บทที่ 116 เพื่อเป้าหมายอันชั่วร้าย (8)
อี้เป่ยซีพลิกตัวไปมาอยู่บนเตียง ไม่มีความรู้สึกง่วงเลย เธอเปิดเครื่องปรับอากาศ ปรับอุณหภูมิต่ำสุด นั่งอยู่บนเตียงโดยมีผ้าห่มพันรอบตัวเอง หันหน้าไปทางหน้าต่าง
‘แสงแรกของวันใหม่ที่นายเคยพูดถึงก่อนหน้านี้มันมีจริงเหรอ? หรือว่านายเป็นเพียงแค่ เครื่องจับเวลาโบราณที่ส่งเสียงยามค่ำคืน ลั่วจื่อหานเอ๊ย ลั่วจื่อหาน ตกลงว่ามันเป็นไปได้หรือเป็นไปไม่ได้กันแน่’
ลั่วจื่อหานกลับมาที่ออฟฟิศก็เริ่มทำงานไม่หยุด นวดคลึงขมับ ราวกับว่ามีบางอย่างรบกวนจิตใจ เขายกหูโทรศัพท์ “เรื่องที่คุยก่อนหน้านี้ เลื่อนการเตรียมการออกไปก่อนเถอะ”
“ครับประธานลั่ว”
เขาพิงเก้าอี้ หมุนเอียงเก้าอี้เล็กน้อย มองไปยังหน้าต่าง
‘เป่ยซี อี้เป่ยซี ฉู่เซี่ย เซี่ยเซี่ย’ เขายิ้มแล้วส่ายหน้า จากนั้นก็ขลุกอยู่กับเอกสารบนโต๊ะต่อ
โทรศัพท์ข้างๆ ดังขึ้นอย่างบ้าคลั่ง ลั่วจื่อหานกดๆ คิ้ว “ฮัลโหล แม่”
“วันนี้วันเกิดน้องสาวลูก ลูกไม่คิดจะกลับบ้านหรือไง”
“แม่ งานที่บริษัทยังจัดการไม่เสร็จเลย เดี๋ยวผมก็จะกลับแล้ว”
“จื่อหาน ลูกลืมไปเหรอ จื่อเซี่ยน่ะเป็น…”
“แม่ ผมรู้แล้ว”
“ลูกสนิทกับอี้เป่ยซีมากเหรอ?”
ลั่วจื่อหานปิดฝาปากกา “จื่อเซี่ยบอกเหรอ”
“ลูกกำลังทำอะไรแม่ของลูกคนนี้ก็ถามไม่ได้งั้นเหรอ? อี้เป่ยซีเคยเป็นคู่หมั้นของลู่เยี่ยหวาไม่ใช่เหรอ ทำไมถึงมาอยู่กับลูกได้ล่ะ ลูกกำลังทำอะไรอยู่ อยากช่วยบ้านลู่แก้แค้นเหรอไง?”
“เรื่องของผม แม่ไม่ต้องเป็นห่วง”
“ลูกก็ยี่สิบแปดแล้ว ไม่ให้แม่ห่วงได้ยังไง?”
