอิ่มใจ เขาเอามือพยุงศีรษะ มองใบหน้าที่หลับใหลของอี้เป่ยซี ขนตายาวสั่นไหวเล็กน้อย ริมฝีปากก็อ้าออกเล็กน้อยเช่นกัน ราวกับว่ามีกลิ่นหอมหวานแผ่ซ่านออกมาจากข้างใน
“ลั่ว ลั่วจื่อหาน นาย ทำไมนาย…”
“เมื่อกี้ฝันถึงฉันเหรอ”
“ปะ เปล่า” อี้เป่ยซีรีบดึงผ้าห่มขึ้นมา ปิดหน้าแดงๆ ของตัวเอง
“เป่ยซี” เขายิ่งเข้าใกล้อี้เป่ยซี ในแววตาของทั้งสองคนมีเพียงใบหน้าของอีกฝ่ายอย่างสมบูรณ์ “ชอบจูบของฉันเหรอ?”
“เปล่าซะหน่อย นายอย่าหลงตัวเองไปหน่อยเลย ก็ ก็แค่ฝันเท่านั้น…อือ” ลั่วจื่อหานดึงผ้าห่มที่ปิดใบหน้าของเธอออก ประกบริมฝีปากของเธออย่างดุเดือด เข้าใกล้ส่วนที่ลึกที่สุดทีละน้อย ปล้นความหวานตามที่ใจปรารถนา อี้เป่ยซีก็ดื่มด่ำกับจูบนี้โดยไม่รู้ตัว จูบตอบอย่างไม่ชำนาญ ยิ่งปลุกเร้าอารมณ์ของลั่วจื่อหานมากขึ้น จนกระทั่งคนที่อยู่ด้านล่างใกล้จะขาดอากาศหายใจจึงคลายออก
“หวานไหม?”
“นายๆๆ…” หางตาของอี้เป่ยซีมีไอน้ำเล็กน้อย เธอยิ่งดูยั่วยวนกว่าเก่า ทำให้ทนไม่ไหวจนแทบอยากจะกลืนกิน
“เอาล่ะ เดี๋ยวจะส่งเธอไปเรียน”
“ใครให้นายไปส่ง” พลิกตัวด้วยอาการเคืองๆ หันหลังให้ลั่วจื่อหาน เขาเลียริมฝีปากเหมือนอยากให้มันดำเนินต่อ อมยิ้ม
อี้เป่ยซีสาบานว่าจะไม่กลับมาที่อะพาร์ตเม้นต์ของตัวเองอีก จะไม่ไว้หน้าลั่วจื่อหานอีก เห็นเขาโทรมาก็ตัดสายทิ้งทันทีโดยไม่คิด จากนั้นก็รู้สึกหงุดหงิดและดึงเขาเข้าไปในรายชื่อแบล็คลิสต์แล้ว
‘ลั่วจื่อหานคนบ้า ลั่วจื่อหานคนเลว มีสิทธิ์อะไรถึงจูบเธอตลอดเวลา ต่อไปถ้าเจอเขาอีกเธอก็จะเลี่ยงไป’
‘ไม่สิ ทำไมเธอต้องเป็นคนเลี่ยงด้วย เขาเป็นคนผิด เพราะว่าเขาชอบหาเรื่องต่างหาก คนบ้า อ๊าๆๆ น่าหงุดหงิดชะมัด’
อี้เป่ยซีต่อยๆ หมอนสีขาว สุดท้ายรู้สึกไม่สบอารมณ์โยนไปใต้เตียงอย่างแรง หายใจหอบเล็กน้อย
“เป่ยซี?” พอถังเสวี่ยเปิดประตูก็เห็นหมอนที่เกลือกกลิ้งอยู่บนพื้น หัวเราะอ่อนโยน เก็บหมอนขึ้นมายื่นให้เธอ อี้เป่ยซีเม้มปาก รับไว้
“ถัง ถังเสวี่ย เธอกับฟางหมิ่นหายไปไหนตั้งนาน?”
“เป่ยซี ฉันขอโทษ” ระคนเสียงสะอื้น ถังเสวี่ยก้มหน้า ไหล่ก็สั่นเทาด้วย อี้เป่ยซีรีบลงมาจากเตียงแล้วเดินไปหาเธอ
“เป็นอะไรไป? ทำไมจู่ๆ ถึงร้องไห้ล่ะ”
“เป่ยซี” น้ำตาเอ่อล้นในดวงตา เธอดึงแขนของอีกฝ่าย กัดริมฝีปาก อดกลั้นต่ออะไรบางอย่างอยู่ตลอดเวลา เต็มไปด้วยความรู้สึกผิดและเจ็บปวด
“เธอหยุดร้องไห้ก่อนสิ” เธอดึงทิชชู่สองสามแผ่นให้ถังเสวี่ย “เป็นอะไรไป? ใครรังแกเธอใช่ไหม?”
