บทที่ 142 เรื่องกวนใจรอบสอง (11)
อี้เป่ยซีขังตัวเองอยู่ในห้องยาวนาน เริ่มรวบรวมหลักฐานของตัวเอง คุณแม่อี้กับอี้เป่ยเฉินต่างกลับมาดูเธอเป็นครั้งคราว กลัวว่าเรื่องพวกนี้จะส่งผลกระทบต่อจิตใจของเธอ
เมื่อเรื่องนี้สะสมมาถึงวันที่สาม อี้เป่ยซีจึงค่อยๆ ปล่อยของที่ตัวเองรวบรวมได้ออกไป
โดยเริ่มจากเรื่องการคัดลอดบทความก่อน เธอพบที่มาของบทความทั้งหมดของเธอ รวมถึงสถานที่เรียนรู้และชี้แจงให้เห็นทีละอย่าง บางครั้งคุณไม่เคยเห็นว่าเธอใช้มัน ถ้าเช่นนั้นสิ่งนี้ก็เป็นของเธอสิ หรือไม่ก็อาจเคยมีเนื้อหาที่คล้ายคลึงกันเมื่อหลายร้อยปีก่อนก็ได้นะ
เธอก็ได้หาเวลาที่ตีพิมพ์บทความของตัวเอง รวมถึงเวลาที่ผู้ถูกกล่าวหาตีพิมพ์บทความ
นี่มันน่าสนใจมากๆ ฉันได้คัดลอกผลงานจากอนาคต ฉันก็ชื่นชมความสามารถของตัวเองมากเหลือเกิน
เธอยังถ่ายภาพหน้าจอจากบทสนทนากับคนจำนวนหนึ่ง
แบบนี้พอจะทำให้พวกคุณเข้าใจได้บ้างหรือยังว่าใครพูดจาเหลวไหลกันแน่…
จากนั้นก็ปิดคอมพิวเตอร์โดยไม่พูดจาสักคำ ล้มตัวลงบนเตียงแล้วเข้าสู่ความฝัน
เรื่องแบบนี้มันเหนื่อยเกินไปแล้ว ก่อนหน้านี้ทำไมถึงไม่รู้เลยว่าตัวเองเขียนอะไรมากมายขนาดนั้น เธอส่ายหัว กอดหมอนของตัวเองแล้วผล็อยหลับไป
เธอบังคับตัวเองว่าอย่าไปใส่ใจอีก ให้แก้ไขสิ่งที่ตัวเองเขียนก่อนหน้านี้อย่างสบายใจ สุดท้ายก็ตัดสินใจว่าจะส่งให้กับบรรณาธิการทั้งหมด ครั้งเดียวก็น่าจะผ่านล่ะมั้ง เธอคิด แต่ทำอย่างก็ยิ้มไม่ออก เอาเถอะต้องพูดว่าเรื่องนี้มันทำให้ลำบากใจจริงๆ
เธอลบมันซ้ำแล้วซ้ำอีก ทิ้งชิ้นงานไปแล้วก็หยิบมันขึ้นมาใหม่อีก ถูกคนปฏิเสธอย่างต่อเนื่องแบบนี้ ถ้าบอกว่าไม่เสียใจ เธอเองก็ยังไม่เชื่อ แต่ว่าทำไมจู่ๆ ถึงเกิดเรื่องแบบนี้ได้ล่ะ อีกอย่างยังกัดเพลงใหม่ของเธอไม่ปล่อยด้วย มันมีปัญหาตรงไหนกันนะ
หรือว่าจะเป็นฝีมือคนของเฟิงอู่? เธอคงไม่มีอำนาจขนาดนี้ งั้นจะเป็นใครได้ล่ะ คนที่ไม่ต้องการเห็นเธอราบรื่นที่สุด
เธออยู่ในวงการนี้ ทำตัวโดดเด่นน้อยที่สุดจนไม่รู้จะน้อยอย่างไรแล้ว นับประสาอะไรที่จะไปผิดใจกับคนอื่นล่ะ มันคือความเกลียดชังในชีวิตจริงต่างหาก
ไม่ ไม่จริงมั้ง แต่ว่าคนพวกนั้นที่เกลียดเธอไม่น่าจะรู้ว่าเธอยังมีโลกเสมือนอยู่ในวงการนี้นี่นา