เขาถอนหายใจ “ยี่สิบแปดก็จะไม่เกี่ยวอะไรกับจื่อเซี่ย แม่ครับ ไว้ผมจะพาเขาไปเจอแม่”
“ถ้าหากเป็นอี้เป่ยซีล่ะก็ ลูกตัดใจซะเถอะ ผู้หญิงประเภทนี้ พวกเราบ้านลั่วรับไม่ได้ ลูกรีบกลับบ้านมาเดี๋ยวนี้”
“ครับๆๆ รู้แล้ว สองทุ่มผมก็กลับไปแล้ว เดี๋ยวยังมีประชุมอีก” พูดจบวางสายทันที ความสัมพันธ์ของแม่สามีดูเหมือนจะขัดแย้งกันซะแล้ว
อี้เป่ยซีไม่ได้โทรหาลั่วจื่อหานติดต่อกันหลายวัน และพยายามไม่ให้ตัวเองไปคิดเรื่องพวกนี้ ว่างๆ ก็ออกไปเดินเล่น ดูโน่นนี่นั่นกับคุณแม่อี้ วันเวลาไร้สาระที่คุยเล่นหยอกล้อกันก็ไหลผ่านไปราวกับสายน้ำ
เธอนอนอยู่บนเตียง จู่ๆ รู้สึกเหมือนว่าช่วงนี้ละเลยอะไรบางอย่างไป แต่นึกอย่างไรก็นึกไม่ออก ‘ละทิ้งอะไรไปกันแน่นะ’ จนกระทั่งเมื่อฉู่ซ่งโทรมาหา ตำหนิติเตียนเธอด้วยเสียงสะอื้น ราวกับว่าตัวเองเป็นเด็กที่น่าสงสารที่สุด และเธอก็เป็นพ่อแม่ที่ใจร้ายใจดำที่สุด
“ฉันบอกกับนายแล้วว่าออกไปไม่ได้ ออกไปไม่ได้ อัยยา นายหยุดแกล้งร้องไห้ได้แล้ว”
“ฉันอยู่ข้างล่างบ้านเธอ”
“นาย นายมาทำอะไร ฉันบอกนายแล้วไม่ใช่เหรอ…ฮัลโหล ฉู่ซ่ง นาย…” เธอมองโทรศัพท์มือถืออย่างเหลือเชื่อ “นี่มันอะไรกัน ทำไมพวกนายถึงก่อเรื่องให้ฉันอยู่เรื่อยเลยนะ” เธอโยนโทรศัพท์มือถือไปบนเตียง รีบวิ่งลงไป ฉู่ซ่งนั่งอยู่บนโซฟาในห้องรับแขกแล้ว ยิ้มให้เธอ รับน้ำที่คุณแม่อี้ส่งมาให้
“คุณแม่อี้” เธอไม่อยากจะเชื่อภาพของความสามัคคีกลมเกลียวกันตรงหน้า “ฉู่ซ่ง”
“เป่ยซี พวกเธอคุยกันก่อน แม่จะไปเก็บของ ฉู่ซ่ง จะอยู่กินข้าวด้วยกันไหม?”
“ขอบคุณครับคุณน้า คุณน้าใจดีจังเลย”
“เฮ้อ โอเคๆๆ” พูดพลางก็หัวเราะแล้วออกจากห้องรับแขกไป อี้เป่ยซีเดินเข้ามาหาเขาด้วยสีหน้างงงวย
“นายไปทำอะไรไว้? สาริกาลิ้นทอง?”
เขาส่ายหน้า “ใช้สมองต่างหาก ใช่ว่าทุกคนจะเหมือนกับอี้เป่ยเฉินสักหน่อย คิดว่าทุกคนคือศัตรู คุณน้าอี้ยังค่อยมีเหตุผลหน่อย”
“นายพอใจแล้วสิ กินเสร็จก็รีบกลับไปได้แล้ว อย่ามาก่อเรื่องอีก”
“ฉู่เซี่ย เธอไม่รู้เหรอ ที่จริงพวกเขาชอบฉันมากนะ”
เธอมองค้อนฉู่ซ่ง “นายเอาความมั่นใจมาจากไหน”
“ก็มั่นใจแบบนี้แหละ ความมั่นใจมันมาจากไอคิวของฉัน เธอไม่มีเจ้าสิ่งนี้” เขาดื่มน้ำ วางแก้วลงบนโต๊ะ “ต้นไม้เหล็กก็ออกดอกได้ ยิ่งไปกว่านั้นคนอย่างฉันนี่แหละที่จะช่วยต้นไม้เหล็กของเธอได้”
“หมายความว่ายังไง?”
“ฉันกับอี้เป่ยเฉินทำโครงการร่วมกัน เขาทำดีกับเธอ เธอมองไม่ออกเหรอ? ครั้งนี้เขาก็เป็นคนแอบชวนฉันมา”
“หืม?”
ฉู่ซ่งส่ายหน้า “เดิมทีฉันไม่อยากบอกเธอหรอก เพราะแบบนี้เธอจะได้ไม่ต้องลำบากใจกับระยะห่างของคนสองคน แต่ฉันรู้สึกว่าไม่พูดไม่ได้ พวกเขาทำอะไรไว้ เธอก็ควรจะรู้ แบบนี้จะได้ยุติธรรมถูกไหม?”
อี้เป่ยซีหยุดมองหน้าของเขา ในสมองสับสน “จริงเหรอ?”
“ใช่สิ ยังมีอีกนะ” เขาลังเลอย่างเห็นได้ชัด “แม่ป่วยน่ะ เธอมีเวลากลับไปหรือเปล่า?”
