บทที่ 105 ความพยายามอันเหน็ดเหนื่อย (4)
อี้เป่ยซีอ้าปาก ต้องการพูดอะไรบางอย่าง เห็นดวงตาที่แดงก่ำของฟางหมิ่น ในหัวก็ว่างเปล่าไปชั่วขณะ
เรื่องที่ถูกฝังไว้ในส่วนลึกนั้น ตัวเองไม่เคยต้องการจะพูดถึงมัน เรื่องที่อยู่ในใจก็ถูกคนที่สงสัยในตัวเองเปิดโปงจนหมดสิ้น เป็นใครก็คงสุดจะทน
“ฟางหมิ่น ขอโทษนะ”
“หืม?” ทั้งสองคนตกตะลึง ไม่มีใครตอบสนองการขอโทษอย่างกะทันหันของอี้เป่ยซี
“ขอโทษ” เธอเอ่ยอีกครั้ง ฟางหมิ่นตอบสนองก่อน เธอก้มหน้า จากนั้นก็เงยหน้าขึ้น รอยยิ้มเจือปนความภาคภูมิใจและดูถูกเหยียดหยาม ทันใดนั้นถังเสวี่ยรู้สึกว่าตัวเองได้ย้อนกลับไปเมื่อสามปีที่แล้ว ฟางหมิ่นเมื่อสามปีที่แล้วก็เย่อหยิ่งอย่างเหลืออดเช่นนี้ หยิ่งยโสแต่น่าประทับใจ
ราวกับว่าเธอได้เจอเรื่องที่น่าขันสุดขีด อดไม่ได้จนหัวเราะงอหาย ผ่านไปสักพักจึงปาดน้ำตาที่หางตาออก “อัยยา อี้เป่ยซี ความเห็นอกเห็นใจของเธอมันล้นออกมาจริงๆ” เธอหยุดครู่หนึ่ง “ใช่ว่าทุกคนจะเหมือนเธอ ใช้ชีวิตอยู่กับอดีต พวกเราไม่มีอดีตให้ดื่มด่ำ ที่จริงเธอจะรู้หรือไม่ก็ไม่สำคัญ ทุกอย่างฉันเป็นคนทำเอง ถึงเธอจะสืบต่อไปก็มีแต่ฉันที่เป็นคนทำ ต่อไปฉันจะไปจากเธอให้ไกล ไปจากพวกเธอให้ไกลๆ”
ฟางหมิ่นเดินเข้ามาหาอี้เป่ยซี เหลือบมองถังเสวี่ยขณะที่เดินผ่านเธอ จากนั้นก็มองอี้เป่ยซี โน้มตัวไปข้างหน้าช้าๆ “แต่ว่า เรื่องน่าปวดหัวของเธอยังไม่หายไปไหน บอกตามตรงฉันยังต้องขอบคุณเธอด้วยซ้ำ ในที่สุดชีวิตแบบนี้ก็จบซะที” เธอหยิบของเล็กๆ น้อยๆ ใส่กระเป๋า ไม่มีบุคลิกเหมือนตอนที่เข้ามาโดยสิ้นเชิง เหมือนกับว่าปล่อยวางได้แล้วจริงๆ
อี้เป่ยซีย่นคิ้ว มองเธอ ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไร ถังเสวี่ยค่อยๆ เข้าใกล้อี้เป่ยซีด้วยความตื่นตระหนก
“เป่ยซี”
“อืม ไม่น่าจะเกี่ยวอะไรกับฟางหมิ่น” เธอโพล่งออกมา ตัวเองก็ประหลาดใจเหมือนกัน ไม่รู้ว่าเอาความมั่นใจนี้มาจากไหน อาจจะเป็นเพราะท่าทางยโสโอหังของเธอในตอนนี้ หรืออาจเป็นเพราะอย่างอื่น แต่ว่าอี้เป่ยซีไม่มีกะใจไปทำความเข้าใจ เธอรู้สึกว่าจิตใจสับสนมาก ปมที่พันกันนั้นยุ่งเหยิงมากๆ จนกลายเป็นเงื่อนตายขนาดใหญ่ที่บดบังวิสัยทัศน์ของเธอพอดี
“ฟางหมิ่น เธอได้ยินแล้วนะ เป่ยซีเชื่อว่าไม่เกี่ยวกับเธอ” คำพูดที่ชวนซาบซึ้งใจ ในเวลานี้กลับไม่มีความรู้สึกใดออกมาจากปากถังเสวี่ย ยิ่งไปกว่านั้นมันกลับแฝงด้วยคำเตือน
ฟางหมิ่นทิ้งของบนโต๊ะทั้งหมดลงในถังขยะ แล้วเอาเครื่องประดับบนตัวบางส่วนวางลงบนโต๊ะอย่างแรง จมดิ่งอยู่ในโลกของตัวเองโดยไม่สนใจใครทั้งนั้น ผ่านไปสักพัก เธอจึงเงยหน้าขึ้นมา “อืม ฉันทำเอง” ตอบอย่างไม่ใส่ใจ จากนั้นก็เริ่มเก็บของอีกครั้ง ไม่พูดอะไรอีก
ถังเสวี่ยบีบมือตัวเองแน่น ควบคุมอารมณ์โกรธที่อยู่ภายใน แทบทนไม่ไหวอยากตบหน้าทั้งสองคนสักฉาด แต่ว่าทำไม่ได้ เธอสงบลมหายใจของตัวเอง จ้องมองไปมาระหว่างคนทั้งสอง
‘ทำไมอี้เป่ยซีถึงเชื่อฟางหมิ่นขนาดนั้น ก้าวต่อไปเธอควรจะทำอย่างไร?’
