ตอนที่ 158 ด้านของพ่อแม่ (4)
เยี่ยฉินคิดไม่ถึงว่าตัวเองจะโชคร้ายขนาดนี้ และเยี่ยฉินก็ไม่ได้คิดว่าตัวเองจะถูกปล้นตอนกลางวันแสกๆ ด้วย ครั้งนี้จบแล้ว ไม่เหลืออะไรแล้ว ไม่เหลือแม้แต่เศษเหรียญให้เธอได้หยอดโทรศัพท์สาธารณะ เธอทำได้เพียงไปหาคำปลอบโยนจากคุณอาตำรวจเท่านั้น
เธอมองรอบทิศ ไม่คุ้นเคยกับสถานที่แห่งนี้ จึงได้แต่เดินพลางถามว่าสถานีตำรวจที่ใกล้ที่สุดอยู่ตรงไหน
เธอรายงานสถานการณ์ทั้งหมดของตัวเองให้ตำรวจฟัง ตำรวจทำการบันทึกประจำวัน บอกเธอให้รอการติดต่อ ตอนนั้นเยี่ยฉินนึกอยากจะร้องไห้ ตอนนี้เธออยู่ต่างบ้านต่างเมืองเพียงลำพัง ไม่มีเพื่อนสักคน แม้แต่ข้าวก็ไม่มีจะกิน คุณอาตำรวจจะให้เธอไปรอการติดต่อที่ไหนเหรอ จะปูที่นอนให้เธอที่สถานีตำรวจได้หรือเปล่า
สุดท้ายก็เป็นตำรวจหญิงผมบรอนด์คนหนึ่งที่ให้เศษเหรียญเธอ ให้เธอโทรไปขอความช่วยเหลือเพื่อนนักเรียนของเธอ โชคไม่ดีที่เยี่ยฉินเพิ่งออกจากสถานีตำรวจไม่ทันไร ฝนห่าใหญ่ก็เทลงมา ทุกคนต่างรีบร้อนหลบฝน เยี่ยฉินถูกเบียดอยู่ด้านในสุดของชายคาแห่งหนึ่ง แผ่นหลังติดอยู่กับกำแพงเย็นเฉียบ เธอรู้สึกว่าตัวเองกำลังจะถูกคนจำนวนมหาศาลเบียดตายในวินาทีต่อมา
ไม่รู้ว่าถูกทรมานอยู่ในสายฝนนานแค่ไหน ฝนข้างนอกจึงหยุดตก เยี่ยฉินมองดูฝูงคนที่จากไปตามลำพัง ความรู้สึกหวาดกลัวน้อยๆ รวมทั้งความอ้างว้างที่ต้องอยู่ตัวคนเดียวก่อตัวขึ้นในใจของเธอทันใด เธอย่อตัวลงตามกำแพงช้าๆ กอดเข่าตัวเองร้องไห้
ทำไมถึงต้องเป็นเธอ ทำไมถึงต้องเป็นเธอเยี่ยฉิน
ทำไมความรักถึงไม่ดูแลเธอ ทำไมชีวิตถึงไม่ดูแลเธอ แม้แต่ออกจากบ้านก็มีคนแย่งของของเธอ
เรื่องต่อไปคืออะไร ให้เธอออกจาชายคาแห่งนี้แล้วถูกรถชนตายงั้นเหรอ?
เพราะอะไรถึงต้องเป็นเธอล่ะ เธอเยี่ยฉินไม่เคยก่อเรื่องไม่ดีเลย ทำไมถึงต้องรับกรรมด้วยนะ
“คนที่นั่งอยู่ที่พื้นใช่ยัยหนูของคุณหรือเปล่า ดูท่าทางน่าสงสารมากเลย”
อี้เฉิงพิจารณาภรรยาของตัวเอง เดิมทีต้องการจะพาเธอกลับบ้านทันที ใครจะรู้ว่าเธอกลับมีอารมณ์ลากเขาไปซื้อของด้วยกัน ระหว่างนั้นฝนก็เทลงมาจึงติดอยู่ที่ห้างสรรพสินค้าสักพักหนึ่ง ระหว่างทางกลับบ้านก็เจอกับคนที่ถูกชะตากับเธอ
หรือว่าชะตาจะต้องกันจริงๆ ล่ะมั้ง จึงได้เจอเธออีกครั้ง
คุณแม่อี้มองไปยังนอกหน้าต่าง “เอ๊ะ เธอนี่แหละ ยัยหนูดูท่าทางเศร้ามากเลย ฉันจะลงไปดูหน่อย”
อี้เฉิงพยักหน้า หลังจากได้รับคำอนุญาตแล้ว คุณแม่อี้ก็รีบเดินเข้าไปหาเยี่ยฉิน ย่อตัวลงช้าๆ “เยี่ยฉิน”
เมื่อได้ยินคนเรียกชื่อของตัวเอง เยี่ยฉินเงยหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว ดวงตาทั้งคู่ที่แดงก่ำสะท้อนอยู่ในดวงตาของคุณแม่อี้ เธอเห็นท่าทางของเยี่ยฉินที่เหี่ยวเฉาแล้วในใจรู้สึกเจ็บปวด
“เป็นอะไรไป?”
