ตอนที่ 165 ด้านของพ่อแม่ (11)
ช่วงเวลาค่ำๆ อี้เฉิงจึงขับรถออกจากมาจากบริษัท เห็นลูกสาวของตัวเองกำลังยืนอยู่หน้าผู้ชายคนหนึ่ง เอื้อมมือช่วยเขาจัดเนกไท บนใบหน้าของทั้งสองคนเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม เขาถอนหายใจด้วยความซาบซึ้งเป็นอย่างยิ่ง
เพื่อนยาก ตอนนี้นายเห็นแล้วสินะ ลูกสาวของนายได้เจอกับคนที่ตัวเองชอบแล้ว พวกเขาจะได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขแล้ว นายอยู่บนสวรรค์ก็คงจะซาบซึ้งเหมือนกับฉันสินะ
เขาสังเกตเห็นว่าสายตาของชายหนุ่มมองมาที่ตัวเอง ในใจสั่นสะท้านเล็กน้อย ‘คนคนนี้ไม่ธรรมดาเลยนะ’ เขาเก็บอาการที่เกินความจำเป็น แสดงท่าทางเหมือนคุณพ่อผู้เข้มงวด เดินเข้าไปหาอี้เป่ยซี
“เป่ยซี”
“พ่อคะ พ่อกลับมาแล้ว” อี้เป่ยซีกอดอี้เฉิง “พ่อคะ เป่ยซีคิดถึงพ่อจังเลย”
“พ่อก็คิดถึงเป่ยซีเหมือนกัน ถ้าไม่ได้มีธุระจริงๆ พ่อก็ตามแม่ไปหาลูกทางโน้นแล้ว ลูกไม่โทษพ่อใช่ไหม”
อี้เป่ยซีส่ายหน้า “จะโทษได้ยังไงคะ” เธอปล่อยอี้เฉิง ถอยหลังสองสามก้าวไปหาลั่วจื่อหาน ความเขินอายแบบเด็กสาวปรากฏอยู่บนใบหน้า “พ่อคะ เอ่อ นี่ก็คือคนที่หนูเล่าให้พ่อฟังบ่อยๆ ลั่วจื่อหาน”
“ลั่วจื่อหาน” เขาเอ่ยทวนชื่อของเขาแผ่วเบา ดวงตาหรี่เล็กลงด้วยความเคยชิน มองสำรวจชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้า มีคนพูดอยู่เสมอว่าทิศตะวันออกมีตระกูลหานทิศตะวันตกมีตระกูลลู่ นี่ก็คือคนที่รับช่วงเวยหลานตั้งแต่ยังเด็ก และเป็นลั่วจื่อหานคนที่ทำให้มันกลายเป็นยักษ์ใหญ่ข้ามชาติ “ได้ยินชื่อเสียงมานานแล้ว ประธานลั่วนับว่าเป็นคนรุ่นใหม่ที่มีความสามารถมากนะ”
“คุณลุงชมเกินไปแล้ว นั่นเป็นผลจากการรวมกลุ่มของครอบครัวมากกว่า ไม่ค่อยเกี่ยวอะไรกับคนรุ่นหลัง เพียงแค่คนอื่นในครอบครัวค่อนข้างถ่อมตัว ก็เลยเอาชื่อเสียงปลอมๆ พวกนี้มาให้ผม”
“พ่อ พวกพ่อคุยเรื่องนี้กันทำไมคะ หนูไม่เห็นเข้าใจเลย” อี้เฉิงลูบผมลูกสาวตัวเองด้วยความเมตตา ในใจก็มีความกังวลเล็กน้อย เขาดูออกว่าคนที่อยู่ตรงหน้าดีกับลูกสาวของเขามาก ลูกสาวของตัวเองก็ชอบเขาอย่างเห็นได้ชัด แต่ว่าเมื่อนึกถึงลั่วจื่อหานที่มีลูกเล่นแพรวพราวและล้ำลึกเป็นพิเศษแบบนี้ สิ่งที่เขาแสดงออกมาในตอนนี้มันคือเรื่องจริงหรือเรื่องหลอกกันแน่
อี้เฉิงยิ้มน้อยๆ ‘จะเรื่องจริงหรือเรื่องหลอก อีกหน่อยก็รู้แล้ว’