“เขา เรียกให้ฉันกลับไป?”
ฉู่ซ่งกระแอมไอ “ใช่ ใช่สิ เขาให้เธอกลับไป ที่จริง แม่กับพ่อคิดถึงเธอมากนะ”
ดวงตาของอี้เป่ยซีเป็นประกาย กุมมือของเขาด้วยความตื้นตัน “จริง จริงเหรอ?”
“อือ จริงสิ เธอ กลับไปได้ไหม?”
“ได้สิ ได้สิได้อยู่แล้ว ฉันจะจากไปอย่างเงียบๆ ไม่ได้เอาอะไรไปด้วย ไม่มีใครรู้หรอก ทำไมจะไม่ได้ล่ะ”
ฉู่ซ่งหัวเราะแห้งๆ “แบบนี้จะดีเหรอ?”
“อืม ก็บอกว่าฉันออกไปเที่ยว ไม่เป็นไรหรอก”
เขาพยักหน้า แอบกัดฟัน ลั่วจื่อหานเข้าใจเธอดีจริงๆ แต่ว่า ถ้าหากเธอไม่ได้เห็นภาพการพบหน้ากันอีกครั้งแบบที่เธอตั้งตาคอย แน่นอนว่าจะต้องผิดหวังมากสินะ
‘คิดถึงเธอไหม? พวกเขาจะคิดถึงเธอหรือเปล่า ต่อให้คิดถึงเธอมากแล้วอยากเจอเธอหรือเปล่า’ แม้แต่ตัวเขาเองก็ไม่แน่ใจ
‘ช่างเถอะ วันนี้กลับไปถามก็แล้วกัน แม้ว่าไม่อยากเจอ ก็เสแสร้งสักนิดก็ได้’
‘รู้งี้ไม่รับปากลั่วจื่อหานหรอก’ เขาถอนหายใจ
“นายไม่ดีใจที่ฉันกลับไปเหรอ?”
“เปล่า จะเป็นไปได้ยังไง ฉันแค่กำลังคิดว่า กลับบ้านทางไหนจะเร็วกว่ากัน”
“ตอนนี้ฉันอยากเก็บของจนแทบทนไม่ไหวแล้ว” ดีใจจนเหมือนกับจะกระโดดโลดเต้น
อี้เป่ยเฉินเข้ามาเห็นอี้เป่ยซียิ้มสดใส อารมณ์ก็ดีขึ้นมามาก เดินเข้าไปหา “คุยอะไรกันดีใจขนาดนี้”
“พี่คะ ขอบคุณมาก” อี้เป่ยซีเดินเข้าไปกอดเขา สูดหายใจลึก “ขอบคุณพี่มากจริงๆ”
เขาเป็นเหมือนทุกครั้ง ลูบหัวของเธออย่างเอ็นดู “เด็กโง่”
“โดนพี่หลอกซะแล้ว”
ฉู่ซ่งเห็นท่าทางของสองคนที่คลอเคลียกัน มุมปากก็ยกยิ้ม ได้ยินเสียงของอี้เป่ยซี เขารู้ว่าตอนนี้เธอรู้ทางเลือกของตัวเองอย่างชัดเจน ชัดเจนกว่าในจินตนาการของตัวเองเสียอีก
‘ลั่วจื่อหานก็ควรขอบคุณเขา’ ฉู่ซ่งคิดในใจ เห็นทั้งสองคนกอดกันเนิ่นนาน ไอเบาๆ “ประธานอี้”
อี้เป่ยซีปล่อยมือแล้วเดินไปอีกทาง รินน้ำชาให้อี้เป่ยเฉินแก้วหนึ่ง ทั้งสามคนนั่งอยู่บนโซฟาด้วยกัน ไม่ทันรู้ตัวก็พูดคุยกันเป็นชั่วโมงแล้ว อี้เป่ยซีพิงพนัก ฟังฉู่ซ่งกับอี้เป่ยเฉินแซวเรื่องเธอตอนเด็กๆ อย่างอารมณ์ดีเป็นที่สุด
“จะมากเกินไปแล้ว หยุดพูดได้แล้ว”
“ยังมีที่ฉันไม่ได้เล่าอีกนะ”
“สมองเท่าเมล็ดถั่วอย่างนายจะจำได้แค่ไหนเชียว ฉันยังไม่รู้เรื่องพวกนี้เลย”
“แกล้งล่ะสิ”
————