เธอส่ายหน้า ช่างเถอะ คิดว่าก็จะสามารถผ่านเรื่องนี้ไปได้ ต่อไปเธอก็ระวังตัวหน่อยก็แล้วกัน
ขณะที่อี้เป่ยซีเปิดดูหน้าเว็บอีกครั้ง ก็พบว่าเรื่องการคัดลอกของหลิงซีไม่ได้เป็นประเด็นร้อนอีกต่อไปแล้ว แต่มีเรื่องวุ่นวายใหม่เข้ามาแทนที่
พวกคุณเอาจินตนาการมากมายขนาดนี้มาจากที่ไหนกัน อี้เป่ยซีรู้สึกว่ามีบาดแผลจากความหดหู่อยู่ที่หน้าอกของตัวเอง คิดๆ ดูแล้วก็ช่างมันเถอะ มันเป็นเพียงข้อกล่าวหวเลื่อนลอยเท่านั้น พวกเขาก็หาหลักฐานอะไรไม่ได้ เธอจะเก็บเอามาใส่ใจทำไม
ในขณะที่เธอนึกว่าจะสงบได้แล้ว จู่ๆ ก็มีเพื่อนสนิทในวงการที่โผล่มาป้ายยาให้กับทุกคน
ใช่สิ เธอเขียนเก่ง แค่มีพรสวรรค์นิดหน่อยแล้วยังไงเหรอ ก็ยังเป็นคนที่นิสัยห่วยๆ คนหนึ่ง
คนที่เรียกตัวเองว่า หนึ่งสิบสามได้ตัดบันทึกการสนทนาของหลิงซีกับคนอื่นๆ ออกมา แล้วใส่เรื่องราวของอี้เป่ยซีลงไป
คนนี้รู้เรื่องของเธอได้อย่างไร มือของอี้เป่ยซีสั่นเล็กน้อย เม้าส์ไหลลื่นลงใต้โต๊ะทันทีตามมือของเธอ นี่เป็นฝีมือใครกันแน่!
เธออ่านาข้อกล่าวหาบนเว็บ ดวงตาแดงก่ำอย่างช่วยไม่ได้
ใช่ มันเป็นความผิดของเธอเอง เป็นความผิดของเธอทั้งหมดโอเคไหม พวกเธอไม่ต้องพูดอีกแล้ว
เพราะเธออี้เป่ยซีทำให้ลู่เยี่ยหวาตาย เธอทำให้เขาตาย พวกเธอพอใจกันแล้วสินะ
อย่าพูดอีกเลย อย่าพูดอีกเลย
“อย่าพูดอีกเลย” อี้เป่ยซีคำรามออกมา ทิ้งทุกอย่างบนโต๊ะลงกับพื้น
“เป็นเพราะฉัน ฉะนั้นทั้งชีวิตนี้ของฉันต้องเป็นเหมือนเขาเท่านั้น มีแค่ขาวดำใช่ไหม เหมือนกับนักบวช ทำอะไรก็ไม่ได้ ห้ามหัวเราะ ห้ามมีความสุข ห้ามดีใจ ต้องใช้ชีวิตอยู่ในความผิดทุกวัน ต้องถูกทุกคนด่าทอ”
“พวกเธอจะเอายังไงกันแน่ จะเอายังไงกันแน่นะ” อี้เป่ยซีร่วงลงมาจากเกาอี้ ราวกับได้สูญเสียวิญญาณไป มองดูข้าวของที่ระเกะระกะบนพื้น แม้จะมีคนเดินมาข้างหลังเธอก็ยังไม่รู้ตัว
“เป่ยซี” อี้เป่ยซีได้ยินเสียง พุ่งเข้าไปในอ้อมกอดของเขาทันที สะอื้นไม่หยุด
“ลั่วจื่อหาน ลั่วจื่อหาน นี่ฉันมัน…”
“ไม่ใช่เป่ยซี พวกเขาไม่รู้ว่าอะไรคือความจริงๆ เธอจะต้องมีความสุข เพราะว่านี่คือความปรารถนาทั้งหมดของลู่เยี่ยหวา เธออย่าปล่อยให้พวกเขามีผลกระทบสิเป่ยซี”
“แต่ว่า ลั่วจื่อหาน ฉันทรมานจริงๆ นะ เวลาที่ฉันนึกถึงเขากับฉัน”