“เป่ยซี ขอโทษนะ ขอโทษ เธอยกโทษให้ฉันได้หรือเปล่า? เห็นแก่ความเป็นเพื่อนของพวกเรา ฉันไม่ได้ ฉันไม่ได้…” สะอื้นหนักขึ้นเรื่อยๆ จนพูดไม่ได้ มือที่คว้าอี้เป่ยซียิ่งบีบแน่น
“ถังเสวี่ย…” เธอขมวดคิ้ว รู้สึกสับสน ‘ถังเสวี่ยมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องต่างๆ ที่เกิดขึ้นเหรอ?’
ถังเสวี่ยเห็นท่าทางครุ่นคิดของเธอ สองมือคว้าเธอไว้ “เป่ยซี ที่จริงถึงฉันจะรู้ว่าฟางหมิ่นทำเรื่องพวกนั้น แต่ว่า แต่ว่า ฉันไม่ได้ตั้งใจ ไม่ได้ตั้งใจปิดบังเธอ ฉัน ฉันขอโทษจริงๆ ขอโทษจริงๆ ทำให้เธอต้องเป็นทุกข์ขนาดนั้น” พูดจบก็กอดอี้เป่ยซีร้องไห้โฮ
อี้เป่ยซีเห็นเธอร้องไห้เสียใจขนาดนี้ก็รู้สึกทนไม่ไหว “เอาล่ะๆ ไม่เป็นไร ฟางหมิ่น…เขา…ไม่จริงมั้ง”
“เป่ยซี ฉันกับพี่ชาย หลังจากที่พวกเรารู้เรื่องนี้แล้ว ก็รีบหยุดฟางหมิ่นทันที แต่ว่าเขา…เขาก็…ที่จริง ฉันควรจะหยุดเขาเร็วกว่านี้”
“เรื่องพวกนี้…เป็นฝีมือ…ฟาง ฟางหมิ่น?”
ถังเสวี่ยพยักหน้า อี้เป่ยซีส่ายหน้าด้วยท่าทางหนักแน่น “ไม่ ฟางหมิ่นไม่มีทางทำเรื่องพวกนั้นแน่ เขามีเรื่องลำบากอะไรหรือเปล่า?”
ในแววตาของถังเสวี่ยมีประกายบางอย่าง เธอสูดจมูกฟึดฟัด ท่าทางคับข้องใจและระแวดระวังมาก “เป่ยซี เธอไม่เชื่อฉันเหรอ เธอคือเพื่อนที่ดีที่สุดของฉัน ฉันจะโกหกเธอได้ยังไง”
“ฉันไม่ได้ไม่เชื่อเธอ เพียงแค่ แปลกใจ…นิดหน่อย ฉันคิดมาตลอดว่าเป็นฝีมือฉินแยว่เข่อสองพี่น้องนั่น ทำไมจู่ๆ ฟางหมิ่นถึงโผล่มาได้?”
“เป่ยซี ไม่ใช่แค่นี้นะ เรื่องบนภูเขาหิมะตอนนั้น เขาเป็นคนเปิดเผยตำแหน่งของเธอ จากนั้น จากนั้นก็เป็นเขาอีก เขารู้เรื่องความสัมพันธ์ของเธอกับลู่เยี่ยจิ่ง ก็ ก็เลยตั้งใจกันฉันออกไป”
อี้เป่ยซีสั่นเทิ้มทั้งตัว มือออกแรงโดยไม่รู้ตัว กัดฟันแน่น “เรื่องพวกนี้…เป็นเรื่องจริงเหรอ?”
“ฉันก็ไม่ได้รู้ทั้งหมดหรอก แต่ว่าประธานลั่วสืบเจอหมดแล้ว เธอ เธอจะถามเขาก็ได้ แต่ว่าเป่ยซี ฉันรู้ว่าฉันปกปิดสิ่งที่ควรบอก แถมยังทำร้ายเธอ เธอจะ…ฉันไม่อยากเสียเพื่อนอย่างเธอไปจริงๆ” พูดพลางก็ร้องไห้อีกครั้ง ดวงตาของถังเสวี่ยราวกับมีก๊อกน้ำอย่างไรอย่างนั้น ร้องไห้เท่าไรก็ไม่หมด
อี้เป่ยซีข่มเสียงของตัวเอง “เพราะอะไร? ทำไมฟางหมิ่น?”
