บทที่ 132 เรื่องกวนใจรอบสอง (1)
ลั่วจื่อหานพาอี้เป่ยซีเที่ยวชมสถานที่ท่องเที่ยวสองสามที่ในเขตชานเมือง อยู่ที่นี่มาครึ่งการปิดภาคเรียนแล้ว รวมทั้งคุณแม่อี้ยังทิ้งระเบิดใส่เธอทุกวัน อี้เป่ยซีจึงอยากจะกลับแล้ว แต่เนื่องด้วยลั่วจื่อหานอยากอยู่ด้วยกันกับคุณปู่ของเขา จึงไม่กล้าเอ่ยปาก มีครั้งหนึ่งขณะที่ทั้งสองคนที่เดินเล่นอยู่ในป่า อี้เป่ยซีจึงกล่าวเจื่อนๆ
“คือว่า ใกล้ถึงวันเกิดของคุณแม่อี้แล้ว ฉัน ก่อนหน้านี้เขายังโทรมาหาฉันบ่อยๆ…”
ลั่วจื่อหานเข้าใจความหมายในคำพูดของอี้เป่ยซี แม้จะอาลัยอาวรณ์เวลาที่ใช้ร่วมกันที่นี่มาก ดึงเธอเข้ามากอด “ฉันจะกลับไปกับเธอ ก็ควรเจอผู้ใหญ่แล้วเหมือนกัน”
“พูดอะไรน่ะ” อี้เป่ยซีอดไม่ได้ที่จะหน้าแดง ดิ้นรนออกมาจากอ้อมกอดของเขา “ฉัน ฉันยังไม่ได้รับปากว่าจะเป็นแฟนนายสักหน่อย ฉันก็แค่ยกโทษให้นายแค่นั้น นายอย่าได้คืบแล้วจะเอาศอกนะ”
ลั่วจื่อหานหัวเราะ เข้าใกล้เธออีก “ไม่ยอมเป็นแฟนฉันเหรอ?”
“ก็ ก็ใช่สิ นายยัง ไม่ได้จีบฉันเลย ฉันอยู่กับนายแบบนี้ก็ตามใจมากแล้ว เอ่อ ไม่คุยเรื่องนี้แล้ว พวกเราจะไปกันเมื่อไร?”
เขาดึงเธอเข้ามากอด อี้เป่ยซีไม่ได้คาดหวังกิริยาของเขา ดวงตาเบิกกว้างไม่รู้ว่าต้องทำตัวอย่างไร จากนั้นก็ได้ยินเสียงทุ้มต่ำของลั่วจื่อหาน “ก็ได้ ฉันจะจีบเธอ จะจีบเธอจนกว่าเธอจะหันมาจับมือของฉัน”
“หึ งั้นต้องดูการกระทำนาย ฉันไม่ใช่คนที่จีบง่ายๆ หรอกนะ”
“อืม งั้นตอนนี้เธอก็หนีสิ”
“นายกอดฉันแบบนี้จะหนียังไง?”
ลั่วจื่อหานไม่ได้พูดอะไรเนิ่นนาน จนกระทั่งอี้เป่ยซีขยับตัวในอ้อมแขนของเขา เขาจึงพูดขึ้นช้าๆ “ไม่ปล่อยได้หรือเปล่า”
ลั่วจื่อหานในสายตาของอี้เป่ยซีเป็นคนที่เย่อหยิ่งเสมอ แข็งแกร่งยากที่จะเอาชนะ ราวกับว่าไม่มีอะไรที่แตะต้องเขาได้ เมื่อได้ยินน้ำเสียงที่เจ็บปวดของเขาแบบนี้แล้ว อี้เป่ยซีอดไม่ได้ที่จะรู้สึกระคายเคืองตา เธอก็กอดลั่วจื่อหานแน่นเช่นกัน “ขอโทษนะ”