เธอมองฟางหมิ่น ฟางหมิ่นสังเกตเห็นสายตาของเธอ มองเธอกลับด้วยความขี้เล่นเล็กน้อย เก็บของตัวเองต่อราวกับว่าไม่เป็นอะไร จากนั้นก็ถอนหายใจยาว เหวี่ยงสะพายกระเป๋า เปิดประตูหอพัก
“ฟางหมิ่น มันเป็นใคร?” จู่ๆ เสียงของอี้เป่ยซีดังขึ้นจากด้านหลัง ฟางหมิ่นเปิดประตูค้าง สีหน้าลำบากใจ
“เธอก็รู้ตั้งนานแล้วว่าเป็นใคร จะถามฉันทำไม ตอนนี้ฉันจะจากไปแล้ว จะเสียเวลาไปมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว ถ้ามีอะไรรอให้ฉันจากไปก่อนค่อยแก้ก็ไม่สาย คิดซะว่าเป็นของขวัญสำหรับคำขอโทษของเธอก็แล้วกัน” พูดจบก็เปิดประตูจากไปอย่างสง่าผ่าเผย เกรงว่าตัวเองจะตัดขาดได้ไม่ชัดเจนพอ ปิดประตูทันที ก้าวเดินออกไปจากหอพักอย่างผ่อนคลาย
ฟางหมิ่นเดินไปเพียงไม่กี่ก้าว แสงไฟจ้าของรถคันหนึ่งส่องสว่างบนตัวของเธอ เสียงเครื่องยนต์ยังคงดังก้องอยู่ข้างหู ราวกับว่าคาดการณ์ไว้แล้ว ฟางหมิ่นเพียงแค่บังแสง ไม่มีอาการอื่นใด
เสียงรถเบรกกะทันหันนั้นแสบแก้วหูจนทำให้คนรอบข้างต่างอดไม่ไหวที่จะขมวดคิ้ว ฟางหมิ่นเลิกคิ้ว เดินต่อไปข้างหน้า คนที่ลงมาจากรถลากเธอเข้าไปข้างใน ทั้งสองคนแนบชิดติดกันภายในรถที่คับแคบ
“ฉันยังมีงานอะไรที่ทำไม่เสร็จ?”
คนที่อยู่ด้านล่างไม่ได้พูดอะไร ฟางหมิ่นกลับอดไม่ได้จนหัวเราะออกมา “ทำไมล่ะ ตอนนี้อยากเล่นไพ่ความรักงั้นเหรอ กลัวว่าถังเสวี่ยจะทนไม่ได้?”