ถังเสวี่ยสะอื้นอยู่ครู่หนึ่ง จึงกล่าวออกมาอย่างชัดถ้อยชัดคำ “เป่ยซี เธอรู้หรือเปล่า ฟางหมิ่นเป็นเมียน้อยที่พี่ชายฉันเก็บเอาไว้?”
“อะไรนะ?”
เธอกัดริมฝีปากดูเหมือนลำบากใจมาก ผ่านไปสักพักจึงถอนหายใจ ราวกับว่าได้ตัดสินใจอะไรบางอย่างที่ยิ่งใหญ่ “เป่ยซี ที่จริงเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องอื้อฉาวของครอบครัวฉันที่พี่ชายปกปิดเอาไว้ ก็เลยไม่มีใครรู้ เป็นไปได้ว่าฟางหมิ่นเห็นตัวเองในเธอ รู้สึกว่าไม่ยุติธรรม ก็เลย…” พูดพร้อมแอบมองปฏิกิริยาของอี้เป่ยซี
อี้เป่ยซีวางศอกลงบนโต๊ะ เท้าศีรษะ ดูไม่ออกว่าเชื่อถังเสวี่ยหรือเปล่า
ถังเสวี่ยรีบพูดเสริม “เป็นไปได้ว่าเขารู้เรื่องเธอกับลู่เยี่ยจิ่งจากพี่ชายฉัน”
เธอเบิกตากว้างทันที ‘ใช่ ใช่แล้ว ตอนนั้น เขาก็เคยติดต่อกับถังเฉิงไม่ใช่เหรอ หรือว่าเป็นเพราะเหตุนี้จริงๆ’
“เกิดอะไรขึ้นกับฟางหมิ่น”
ถังเสวี่ยโล่งอก ค่อยๆ เก็บกับดักที่เหวี่ยงออกไปเมื่อครู่ เธอมองดูรอบกาย ราวกับว่าหวาดกลัวเล็กน้อย จากนั้นก็กระแอมแล้วพูดเสียงต่ำ “เดิมทีบ้านฟางก็เป็นบริษัทจดทะเบียนเล็กๆ อยู่ที่เมือง B ไม่เล็กไม่ใหญ่ แต่ว่าพวกเขาก็ใช้ชีวิตกันอย่างสุขสบาย ไม่ได้รวยล้นฟ้าแต่ไม่ได้ด้อยไปกว่าใคร ฟางหมิ่นเป็นลูกสาวคนเดียวของบ้าน พ่อแม่รักเขามาก”
“แต่ว่าต่อมาบริษัทมีการเปลี่ยนแปลง แค่คืนเดียวบ้านฟางก็ล้มละลาย คุณลุงฟางเห็นความพยายามแสนสาหัสของเขาถูกทำลายเพียงชั่วข้ามคืน ก็ ก็เลือกที่จะฆ่าตัวตาย คุณป้าฟางตอนแรกก็จะตามเขาไป แต่ว่ามีคนมาเจอทันเวลา ก็เลยถูกพาตัวส่งโรงพยาบาล”
“เพราะเหตุนี้นิสัยฟางหมิ่นก็เลยเปลี่ยนไปมาก ไม่ใช่เด็กสาวที่ร่าเริงเหมือนเมื่อก่อนอีกต่อไปแล้ว ยิ่งนิ่งเงียบและเลวร้ายขึ้นเรื่อยๆ ใครๆ ก็ดูไม่ออกว่าเขากำลังคิดอะไร”
“จากนั้นครอบครัวศัตรูก็ชอบมารังควานพวกเขาสองแม่ลูก ตอนนั้นคุณป้าฟางก็ตรวจเจอว่าป่วยหนัก เคราะห์ซ้ำกรรมซัด ฟางหมิ่นเทียวหาคนที่เคยญาติดีกันเมื่อก่อน แต่ก็ไม่ได้ค่ารักษาพยาบาลเลยสักแดง”
“สุดท้าย” ถังเสวี่ยเงียบไปครู่หนึ่ง ปลายนิ้วสั่นเทาเล็กน้อย “สุดท้าย เขา เขาก็เลย…เป่ยซี ฉัน ฉันไม่อยากพูดแล้ว ฟางหมิ่นเขา เขาทรมานมาก…ฉัน…ฉันพูดต่อไปไม่ได้แล้วจริงๆ”
————