บทที่ 117 กลับมาอีกครั้ง (1)
ผ่านไปหนึ่งสัปดาห์ อี้เป่ยซีตัดสินใจไปสัมผัสประสบการณ์ชีวิตด้วยกันกับเซี่ยเช่อ กลับไปที่เมือง B เงียบๆ รถวิ่งอยู่บนทางด่วนโดยไม่มีสิ่งกีดขวาง อี้เป่ยซีมองทิวทัศน์นอกหน้าต่าง ไม่รู้ว่าในใจรู้สึกอย่างไร
“เซี่ยเช่อ นายว่าพวกเขาจะจำฉันได้ไหม?”
“เธอก็ไม่ได้ศัลยกรรมนี่”
“แต่ว่าก็ผ่านมาตั้งหลายปีแล้ว? พวกเขาจะลืมฉันแล้วหรือเปล่า อีกอย่าง ฉันก็โตป่านนี้แล้ว ก็ต้องไม่เหมือนตอนเล็กๆ อยู่แล้ว”
เซี่ยเช่อโยนกระดาษทิชชู่ไปด้านหลัง “เช็ดเหงื่อในมือเธอหน่อยเถอะ”
“นายรู้ด้วยเหรอ?” อี้เป่ยซีคว้ากระดาษทิชชู่ “ไม่รู้ว่าพ่อกับแม่เปลี่ยนไปแค่ไหน ตอนเด็กๆ พ่อหล่อมากเลย แม่ก็สวยมากด้วย เฮ้อ เมื่อไรจะถึงกันแน่นะ”
“ใกล้แล้วๆ ลงทางด่วนก็จะถึงแล้ว”
อี้เป่ยซีพยักหน้า เสียงหัวใจเต้นกลายเป็นเสียงคำราม เธอดื่มน้ำ ใส่หูฟัง พิงพักผ่อนอยู่ข้างหน้าต่าง
ใกล้จะได้เจอจริงๆ แล้ว เธอไม่ได้ฝันไปใช่ไหม
“พวกเราถึงเขตเมืองแล้วยัง?” อี้เป่ยซีมองดูถนนที่คึกคัก กระพริบตาแรงๆ ทั้งรู้สึกหนักอึ้งทั้งผ่อนคลาย “ทำไมถึงเร็วจังเลย พวก พวกเราค่อยไปบ้านฉู่ซ่งพรุ่งนี้เถอะ ฉันรู้สึกว่าวันนี้มันกะทันหันไปหน่อย”
“ไม่ได้กลับบ้านนานเลยตื่นเต้นเหรอ?”
“เปล่า ฉันก็แค่รู้สึกว่า ไม่เจอหน้ากันนาน ส่วนฉันก็จืดชืดแบบนี้ ไม่ดีหรอก ไม่ดีหรอก”
เซี่ยเช่อหันมา “ปกติไม่เห็นเธอใส่ใจแบบนี้ วางใจเถอะ ฉู่ซ่งบอกกับพวกเขาแล้ว ถึงเธอจะขี้เหร่ขนาดนี้ พวกเขาก็ไม่ถือสาหรอก”
อี้เป่ยซีไม่มีกะใจล้อเล่นกับเขา ได้แต่มองค้อน ในใจยังคงรู้สึกอึดอัด เซี่ยเช่อกลับเอ่ย “ตอนนี้ฉันชักจะเข้าใจความรู้สึกของอี้เป่ยเฉินแล้ว เธออย่าลืมซะล่ะ”
เธออึ้งไป พยักหน้า กำลังนึกถึงเวลาที่ได้เจอหน้ากันอีกครั้ง เซี่ยเช่อจอดรถอยู่ในย่านที่พักอาศัยธรรมดาแห่งหนึ่ง “ถึงแล้ว”
“ถึงเร็วจังเลย?”