“เมื่อกี้ตอนที่ลงจากเครื่อง ไม่ทันระวัง ก็เลยถูกขโมยของ” พูดพลางก็ยังยิ้ม คุณแม่อี้ตบๆ หัวของเธอ
“อย่ายิ้มสิ ยิ้มแล้วขี้เหร่กว่าตอนร้องไห้อีก”
เยี่ยฉินเกาหัวอย่างเขินอาย “ฉันควบคุมไม่ได้ ขอโทษทีค่ะ”
“แล้วเธอจะเอายังไงต่อ”
“คงโทรหาเพื่อน แล้วรอให้เขามารับฉันมั้งคะ”
คุณแม่อี้มองเธอด้วยความประหลาดใจ “กว่าเพื่อนเธอจะมาก็อย่างน้อยแปดเก้าชั่วโมงล่ะมั้ง เธอตัวคนเดียวจะไปรอเขาที่ไหน”
“ฉันหาสักที่นึงก็พอแล้ว”
“เธอไม่มีพาสพอร์ต แล้วก็ไปกับเพื่อนเธอไม่ได้ แล้วต่อไปจะทำยังไง?”
อี้เฉิงลงมาจากรถแล้ว เมื่อเห็นสภาพของเยี่ยฉินในใจก็พอจะเดาได้ว่าเธอเจอกับอะไรมาบ้าง จึงค่อยๆ เอ่ยปาก “ยังไม่ได้กินข้าวเช้าสินะ”
เยี่ยฉินมองชายวัยกลางคนที่อยู่ตรงหน้าก็รู้สึกคุ้นตาเล็กน้อย อายุประมาณห้าสิบกว่า แต่ว่าดูแลตัวเองได้ดีมาก รอยยิ้มที่ใจดีเป็นอย่างยิ่งบนใบหน้านั้นไม่มีริ้วรอยเลยแม้แต่น้อย แต่มันไม่ใช่ความอ่อนโยนหรือไม่เป็นอันตรายประเภทนั้น แต่กลับมันมีความรู้สึกยิ่งใหญ่ที่ทำให้ผู้คนต้องยอมสยบ
นี่คือลักษณะของชนชั้นยอดสินะ เยี่ยฉินคิดในใจ คุณแม่อี้เห็นสีหน้าที่เพื่อนตัวน้อยของตัวเองมองสามีของตนก็โมโหเล็กน้อย “ฉันก็บอกคุณแล้วว่าหน้าคุณดุเกินไป คุณดูสิทำยัยหนูเขาตกใจหมดแล้ว ถ้ายัยหนูเขาไม่กลับไปกับฉันมันเป็นความผิดของคุณนะ”
อี้เฉิงยักไหล่จนปัญญา มองไปยังเยี่ยฉิน “ยัยหนู เธอเห็นแล้วสินะ ถ้าหนูไม่ฟังยัยประหลาดคนนี้ล่ะก็ ชีวิตแต่งงานของคุณอาก็จะมีปัญหาแน่”
เยี่ยฉินหัวเราะทั้งน้ำตา รู้สึกขอบคุณคนแปลกหน้าต่างถิ่นสองคนนี้มาก เดิมทียังต้องการจะเอ่ยปากปฏิเสธ แต่ท้องของเธอกลับร้องอย่างไม่รู้จักเวลา เยี่ยฉินอยากจะดำดินไปเสียเหลือเกิน
สองสามีภรรยาหัวเราะด้วยความผ่อนคลาย เยี่ยฉินก็ไม่ได้ปฏิเสธอีก ขึ้นรถไปกับคุณแม่อี้แล้ว
ทั้งสองคนพาเธอออกไปกินข้าวด้วยกัน คุณแม่อี้ก็ลากเยี่ยฉินกลับไปที่บ้านของตัวเอง ไว้วานให้อี้เฉิงช่วยหากระเป๋าเดินทางของเยี่ยฉิน เยี่ยฉินเห็นท่าทางของสองสามีภรรยาคู่นี้แล้ว ในใจคิดว่านี่คือการแต่งงานกับความสุขสินะ
แม้ว่าพวกเราต่างแก่แล้ว แต่ว่าในสายตาของอีกฝ่าย คุณก็ยังเป็นเด็กน้อยที่เขาเอ็นดูที่สุด สามารถทำตัวเหมือนเด็กได้ต่อหน้าเขา
คุณรู้ เขาก็รู้ว่าคุณสามารถมอบทุกอย่างให้อีกฝ่ายได้อย่างไร้เดียงสาและไร้พิษภัย
ช่างมีความสุขจริงๆ เลย ช่างน่าอิจฉา เยี่ยฉินยิ้ม ดวงตามีละอองน้ำโดยไม่รู้ตัวแล้ว
“เยี่ยฉิน เธอเป็นอะไรไป? ทำไมจู่ๆ ก็ร้องไห้ล่ะ?”