จนกระทั่งอยู่ที่โต๊ะกินข้าว อี้เฉิงจึงพบว่าเด็กสาวที่รับปากภรรยาของตัวเองว่าจะเจอลูกสาวของพวกเขาตอนนี้ไม่อยู่แล้ว ในใจก็เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น จู่ๆ ก็รู้สึกปวดใจเล็กน้อย เด็กสาวคนนั้นช่างเข้าใจโลกและคำนึงถึงคนอื่นอยู่เสมอ
“พ่อเป็นอะไรไปคะ?” อี้เป่ยซีสังเกตเห็นอารมณ์ที่เปลี่ยนไปของอี้เฉิง รีบเอ่ยถาม
“ไม่มีอะไร กินข้าวเถอะ” ที่โต๊ะกินข้าว ทั้งสี่คนเคยชินกับการไม่พูดอะไร ลั่วจื่อหานเอาปลาที่แกะก้างเรียบร้อยแล้วใส่ถ้วยของอี้เป่ยซีเป็นครั้งคราว ทำตัวเป็นธรรมชาติเหมือนตอนกินข้าว สามีภรรยาที่อยู่ตรงข้ามยิ้มและพยักหน้า
เมื่อถึงเวลากลางคืน คุณแม่อี้พาอี้เป่ยซีออกไปเดินเล่น ในบ้านก็เหลือเพียงลั่วจื่อหานกับอี้เฉิง อี้เฉิงครุ่นคิดดูแล้วก็พาเขาเข้าไปในห้องหนังสือ
“ฉันคิดว่าเธอน่าจะเข้าใจความคิดของคนเป็นพ่ออย่างฉัน”
เข้าใจสิ เขาลั่วจื่อหานเข้าใจอยู่แล้ว สุดท้ายแล้วเขาก็กำลังจะได้เป็นพ่อคน เขาเข้าใจความกังวลรวมถึงความรักที่พ่อแม่มีต่อลูกตัวเองอยู่แล้ว ถ้าหากเขากับอี้เป่ยซีมีลูกสาวจริงๆ ตอนนี้พ่อเลือดร้อนอย่างเขาจะทำมากกว่าที่อี้เฉิงทำอีกมาก จะดูแลมากกว่านี้ และจะใส่ใจมากกว่านี้
“ผมเข้าใจครับ” เขานั่งอยู่บนเก้าอี้ด้านข้าง มองอี้เฉิงด้วยสีหน้าจริงจัง ในดวงตาก็เปี่ยมด้วยความจริงใจ “ผมอยากเดินไปด้วยกันกับเป่ยซีจริงๆ และหวังว่าคุณจะยอมรับพวกเรา”
อี้เฉิงขยี้ตา “เรื่องความกังวลของพวกเราภรรยาฉันก็น่าจะบอกเธอแล้ว เป่ยซีเป็นคนสบายๆ ครอบครัวของเธอ หรือเธอเอง จะให้สิ่งแวดล้อมแบบนั้นกับเขาได้ตลอดจริงๆ เหรอ”
“คุณลุงครับ ลุงควรจะเชื่อว่าผมทำได้”
“ฉันน่ะเชื่อในความสามารถของเธอ แต่ว่าฉันแค่สงสัย สงสัยใจของเธอ เป่ยซีน่ะมองออกง่ายมาก ชีวิตของเขาร้องไห้ก็คือร้องไห้หัวเราะก็คือหัวเราะ เขาจะไม่ซ่อนความชอบของตัวเอง เธอเป็นคนทุ่มเทกับความรู้สึกมากเกินไป แล้วก็เป็นคนทำอะไรตามใจตัวเองมากเกินไป แต่ว่าเธอไม่เหมือนกัน เป็นคนไม่แน่นอนมีลูกเล่นเยอะ ฉันไม่รู้ว่าที่ตัวเองเห็นในตอนนี้เป็นของจริงหรือเปล่า”
ลั่วจื่อหานหัวเราะ เจือปนรสชาติความเยือกเย็น อี้เฉิงนึกว่าตัวเองคิดไปเอง เขาจะมีรสชาติที่เยือกเย็นอันหนักอึ้งแบบนี้ได้อย่างไร
“คุณลุง คุณก็น่าจะรู้เรื่องที่ผมตามหาคนนึงมาสิบกว่าปีใช่ไหมครับ”
อี้เฉิงพยักหน้าเหมือนจะเข้าใจ