“นี่ เธอดูสิฉู่ซ่งอยู่ข้างหน้าด้วย”
อี้เป่ยซีกอดกระเป๋าของตัวเอง สูดหายใจลึก เดินลงจากรถ ฉู่ซ่งรีบเดินเข้ามาหาเธอ รับกระเป๋าเดินทางมา “แค่นี้เองเหรอ?” คิ้วผูกกันแน่นมาก “เธอไม่คิดจะ…”
“ฉู่ซ่ง” อี้เป่ยซีรีบตัดบทเขา “ทำกับข้าวแล้วยัง ฉันหิวมากเลย”
“ทำแล้ว กลับบ้านกัน ฉู่เซี่ย”
ฉู่ซ่งยื่นมือออกมา อี้เป่ยซีจ้องมือคู่นั้นครู่หนึ่ง ส่งกระเป๋าให้เขา ยิ้มทะลึ่งตึงตัง หันหลังเดินไปหาเซี่ยเช่อ “ขอบคุณน้า”
“ไว้ฉันจะมารับเธอกลับ ช่วงนี้ไม่ต้องหาฉันนะ ฉันก็มีธุระนิดหน่อย”
“อ๊ะ รู้แล้วๆ ว่านายยุ่ง”
เซี่ยเช่อดีดหน้าผากของเธอ ขับรถจากไป อี้เป่ยซีจึงเดินเคียงข้างฉู่ซ่งเข้าไปในย่านที่พักอาศัยแล้ว
“เอ่อ…แม่ ดีขึ้นบ้างหรือเปล่า?”
เหมือนกับว่าฉู่ซ่งเพิ่งนึกเรื่องนี้ขึ้นมาได้ “อ๋อ แม่เหรอ เขา เขารู้ว่าเธอจะมาก็เลยหายป่วยแล้ว จริงๆ นะ ตอนนี้รอเธออยู่ในบ้านกับพ่อน่ะ”
“อ่อ อย่างนั้นหรอกเหรอ” ทันใดนั้นเธอก็รู้สึกเกรงใจ ยืนอยู่ข้างหลังของฉู่ซ่ง เดินเข้าไปในบ้านด้วยความลังเลและเขินอายเล็กน้อย การตกแต่งบ้านธรรมดามาก รูปถ่ายขนาดใหญ่ที่อยู่ในห้องรับแขกดูเหมือนจะเกะกะเล็กน้อยแต่สะอาดตา เหมือนกับเพิ่งทำความสะอาดไปหยกๆ แม้แต่ให้ความรู้สึกเย่อหยิ่งภายใต้แสงอาทิตย์ที่สาดส่อง
“เซี่ยเซี่ย” เสียงของผู้หญิงมีความตื้นตัน มองใบหน้าของเธอด้วยดวงตาที่พร่ามัวระคนความรู้สึกต่ำต้อยด้อยค่า ต้องการจะเข้าใกล้แต่กลับเข้าใกล้เธอไม่ได้
อี้เป่ยซีมองผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้า กาลเวลาไม่ปล่อยเธอไปง่ายๆ เลย สีหน้าร่วงโรยอย่างเห็นได้ชัด บนหน้าผากและหางตาล้วนมีรอยเหี่ยวย่น ใบหน้ายังคงเป็นรูปไข่สวยงามแต่เค้าโครงกลับหย่อนยานเล็กน้อย หลังจากนั้นชายวัยกลางคนคนหนึ่งเดินมาข้างเธอ ทั้งสองคนแก่ลงกว่าในความทรงจำเยอะมากๆ
ทั้งสามคนยืนเหม่อและรักษาระยะห่าง ไม่มีใครเดินไปข้างหน้า ทุกคนต่างรู้ว่าแม้จะเดินเข้าไปใกล้ก็จะทำให้อีกฝ่ายอึดอัดไร้คำพูด
“พ่อแม่ กินข้าวก่อนเถอะ ฉู่เซี่ยนั่งรถมาตั้งนานคงหิวแล้ว” การเอ่ยปากของฉู่ซ่งทำให้เกิดช่องว่างเล็กๆ ในความชะงักงันนั้น พวกเขาจึงต่างรู้สึกตัว คุณแม่ฉู่รีบเรียกให้ทั้งสามคนไปกินข้าว
อี้เป่ยซียิ้มด้วยความสงบเสงี่ยม ทุกอิริยาบทนั้นเปี่ยมด้วยความเป็นกุลสตรี หลังกินข้าวเสร็จฉู่ซ่งพาเธอไปที่ห้องของเธอ การตกแต่งเป็นไปตามแบบที่เธอชอบ เพียงแต่มันกระจัดกระจายและไม่มีการออกแบบที่มีระเบียบ
ควานหาในกระเป๋า โยนเสื้อผ้าที่ซักสะอาดแล้วไปที่เตียง อี้เป่ยซีหมดแรงอย่างสมบูรณ์ เธอทิ้งตัวลงบนที่นอน พื้นเตียงที่มีความแข็งกดแผ่นหลังของเธอ
ไม่เห็นเหมือนกับที่เธอคิดไว้เลยสักนิด เธอจ้องมองเพดาน สิ่งที่เธอคิดอะไรงั้นเหรอ ก็คือพวกเขาเดินเข้ามาด้วยความตื่นเต้น กอดเธอพร้อมร้องไห้โฮด้วยความเจ็บปวด พูดว่าพอจากกันแล้วก็คิดถึงอีกฝ่ายมากมายเหลือเกิน?