เธอส่ายหัว “เปล่าค่ะ แค่รู้สึกว่าคุณน้ากับคุณอามีความสุขกันมาก รู้สึกประทับใจมาก”
คุณแม่อี้ดึงมือของเธอด้วยความเหลือเชื่อ “วางใจเถอะ หนูก็จะได้เจอคนที่ใช่ในชีวิตหนู”
เธอจะเจอเหรอ?
หัวใจที่แตกสลายมาแล้วครั้งหนึ่ง จะได้เจอเนื้อคู่อย่างแม่นยำได้อย่างไรกัน แม้ว่าจะหาเจอ เธอเยี่ยฉินยังมีสิทธิ์อะไรที่จะเดินหน้าต่อไป ยังมีความกล้าที่จะเดินไปอีกเหรอ
เยี่ยฉินหัวเราะ แต่ก็ยังพยักหน้า
เยี่ยฉินรู้สึกมาตลอดว่าผู้หญิงคนนี้ที่อยู่ตรงหน้าเล่อค่าเป็นอย่างมาก แต่ว่าเมื่อเธอมาถึงบ้านอี้แล้วก็รู้สึกเหนือความคาดหมายของตัวเองเล็กน้อย จู่ๆ เธอก็รู้สึกหวาดกลัว
“ไม่เป็นไรหรอก บ้านฉันเป็นธรรมชาติมาก เธอไม่ต้องระวังอะไร ตอนนี้ในบ้านมีแค่น้ากับคุณอาสองคน แล้วก็พี่เลี้ยงสองสามคน ไม่มีคนอื่นแล้ว”
เยี่ยฉินพยักหน้า เดินตามเธอเข้าไปในสถานที่ที่คล้ายกับปราสาทวัง เธอสังเกตเห็นการออกแบบที่ประณีตในทุกๆ ที่ มันเหมือนว่าใครบางคนกำลังสร้างกรอบความฝันของคนคนหนึ่งขึ้นมาใหม่
คุณแม่อี้สั่งให้คนใช้ทำความสะอาดห้องที่ชั้นหนึ่งแล้วปล่อยให้เยี่ยฉินเข้าไปพักอาศัย อุ่นนมแก้วหนึ่งและเอาไปให้เธอด้วยตัวเอง พูดคุยกันสักพักแล้วให้เธอได้พักผ่อน ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องของกระเป๋าเดินทาง รอจนกระทั่งเธอจากไปแล้ว เยี่ยฉินเอนลงบนเตียง ค่อยๆ หลับตาลง
เธอเหมือนกับว่าฝัน ในฝันมีกลิ่นหอมของใบหญ้าและนม อีกทั้งยังมีแสงอาทิตย์อันอบอุ่นราวกับอ้อมอกของคุณแม่
“เป็นอะไรไป?” ในความสะลึมสะลือนั้น ราวกับว่าเธอได้ยินเสียงของคุณแม่อี้อีกครั้ง เธอขยับเขยื้อนตัวเล็กน้อยแล้วเข้าสู่ความฝันอีกครั้ง
“เกิดอะไรขึ้น?” คุณแม่อี้พบว่าเยี่ยฉินตัวร้อน หลังจากปลุกอย่างไรก็ปลุกไม่ตื่นนั้น จึงรีบโทรเรียกหมอประจำครอบครัวทันที เขามองคุณแม่อี้ ดวงตาเปี่ยมไปด้วยความหนักอึ้ง
————