ยังคงไม่พูดอะไร แต่เธอก็ไม่ได้โมโห เริ่มพูดขึ้นโดยไม่สนใจสิ่งใด “พวกคุณบ้านถังต่างมองคนอื่นเหมือนคนโง่หรือไงกันนะ ตอนแรกก็ฉัน ตอนนี้ก็อี้เป่ยซี มันน่าเบื่อเกินไปแล้วถังเฉิง ถ้าฉันเป็นคุณคงไม่โง่แบบนี้”
“ฟางหมิ่น ขอโทษนะ ถังเสวี่ยเป็นน้องสาวคนเดียวของผม ผมจะให้เขามีอันตรายไม่ได้ แม้ว่าจะซุ่มซ่ามแค่ไหน เขาก็ทำแรงเกินไป”
ไม่รู้ทำไมฟางหมิ่นรู้สึกอารมณ์ดีมาก ความโศกเศร้าที่อดกลั้นไว้ก่อนหน้านี้หายไปจนหมดสิ้น เธอหัวเราะเอ่ย “ถังเฉิง น้องสาวคุณเก่งมากเลยนะ ดูคุณสิถูกเขาเล่นงานจนเป็นแบบนี้ ยังจะทุ่มเทปกป้องเขาขนาดนี้อีก เก่งมาก เก่งมาก”
“ฟางหมิ่น คุณ รู้เรื่องหมดแล้ว?” เสียงสั่นเครืออย่างควบคุมไม่ได้ ฟางหมิ่นพยักหน้า
“ฉะนั้น ตอนนี้พวกเราน่าจะไม่เกี่ยวข้องกันแล้วสินะ ปล่อยฉันได้แล้วยังคุณชายใหญ่ถัง”
เสียงถอนหายใจหลุดออกมาจากลำคอของถังเฉิงโดยไม่มีสัญญาณเตือนล่วงหน้า กดบรรยากาศภายในรถให้ต่ำลง รู้สึกหนักอึ้งและเหนียวตัว “คุณจะไปไหน ผมจะไปส่ง”
“ไม่ต้อง ไม่ต้อง ที่ดีๆ ก็คือที่ที่ไม่มีคุณสองพี่น้อง ที่ที่ไม่มีคุณอยู่คือที่หมายของฉัน”
“ฟางหมิ่น คุณจะ…”
“อะไร?”
“ไม่มีอะไร”
ฟางหมิ่นพยักหน้า “ปล่อยนะ ไม่งั้นฉันจะร้อง”
ทันใดนั้นถังเฉิงก็เหมือนกับเด็กน้อย กอดล็อคตัวเธอแน่น “คุณก็ร้องสิ”
“หึ ถังเฉิง คุณคงยังไม่ลืมนะว่ามีแต่คนของลั่วจื่อหานเต็มไปหมด แค่ฉันร้องคำเดียว ยังไงก็หนีไปได้ แต่ว่าคุณแน่ใจเหรอว่าอยากยั่วโมโหเขา?”
“คุณ…”
“ใช่แล้ว ถ้าไม่ยืมแรงข้างนอก ฉันจะหลุดพ้นจากกรงทองนี้ได้ยังไง ฉันไม่มีปัญญาปลดล็อคได้ซะหน่อย ปล่อยเถอะ คุณชายใหญ่ถัง”
“ไม่ปล่อย ฟางหมิ่นผมชอบคุณ”
“หืม”
“ฟางหมิ่น ผมอยากอยู่กับคุณตลอดไป”
“ฟางหมิ่นพวกเรามาเริ่มต้นใหม่ เหมือนคู่รักคู่อื่นดีไหม?”
“ฟางหมิ่น หรือว่าคุณไม่เคยชอบผมเลย?”
ฟางหมิ่นตอบถังเฉิงเพียง ‘อืม’ คำเดียว สุดท้ายก็สูดหายใจลึก “ถังเฉิง คุณน่าจะเข้าใจว่าอะไรคือเหตุผลที่ฉันอยู่ข้างกายคุณ คุณเริ่มต้นด้วยความละอาย แล้วคุณลงจะเอยอย่างมีความสุขได้ยังไงล่ะ อ่อ จริงสิ ฝากไปบอกประโยคนี้กับน้องสาวของคุณด้วย แต่ไม่รู้ว่ายังจะมีโอกาสหรือเปล่า ปล่อยนะถังเฉิง”
“ห้าปี ฟางหมิ่น ห้าปีแล้ว ต่อให้เป็นก้อนหินก้อนนึง ก็ต้องสะทกสะท้านบ้างสิ”
“ใช่ แต่ว่าคุณน่ะ ทิ้งขว้างหินก้อนนี้เสมอเลย” มือของถังเฉิงผ่อนคลายลงมาบ้าง ฟางหมิ่นดิ้นหลุดทันทีแล้วออกจากรถ “คุณเหมาะกับหยกมากกว่า ก้อนหินอย่างพวกเราจะไม่รบกวนคุณอีกแล้ว” จากไปโดยไม่หันกลับมามองอีก ถังเฉิงจ้องมองประตูรถที่เปิดค้างไว้เนิ่นนาน…
————