ตอนที่ 167 โชคชะตาฟ้าลิขิต (2)
“เป่ยซี เธอรู้ไหมว่าเยี่ยฉินอยู่ที่ไหน?” เขาพูดเร็วมากอี้เป่ยซีต้องเรียบเรียงในสมองครู่หนึ่งจึงจะเข้าใจว่าเขาพูดอะไร ทางนั้นก็รบเร้าอีกครั้ง
“อี้เป่ยซี เยี่ยฉินอยู่ที่ไหน เธอรู้ไหม?”
“พอนายพูดแบบนี้ฉันก็ไม่แน่ใจแล้ว ก่อนหน้านี้เธอบอกว่าจะกลับบ้านพ่อแม่ นายไป…”
อี้เป่ยซียังไม่ทันพูดจบ ก็ถูกคนที่ปลายสายตัดบททันที “ไม่อยู่ พ่อแม่ของเขาก็ตามหาเขาอยู่เหมือนกัน เยี่ยฉินเขา…ช่างเถอะถ้าเธอได้ข่าวของเขาต้องโทรหาฉันเข้าใจไหม?”
“เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า”
“เอามือถือให้จื่อหานเถอะ” เขาพูดอย่างไร้เรี่ยวแรง อี้เป่ยซีส่งโทรศัพท์มือถือให้ลั่วจื่อหาน มองลั่วจื่อหานด้วยสีหน้าอยากรู้อยากเห็น
ลั่วจื่อหานรับโทรศัพท์มือถือมา สีหน้าเย็นชาลงเล็กน้อย “นายแน่ใจเหรอ?” อี้เป่ยซีเงี่ยหูแต่ก็ไม่ได้ยินว่ามู่ลี่ไป๋พูดอะไรจึงยอมแพ้
“ฉันช่วยนายได้ แต่ว่านายอย่าเสียใจทีหลังนะ”
เขาเก็บโทรศัพท์มือถือแล้วถอนหายใจ ถือโทรศัพท์ของอี้เป่ยซีพิมพ์หมายเลขหนึ่งอย่างรวดเร็ว “นายรีบไปสืบเดี๋ยวนี้ว่าเยี่ยฉินอยู่ที่ไหน ด่วนนะ ทางประเทศ U ตรงนี้…นายใช้เถอะ บอกคุณปู่เลย อืม อะไรก็ช่าง นายดูเอาเองว่าจะทำยังไงก็พอแล้ว แค่นี้นะ”
อี้เป่ยซีกระพริบตามองลั่วจื่อหาน รอคอยที่จะได้ยินเรื่องราวทั้งหมดจากปากของเขา ลั่วจื่อหานขยี้ผมที่เพิ่งหวีเรียบร้อยของเธอ “ไปเถอะ พวกเรากลับบ้านกัน”
“ตกลงว่ามีอะไรกันแน่ มีเรื่องอะไร?”
ลั่วจื่อหานเหลือบมองเธอ “ไม่มีอะไร อาจเป็นเพราะมู่ลี่ไป๋คิดได้แล้ว หรือไม่ก็เยี่ยฉินทำอะไรบางอย่าง ฉันก็ไม่ค่อยเข้าใจ”
“ว่าไงนะ นายเก่งขนาดนี้ ทำไมถึงไม่เข้าใจ”
“ฉันเก่ง ก็เก่งแค่เรื่องของเธอแหละ ส่วนเรื่องอื่น ฉันก็ไม่ต่างอะไรจากคนธรรมดาทั่วไป”
เปลือกตาของอี้เป่ยซีกระตุก พิงกระจกรถแล้วพยักหน้า ห่อเหี่ยวเล็กน้อยอย่างเห็นได้ชัด
“เลิกแสดงได้แล้ว เป่ยซี เธอไม่จำเป็นต้องรู้เรื่องนี้หรอก บำรุงลูกให้สบายใจดีหรือเปล่า”
เธอพยักหน้า แม้ว่าจะไม่เต็มใจอยู่บ้าง แต่ในใจก็ยังรู้สึกอบอุ่น เขาไม่อยากบอกเธอ เพราะกลัวว่าเธอจะตื่นตระหนก ในเมื่อไม่ยอมให้เธอรู้ งั้นเธอก็อย่าเปลืองพลังงานไปถามเลย
เพิ่งจะถึงบ้าน ลั่วจื่อหานกำชับให้อี้เป่ยซีไปงีบกลางวัน ตัวเองก็ไปรับโทรศัพท์ในสวน
“เธออยู่ที่ไหน?”