“ไม่ต้องขอโทษหรอก เป่ยซี เธอที่เป็นแบบนี้ดีมากแล้ว ดีมากจริงๆ ฉันมีความสุขมาก และชอบมากด้วย” เขาจ้องมองใบหน้าของอี้เป่ยซี จูบริมฝีปากของเธอด้วยความลึกซึ้ง
เช้าวันรุ่งขึ้น อี้เป่ยซีเก็บกระเป๋าเสร็จแล้ว ส่งของให้ลั่วจื่อหานแล้วไปนั่งที่เบาะข้างคนขับด้วยความผ่อนคลายเป็นอย่างมาก พอลั่วจื่อหานจัดของเข้าที่แล้ว ก็พูดกับเซี่ยเช่อสองสามคำ เซี่ยเช่อส่งเขาจากไปด้วยรอยยิ้ม เป็นห่วงที่พวกเขาต้องไปกะทันหัน อี้เป่ยซีเกาะหน้าต่าง มองพวกเขา
“เป็นอะไรไป?” ลั่วจื่อหานยืนตรงหน้าเธอ จิ้มๆ หน้าของเธอ
“นายดูท่าทางคางคกขึ้นวอของเซี่ยเช่อสิ รู้งี้ฉันอยู่ต่ออีกหน่อยดีกว่า อยู่ขวางหูขางตาพวกเขาสองคน พลาดซะแล้ว” อี้เป่ยซีส่ายหัวแล้วนั่งตัวตรง ลั่วจื่อหานเดินอ้อมหน้ารถไปยังที่นั่งคนขับ สตาร์ทรถ หายไปในภูเขาอย่างรวดเร็ว
อี้เป่ยซีมองดูทิวทัศน์ที่เคลื่อนตัวไปข้างหลังตลอดเวลา ในใจรู้สึกอาลัยอาวรณ์
“ไม่อยากจากไปเหรอ?”
“ที่นี่เยี่ยมมากจริงๆ นายเลือกสถานที่เก่งมาก”
เขาไม่สามารถปฏิเสธได้ เปิดเครื่องเสียงรถยนต์ เสียงทุ้มต่ำของผู้ชายดังขึ้นภายในรถ อี้เป่ยซีมองลั่วจื่อหานอย่างเหลือเชื่อ “นาย บันทึกเสียงใหม่เหรอ?”
“อืม ต่อไปเธอก็ฟังเพลงนี้เถอะ”
เธอยิ้มสดใส “อืม มู่ลี่ไป๋นี่รั้งนายไว้จริงๆ นายร้องคนเดียวเพราะว่าร้องคู่ซะอีก”
ได้รับคำชมของเธอ ลั่วจื่อหานยิ้มโดยไม่รู้ตัวแล้ว “เป่ยซี เขียนเพลงให้ฉันได้หรือเปล่า”
เธอผงกหัวหงึกๆ ในแววตามีรอยยิ้มสดใสดุจคริสตัลและโลกทั้งใบของเขา
“งั้นนายร้องให้ฉันฟังได้คนเดียวเท่านั้น”
“ได้”
เมื่อกลับมาถึงเขตเมือง B ลั่วจื่อหานจึงให้ผู้ช่วยจองตั๋วเครื่องบินกลับเมือง A ในอีกสองวัน จากนั้นก็ส่งอี้เป่ยซีไปที่บ้านของฉู่ซ่ง
ขณะนี้รถได้มาถึงใต้ตึกของเขตเล็กๆ แล้ว
“ฉันส่งเธอขึ้นไปเถอะ” ลั่วจื่อหานรับสัมภาระมาจากมือของอี้เป่ยซี เธอเงยหน้าขึ้นยิ้มให้เขา
“ไม่อยากให้ฉันไปเหรอ?”