แขนของลั่วจื่อหานกอดแน่น “เป่ยซีร้องเถอะ ร้องออกมา ทรมานก็ร้องออกมา ฉันอยู่นี่ ฉันอยู่นี่”
ได้ยินดังนี้ อี้เป่ยซีก็ปล่อยโฮอย่างควบคุมไม่ได้ ลั่วจื่อหานก็กอดเธอกึ่งคุกเข่าอยู่แบบนี้ จนกระทั่งคนในอ้อมแขนร้องไห้จนไม่มีเสียงแล้ว ก็ค่อยๆ ผล็อยหลับไป
เขาอุ้มเธอขึ้นมาจากพื้น วางลงบนเตียง ใช้ผ้าขนหนูเปียกเช็ดใบหน้าของเธออย่างระมัดระวัง
“เป่ยซี ตอนนี้เธอเดินออกมาได้แล้ว อย่าถูกดึงกลับเข้าไปอีกสิ โอเคไหม?” เขาจูบหน้าผากของเธอ ห่มผ้าให้เธออย่างดี ลุกขึ้นจากไป
ผู้คนยังคงถกเถียงกันเรื่องนี้ อี้เป่ยซีไม่มีกะใจไปที่จะไปคิดถึงเรื่องนี้อีก ร่างกายเธอไม่มีพลังเลย การเดินก็ยังล่องลอย บางทีเธอนั่งอยู่บนโซฟาคนเดียว เหม่อมองนอกหน้าต่างเพียงลำพัง คุณแม่อี้คอยอยู่ข้างๆ เธอไม่ห่าง กลัวว่าอี้เป่ยซีจะเกิดเรื่องอะไรอีก
ฝนเริ่มตกแล้ว เวลาเพิ่งจะบ่ายสองด้านนอกก็มืดแล้ว ลั่วจื่อหานฝ่าฝนมายังจิ่นหยวน เปิดพรวดประตูบ้านของอี้เป่ยซี
“คุณป้าครับ เป่ยซีอยู่ไหม?” คุณแม่อี้ชี้ไปยังห้องรับแขก เขามองตาม ก็เห็นอี้เป่ยซีถือแอ๊บเปิ้ลและเหม่อมองมัน เขาค่อยๆ เดินเข้าไปทีละก้าวสองก้าว
“เป่ยซี”
แอ๊บเปิ้ลของเธอร่วงหลุดจากมือทันใด ลั่วจื่อหานรับไว้อย่างรวดเร็วแล้ววางลงบนโต๊ะน้ำชา นั่งลงข้างเธอ
“เป่ยซี คิดอะไรอยู่?”
“ฉันก็ไม่รู้ แค่รู้สึกว่าเบื่อมาก” มือของคุณแม่อี้ขยับ ขึ้นชั้นบนไปเงียบๆ ปล่อยให้พวกเขาอยู่กับตามลำพัง
“หรือรู้สึกว่าถ้าขังตัวเองแล้วจะดีขึ้นงั้นเหรอ?”
“ฉันเปล่า ฉันแค่ไม่อยากคิด” อี้เป่ยซียังคงนั่งเหม่อ ไม่มีสีสันใดๆ ในแววตา คำพูดเมื่อครู่ก็เหมือนกับว่าไม่ได้ออกมาจากปากของเธอ
“ฉันพาเธอออกไปเดินเล่นไหม?”
“ไม่!” เธอหันขวับไปหาลั่วจื่อหาน “ไม่ออกไป ไม่ออกไป ฉันไม่อยากออกไป ลั่วจื่อหานนายอย่าลากฉัน ลั่วจื่อหาน”
ลั่วจื่อหานอุ้มเธอขึ้นมาโดยไม่ปล่อยให้อธิบายใดๆ อี้เป่ยซีดิ้นรนในอ้อมแขนของเขาตลอดเวลา ทั้งสองคนตากฝนหนัก เขาแข็งใจยัดเธอเข้าไปในรถทันที
“ฉันพาเธอออกไปนั่งรถเล่น”
“ฉันไม่อยากออกไป ไม่อยากจริงๆ ฉันอยากอยู่บ้านน่ะลั่วจื่อหาน นายปล่อยให้ฉันกลับไปได้หรือเปล่า” เธอคว้าแขนเสื้อของเขาพร้อมร้องขอ ลั่วจื่อหานว้าวุ่นใจแต่ก็ยังสตาร์ทรถ รถหายไปในม่านฝนอย่างรวดเร็ว
————