“ตอนนี้อยู่ที่สนามบินหลินที่ประเทศ U จะให้พวกเราส่งเธอกลับมาไหมครับ?”
“ไม่ต้อง เดี๋ยวนายไปรายงานมู่ลี่ไป๋ก็พอแล้ว ไม่ต้องบอกอะไรฉันแล้ว”
“ครับ”
ลั่วจื่อหานมองหลอดในมือตัวเอง “มีอะไรอีกไหม?”
“คุณหนูเยี่ย เหมือนจะอยู่ที่บ้านคุณนายหลายวัน เมื่อกี้ผมลังเลว่าจะพูดดีไหม”
“อืม ฉันรู้แล้ว งั้นก็ตามนี้แหละ พวกนายจับตาดูให้ดี ห้ามให้ใครเล่นตุกติกอะไร”
“ครับ”
ลั่วจื่อหานวางโทรศัพท์มือถือไว้บนโต๊ะ ลุกขึ้นยืน สองมือล้วงกระเป๋ามองไปยังร่มเงาสีเขียวเบื้องหน้า ทันใดนั้นความดุร้ายก็ผ่านวูบในดวงตา จากนั้นก็หันหลังจากไปด้วยความสง่างามมาก
เยี่ยฉินลงมาจากเครื่องบินด้วยเนื้อตัวสั่นเทา คอยมองข้างหลังตัวเองเหมือนกับหัวขโมยตัวน้อย ไม่รู้ว่าคุณแม่อี้จะเล่าเรื่องของตัวเองให้อี้เป่ยซีฟังหรือเปล่า แล้วก็ไม่รู้ว่าอี้เป่ยซีจะบอกมู่ลี่ไป๋ถึงสถานการณ์ของตัวเองหรือเปล่า
ต่อให้เขารู้แล้วยังไงเหรอ หัวเราะเยาะเธอด้วยความเริงร่า หัวเราะสมน้ำหน้าเธอ หัวเราะแล้วพูดว่าเกี่ยวอะไรกับเขา เธอเยี่ยฉินเป็นคนแปลกหน้าสำหรับมู่ลี่ไป๋นานแล้ว จะรู้หรือไม่รู้มันต่างกันยังไง ทำไมต้องหนีจนสะบักสะบอมแบบนี้ด้วย
เยี่ยฉินหัวเราะ น่าเสียจริงๆ ที่ไม่สามารถเห็นสีหน้าประหลาดใจของอี้เป่ยซีตอนที่เห็นเธอได้แล้ว
เยี่ยเฉินเดินผ่านไปอีกหลายย่านถนน ที่จริงเธอไม่มีเพื่อนอยู่ที่นี่เลยสักคน แค่ได้ยินเพื่อนนักศึกษาบอกว่าที่นี่สงบแค่ไหน ชีวิตเชื่องช้าแค่ไหน ราวกับว่ากาลเวลาไม่เคยผ่านมาในเมืองนี้เลย เธอจึงเลือกที่จะมาที่นี่ สำหรับเธอแล้วสิ่งที่ทรมานและฟุ่มเฟือยที่สุดก็คือเวลาล่ะมั้ง
เธอไม่ต้องการรู้สึกถึงมันได้อีก เพียงแค่ต้องการอยู่ท่ามกลางความสงบและว่างเปล่า รอคอยจุบจบของเธออย่างเงียบๆ
ไม่มีใครรู้จักเธอ ฉะนั้นจะไม่มีใครเสียใจเพื่อเธอ เธอก็ไม่ต้องเสียใจกับความเสียใจของคนอื่น เธออยากแค่นึกถึงตัวเองก็พอแล้ว อยากยืนอยู่ในวินาทีนี้ก็พอแล้ว
เยี่ยฉินเดินเร็วขึ้นจนมาถึงย่านเล็กๆ ที่มองไว้ก่อนหน้านี้ จ่ายค่าเช่าแล้วเยี่ยฉินก็ทิ้งตัวลงบนเตียงด้วยความอ่อนล้า หลับตาลง
ครั้งนี้ เธอสามารถนอนหลับได้อย่างยาวนาน…
วินาทีที่มู่ลี่ไป๋รู้ข่าวก็รีบไปที่นั่นแทบจะในทันที เมืองนี้ว่างเปล่ามาก เขารู้สึกถึงรสชาติที่คนใกล้ตายเท่านั้นถึงจะมีได้ เขากำที่อยู่ในมือแน่น เดินผ่านย่านถนนอย่างรวดเร็ว ย่านที่เยี่ยฉินพักอยู่ไม่ไกลจากสนามบินมาก เขาถามที่อยู่เจาะจงของเยี่ยฉินกับเจ้าของห้องอย่างคล่องแคล่ว เมื่อถูกถามว่าเขาเป็นอะไรกับเยี่ยฉิน มู่ลี่ไป๋ก็เงียบอยู่นาน