“ใช่” เขาพยักหน้า ดึงอี้เป่ยซีเดินเข้าไปในตึก ไปถึงตำแหน่งของบ้านฉู่ซ่งด้วยความชำนาญทาง กดกริ่งประตู ไม่นานฉู่ซ่งก็เดินออกมา
“ฉู่เซี่ย เธอไม่เป็นไรแล้วนะ” ฉู่ซ่งดึงอี้เป่ยซีมา หมุนรอบตัวเธอสองสามที แล้วจ้องหน้าเธอสักพัก จึงสบายใจลงมาบ้าง “ดูท่าทางจะไม่เป็นไรแล้ว”
“ขอโทษนะ ทำให้นายเป็นห่วงแล้ว พ่อกับแม่เขา…”
ฉู่ซ่งเหลือบมองลั่วจื่อหาน รับกระเป๋าของอี้เป่ยซีมา “พวกเขาไม่รู้เรื่องนี้ เธอดูแลแขกให้ดี ฉันจะเอากระเป๋าเธอไปเก็บ” เขาจงใจเน้นหนักคำว่า ‘แขก’ มาก อี้เป่ยซีมองลั่วจื่อหาน คนที่อยู่ข้างหลังยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ ราวกับว่าไม่ได้สนใจมาก
“ฉู่ซ่งเขาแคร์ฉันมาก นายอย่าเอามาใส่ใจเลยนะ”
ลั่วจื่อหานส่ายหน้า “ฉันโชคดีมากแล้วเป่ยซี โชคดีที่เธอยกโทษให้ฉัน ตอนนั้นขอโทษนะ”
“อืม ที่จริงมันก็ไม่…มันผ่านไปแล้ว ก็ไม่มีใครสูญเสียอะไรไม่ใช่เหรอ นายก็อย่าเอามาใส่ใจให้มากเลย” ลั่วจื่อหานเดินเข้าไปกอดอี้เป่ยซี พยักหน้า เธอยิ้มพร้อมเข้าใกล้อ้อมอกเขา ราวกับเด็กสาวตัวน้อยผู้มีความสุข
ลั่วจื่อหาน ฉันเคยพูดหรือเปล่าว่าที่จริงฉันก็โชคดีมากที่ได้เจอกับนาย นายคือคนที่คุ้มค่าแก่ความรักและการรักษาไว้จริงๆ ขอโทษนะที่ก่อนหน้านี้ทำเรื่องโง่ๆ มากมาย ต่อไปพวกเราจะเดินไปด้วยกันได้หรือเปล่า?
เดินอยู่ใต้แสงอาทิตย์ด้วยกัน ดูนายวาดรูปอยู่ข้างๆ ฟังนายร้องเพลง ได้มองดูนายแบบนี้ตลอดไปฉันก็จะพอใจมาก ลั่วจื่อหาน ขอบคุณนายนะที่แม้ฉันจะทำผิดมากมาย แต่นายก็ยังเต็มใจชอบฉันด้วยใจจริง
ฉันก็ชอบนายมากนะ
ขอบคุณที่นายเดินมาสุดทาง ขอบคุณที่ทำให้ฉันเพียงแค่หันมาก็กอดนายได้ ลั่วจื่อหาน ขอบคุณที่นายชอบฉัน
“แค่ก” เสียงไอดึงเอาอี้เป่ยซีออกมาจากความคิดของตัวเอง ผลักๆ ลั่วจื่อหาน เขาปล่อยเด็กสาวในอ้อมอกไปอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก สีหน้าของฉู่ซ่งดุเล็กน้อย “พอได้แล้ว พี่ยุ่งมากไม่ใช่เหรอ ไปทำงานของพี่ได้แล้ว พี่สาวของผมผมดูแลเองได้”
ลั่วจื่อหานไม่ได้ถือสาเขา พยักหน้าอย่างเชื่อฟัง ก่อนจะออกไปก็พูดกับฉู่ซ่งหนึ่งประโยค “วันนี้เขาอยากกินปลาเปรี้ยวหวาน” พูดจบก็จากไปอย่างสง่างาม ฉู่ซ่งโมโหจนอยากกระทืบเท้า
‘คนอะไร เขาอยากกินอะไรฉันถามเองได้ ใครให้นายปากมากกัน’
‘ทำไมถึงไม่มีความรู้สึกสำนึกผิดเลย แล้วก็คนนี้อีก ยกโทษให้เขาทั้งอย่างนี้เลยเหรอ?’
“เธออยากกินอะไร?” ได้ยินคำพูดที่แข็งกระด้างของฉู่ซ่ง อี้เป่ยซีรู้ว่าฉู่ซ่งยังโกรธเรื่องของตัวเอง “ฉันอยากกินปลา…” เธอเห็นดวงตาที่ลุกเป็นไฟของฉู่ซ่ง รีบเปลี่ยนคำพูด “อยากกินซี่โครง ตุ๋นซี่โครง เปรี้ยวหวานอะไรนั่นเกลียดจะตายไป ไม่เหมาะกับรสนิยมอ่อนๆ ของฉันเลยสักนิด”
ฉู่ซ่งจึงหรี่ตายิ้มด้วยความอ่อนโยน “ได้เลย เดี๋ยวฉันจะทำให้เธอกิน”
“ดีๆๆ นายไม่รู้อะไรฉันคิดถึงอาหารที่นายทำมาก นอนไม่หลับทั้งคืน…” อี้เป่ยซีพูดเอาอกเอาใจอยู่ข้างๆ เขา
————