“คุณลุงครับ ผมไม่อยากให้ลุงมีอคติอะไรกับผม ผมบอกคุณลุงได้แค่ ผม ลั่วจื่อหานชอบแค่คนคนเดียวตั้งแต่ตัวเองอายุสิบหก ตอนนั้นเธอยังเด็กมาก ยังสูงไม่ถึงจักรยานเลยด้วยซ้ำ ผมก็ตัดสินใจแล้วว่าเธอก็คือสีสันเดียวในชีวิตของผม ผมคิดมาตลอดว่าตัวเองจะเห็นเธอโตขึ้น โตขึ้นจนเป็นภรรยาของตัวเอง แต่ว่าแค่ไม่กี่วันเธอก็หายไปแล้ว ผมใช้ความสัมพันธ์ทั้งหมดเพื่อตามหาเธอ ทำยังไงก็หาเธอไม่เจอแม้แต่เงา หนึ่งปีผ่านไปก็ได้ผลอะไร ผมรอเจ้าหญิงตัวน้อยตรงปากทางที่เราพบกันตลอด ผมรออยู่สามวันก็ไม่เคยเห็นเธอโผล่หน้ามาเลยสักครั้ง”
“หลังจากนั้นทุกๆ ปี สิ่งที่ลั่วจื่อหานต้องทำก็คือการรอคอยและการตามหา จนในที่สุดสิบสองปีให้หลัง ผมถึงได้เจอกับคนที่ตัวเองตามหามานานอีกครั้งนึง ระหว่างนั้นผมก็เคยคิดว่าผมยังชอบเธออยู่จริงหรือเปล่า หรือเป็นแค่ความรู้สึกยึดติดกับการค้นหา ความรู้สึกหลงใหล แต่ว่าพอเป่ยซีไม่ได้อยู่ข้างกายผมแล้ว ผมรู้ว่ามันคือความชอบจริงๆ มันเป็นความรู้สึกแบบที่ถ้าเสียมันไปแล้วก็จะเสียใจไปตลอดชีวิต ไม่ว่าจะถูกหรือผิดก็ขาดเธอไม่ได้”
เมื่ออี้เฉิงได้ยินคำพูดของลั่วจื่อหานแล้ว ความสงสัยส่วนใหญ่ในใจก็หายไป ทั้งสองคนคุยเรื่องอี้เป่ยซีต่ออีกสักพักหนึ่ง
ในเวลานี้อี้เป่ยซีกำลังคุยเรื่อยเปื่อยกับคุณแม่อยู่ในสวนดอกไม้หลังบ้าน แล้วก็พูดถึงเพื่อนตัวน้อยของคุณแม่อี้
“แม่คะ เพื่อนตัวน้อยคนนั้นของแม่เป็นนางฟ้ามาจากไหนกันแน่ ถึงได้ทำให้แม่ชอบขนาดนั้น”
“ลูกได้เห็นแล้วก็จะรู้ เธอมีบุคลิกอย่างนึงที่ดึงดูดลูกอย่างน่าประหลาด ทำให้ลูกรู้สึกชอบ ยิ่งไปกว่านั้นเธอก็เป็นเด็กที่รู้เรื่องราวจนทำให้รู้สึกน่าเอ็นดู” คุณแม่อี้มองออกไปข้างนอก กำลังคิดว่าเยี่ยฉินยังมองเธออยู่ข้างนอกนั่นหรือเปล่า จึงได้จากไปอย่างไม่เต็มใจแบบนี้
อี้เป่ยซีเห็นความเศร้าโศกในดวงตาของคุณแม่ เอ่ยถาม “เป็นอะไรไปคะ? เกิดอะไรขึ้นกับเธอหรือเปล่า?”
“เธอป่วยหนักมากๆ เพื่อไม่ให้เป็นภาระกับครอบครัวของตัวเอง ตัวเองก็เลยหนีมาที่นี่คนเดียว และเพื่อไม่ให้แม่เสียใจก็เลยจากไปอย่างเงียบๆ ที่จริงน่ะ แม่ไม่คิดจะเอาเธอมาแทนที่ลูกอะไรหรอกนะ แม่แค่ชอบหนูคนนั้นจริงๆ และเห็นเธอเป็นลูกสาวอีกคนของตัวเอง”
อี้เป่ยซีเงียบไปครู่หนึ่ง กอดแม่ของตัวเอง “แม่คะ ไม่เป็นไรหรอก ทุกอย่างมันจะดีขึ้น”
คุณแม่อี้พยักหน้า มองดูดาวที่สว่างในท้องฟ้า เธอรู้ว่ามันจะไม่ดีขึ้น เรื่องนี้มันจะไม่ดีขึ้นแล้ว
————