เขาเป็นใคร เขาจะเป็นอะไรกับเธอได้ แฟนเก่า? มู่ลี่ไป๋หัวเราะ
“ผมเป็นเพื่อนสนิทของเขา”
เจ้าของห้องเป็นคุณยายรูปร่างอ้วนท้วนแต่ใจดีมาก เธอหรี่ตา “ฉันนึกว่าเธอเป็นแฟนของฉินซะอีก”
มู่ลี่ไป๋ยิ้มแหย มันคือความรู้สึกโดดเดี่ยวที่เขาไม่เคยสัมผัสมาก่อน มู่ลี่ไป๋เคาะประตูอยู่นานแต่กลับไม่ได้การตอบรับเลย
เธอเดาว่าเขาจะมาก็เลยไม่ยอมเปิดประตูงั้นเหรอ? มู่ลี่ไป๋กำแผ่นกระดาษแน่นต้องการจะหันหลังจากไป เพิ่งเดินออกไปเพียงไม่กี่ก้าวก็หยุด กดกริ่งประตูครั้งแล้วครั้งเล่าด้วยความอดทนเป็นอย่างมาก มู่ลี่ไป๋สงสัยว่ากริ่งประตูนี้จะเสียในวินาทีต่อมาหรือเปล่า จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงดังตึง ราวกับว่ามีของหนักๆ ร่วงอยู่บนพื้น เขาถีบประตูเปิดด้วยความตื่นตระหนก เยี่ยฉินที่ใบหน้าซีดขาวล้มหมดสติอยู่ที่หน้าประตู
ในวินาทีนั้นมู่ลี่ไป๋สติหลุดไปแล้ว เขาอุ้มเธอขึ้นมาจากพื้นด้วยความสั่นเทาแล้วรีบบึ่งไปที่โรงพยาบาล ไม่รู้ว่าเฝ้าอยู่หน้าเตียงนานแค่ไหน เยี่ยฉินจึงมีปฏิกิริยาตอบสนองเล็กน้อย มือของเธอขยับ ความคิดแวบแรกของมู่ลี่ไป๋ไม่ใช่ ‘เธอตื่นแล้วดีจังเลย’ แต่กลับเป็น ‘เธอกำลังจะตื่นแล้ว ต้องรีบจากไป ไปยังที่ที่เธอมองไม่เห็น’
มู่ลี่ไป๋ทำแบนนั้นจริงๆ เขาลุกขึ้น ขณะที่เยี่ยฉินลืมตาก็พบว่าเธอไม่ได้อยู่ในห้องของตัวเองแล้ว แต่เป็นที่โรงพยาบาล รอบกายว่างเปล่า รู้สึกเปล่าเปลี่ยวอย่างบอกไม่ถูก
คนใจดีคนไหนกันนะที่พาเธอมา เจ้าของห้องผู้ใจดีคนนั้นเหรอ? เยี่ยฉินหัวเราะ หลังจากที่สวรรค์มอบความโชคร้ายกับเธอแบบนี้แล้ว ยังจะซื้อเธอด้วยบุญคุณเล็กๆ น้อยๆ แบบนี้อีกเหรอ แต่ว่าเธอรู้สึกสบายมากเลยทำยังไงดีล่ะ
เธอกำลังจะลุกขึ้นนั่ง นางพยาบาลที่หน้าประตูวิ่งเข้ามาประคองเธอ “คุณคะ คุณไม่เป็นไรแล้วนะ”
“ไม่เป็นไรค่ะ ตอนนี้ฉันออกจากโรงพยาบาลได้แล้วยัง?”
นางพยาบาลมีสีหน้าลำบากใจ “คุณคะ คุณไม่รู้ว่าร่างกายของคุณเป็นอะไรเหรอคะ?”
เยี่ยฉินหัวเราะ แต่ว่านางพยาบาลมองเห็นความปวดร้าวของใบหน้าของเยี่ยฉินภายใต้ความตื่นตระหนก ไม่รู้ว่าเพราะอะไรหัวใจราวกับถูกเข็มทิ่มแทง
เธอพูด “ฉันก็ต้องรู้อยู่แล้วล่ะ ก็เลยอยากออกจากโรงพยาบาล”
————