เธอคิดถึงมากหรือเปล่า? คิดถึงจนหลั่งน้ำตาหรือเปล่า?
หรืออาจจะเป็นแบบที่พวกเขามักพูดกันบ่อยๆ ว่าเธอเพียงแค่หมกมุ่นกับความรู้สึกคิดถึงพวกเขาที่ตัวเองสร้างขึ้นมา ฉะนั้นจึงเสียใจเพราะว่าเธอเสียใจ คิดถึงก็เพราะว่าเธอคิดถึง
จนกระทั่งเมื่อได้เจอหน้ากันจริงๆ หากจะร้องไห้ก็ไม่ใช่เป็นเพราะเหตุผลอื่นใดแต่เป็นเพราะเธอเข้าใจในจุดนี้แล้วจริงๆ เธอในตอนนี้รู้สึกอยากร้องไห้ซะเหลือเกิน แต่กลับรู้สึกเหมือนน้ำตาของตัวเองนั้นแห้งเหือด เธอรู้ดีว่าจะร้องอย่างไรก็ร้องไม่ออก
“ฉู่เซี่ย ฉู่เซี่ย” ฉู่ซ่งเคาะประตู ไม่ได้ยินเสียงตอบจากคนข้างในก็เคาะประตูอย่างร้อนรน “ฉู่เซี่ยเธออยู่ข้างในหรือเปล่า?”
“ฉันอยู่ มีอะไร?” เธอยกแขนบังดวงตา น้ำเสียงง่วงนอนมาก
“เธอหลับแล้วเหรอ? ฉันเข้าไปคุยกับเธอได้ไหม?”
“อย่าเลย พรุ่งนี้เถอะ นั่งรถมาตั้งนานหลับไม่สนิทเลย นายไม่ต้องเป็นห่วงฉันหรอก” เสียงของเธอยิ่งเบาลงกว่าเดิมเพราะมีชั้นไม้กั้นกลาง ฉู่ซ่งตั้งใจฟังอย่างมาก จำเป็นต้องจัดระเบียบคำที่เขาได้ยินอย่างแผ่วเบาอีกครั้งจึงจะรู้ว่าเธอพูดอะไร
“ก็ได้ เธอพักผ่อนเยอะๆ”
อี้เป่ยซีชักมือออก มองไปยังห้องน้ำด้านข้าง คว้าเสื้อผ้าของตัวเอง พยุงตัวลุกขึ้นแล้วเดินเข้าไป
เมื่อฉู่ซ่งกลับมาถึงห้องรับแขก สามีภรรยาบ้านฉู่สังเกตอาการเขาอยู่ตลอดเวลา มองเขากรอกน้ำตัวเองอย่างรวดเร็ว แล้วยกหลังมือขึ้นเช็ดปาก
“ต้องเย็นชาขนาดนี้ด้วยเหรอ?”
“ฉู่ซ่ง” คุณแม่ฉู่พูดอย่างจริงใจ “มันผ่านมานานเกินไปแล้ว นานเกินไป ยิ่งไปกว่านั้นเขาไม่ใช่ของพวกตั้งแต่แรก ต่อให้ยังรักก็ถูกเรื่องราวพวกนั้นทำลายไปเมื่อหลายปีก่อนแล้ว ตอนนี้เขาคืออี้เป่ยซี ประโยคนี้แม้จะไม่อยากจะยอมรับแต่มันก็ถูกตราบนหน้าอกของแม่กับแม่ของเธอแล้ว ไม่ใช่ว่าวันนี้เจอกัน อยู่ด้วยกันแค่ไม่กี่วันแล้วจะเปลี่ยนแปลงได้”
“เขาไม่ใช่อี้เป่ยซี เขาก็คือฉู่เซี่ย ลูกสาวของพ่อกับแม่ พี่สาวของผมฉู่เซี่ย เหมือนเมื่อก่อน มันยากตรงไหน?”
“พวกเราไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว เธอก็ไม่เหมือนเดิมแล้ว มันจะเหมือนเมื่อก่อนได้ยังไง”
ฉู่ซ่งต้องการพูดอะไรบางอย่าง ได้แต่บีบแก้วแน่นด้วยความโมโหและไร้เรี่ยวแรง ข้อมือเปลี่ยนเป็นสีขาวจางๆ ผ่านไปสักพักจึงถอนหายใจ ระคนด้วยรสชาติและสีแห่งความมืดมน
————