ตอนที่ 174 คืนดี (1)
ใบหน้าของลั่วจื่อหานเยือกเย็นเล็กน้อย บอกไม่ได้ว่าดีใจหรือว่าโมโห “อย่าเพิ่งกลับ”
เดิมทีลั่วจื่อจี้ต้องการจะเรียกร้องความสงสารจากพี่สะใภ้ของตัวเอง เพิ่งจะยกมือขึ้นมา ก็ต้องค้างเติ่งอยู่กลางอากาศ “ไม่จริงมั้ง!”
“ถ้านายอยากไปฉันจะช่วยจัดการให้นายเดี๋ยวนี้เลย”
“พี่” สีหน้าของลั่วจื่อหานสับสนเล็กน้อย เขางอนิ้วชี้แล้วจิ้มที่หน้าผากของตัวเอง “คือว่า ฉันกลับไปน่าจะดีกว่า เดี๋ยวพี่ก็ไม่สะดวกใช่ไหม” พูดพลางสายตาเหลือบมองอี้เป่ยซีเป็นครั้งคราว
อี้เป่ยซีรู้สึกได้ถึงสายตาของเขา แสดงอาการสงสัย วินาทีต่อมาก็มีร่างบดบังการปฏิสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองคน ลั่วจื่อจี้ส่ายหัว
ขวางแม้แต่น้องชายแท้ๆ ?
“งั้นนายก็ลงไปก่อน ถ่วงพวกเขาไว้สักสองสามวัน” เขาโบกมืออย่างหงุดหงิดราวกับว่าในที่สุดก็หลุดออกจากปัญหาได้แล้ว
ลั่วจื่อจี้เพิ่งผ่านการผ่าตัดมาเมื่อวาน ร่างกายก็อิดโรยไม่น้อย ไม่มีอารมณ์แสดงอาการต่อต้านพฤติกรรมของพี่ชายตัวเอง เดินหาวลงไปชั้นล่างแล้ว
“มีอะไรเหรอ?”
ลั่วจือหานจับเอวของเธอ มือออกแรงเล็กน้อย “ไม่มีอะไร”
“แต่เมื่อเมื่อกี้ที่นายพูดกับลั่วจื่อจี้ ฉันได้ยินหมดแล้ว นายยังอยากจะปิดฉันอีกเหรอ?”
“ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร พ่อฉันอยากเจอเธอ”
อี้เป่ยซีได้ยินคำพูดของเขาแล้วก็สูดหายใจเฮือก ในสมองเต็มไปด้วยคำว่าพ่อเขาอยากเจอเธอ
ใช่แล้ว ใช่แล้ว ลั่วจื่อหานก็ไม่ได้เกิดมาจากก้อนหินสักหน่อย เขาจะไม่มีพ่อแม่ได้ยังไง เขาได้เจอกับผู้ใหญ่ของบ้านเธอแล้ว ทั้งสองคนก็มาถึงขั้นนี้แล้ว ถ้าเธอไม่ไปต่างหากที่ดูไม่ค่อยสมควร
แต่ว่า…อี้เป่ยซีดึงปลายแขนเสื้อของลั่วจื่อหาน บิดไปมา พวกเขาจะต้องรู้เรื่องของเธอตอนที่อยู่ประเทศ U แล้วสินะ พวกเขาจะมองเธออย่างไร เธองี่เง่ากับเรื่องนี้มาก ถ้าหากวางตัวไม่ดี พ่อแม่ของเขาจะรังเกียจเธอหรือเปล่า…
“ถ้าไม่อยากไปก็ไม่ต้องไป ไม่เป็นไรหรอกเป่ยซี”
อี้เป่ยซีเหนื่อยใจ ที่จริงเธอไม่อยากไป แต่ว่าไม่ว่าจะมองด้านความรักหรือเหตุผลก็ต้องไปสักครั้ง อีกอย่างเธอก็อยากรู้เหมือนกันว่าลั่วจื่อหานเติบโตมาในครอบครัวแบบไหน
“ฉันไม่รู้” เธอขมวดคิ้ว ทำได้เพียงให้คำตอบคลุมเครือ
ถ้าหากเป็นเพียงการเจอหน้ากันธรรมดา ลั่วจื่อหานก็คงไม่วุ่นวายใจแบบนี้ และก็คงไม่ถามความเห็นของเธออย่างระมัดระวังแบบนี้แล้วล่ะมั้ง
แล้วเขาล่ะ เขาอยากให้เธอไปหรือเปล่า?
ลั่วจื่อหานราวกับรับรู้ความกังวลของเธอ พูดขึ้นอย่างเอาใจใส่ “ฉันโตมากับปู่ตั้งแต่เด็ก เธอก็เจอเขาแล้ว”
“แต่ว่ามันไม่เหมือนกันนี่นา ปู่กับพ่อแม่ มันไม่เหมือนกันนี่นา”
ลั่วจื่อหานหัวเราะเบาๆ “ประโยคนี้พูดกับฉันก็พอนะ ถ้าปู่ได้ยินล่ะก็จะต้องไม่พอใจแน่”
“อืม ยังดีที่ตอนนี้เขาไม่อยู่นี่”
จู่ๆ ความคิดก็แวบเข้ามาในสมอง มุมปากของลั่วจื่อหานยกยิ้ม “เป่ยซี เธอฉลาดมาก”
เรื่องง่ายๆ แบบนี้ทำไมเขาถึงมัวแต่ติดอยู่ที่เดิมกันนะ เขามักจะคิดอยู่เสมอว่าไม่อยากให้ทั้งสองฝ่ายเจอหน้ากันเพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้ง ทั้งๆ ที่ยังมีวิธีอื่นที่สามารถเผชิญหน้ากันได้โดยไม่มีศึกสงคราม
คำชมกะทันหันของเขาทำให้อี้เป่ยซีทำตัวไม่ถูก เออออตามสองสามคำแล้วทั้งสองคนก็เดินออกจากห้องคนไข้ เมื่อมาอีกครั้งในช่วงบ่าย เยี่ยฉินก็ตื่นแล้ว เธอมองไปข้างนอกด้วยความร้อนรนเล็กน้อย
อี้เป่ยซีรีบนั่งลงข้างเธอ “เป็นอะไรไป?”
เธอเลียริมฝีปากที่ยังคงซีดขาว น้ำเสียงก็อ่อนแรงเล็กน้อย “มู่ลี่ไป๋ เขาสบายดีไหม?”
ตอนแรกอี้เป่ยซีอยากบอกว่าสบายดี แต่ว่าเมื่อเห็นความสัมพันธ์ของทั้งสองคนแล้วก็ต้องการจะเติมเชื้อเพลิงให้กับเปลวไฟสักหน่อย แสร้งทำเป็นเคร่งขรึม “ลั่วจื่อจี้ยังดูเขาอยู่ อาการไม่ค่อยดี”
เยี่ยฉินไม่ค่อยเชื่อคำพูดของอี้เป่ยซี มองลั่วจื่อหานอีกครั้ง เมื่อเห็นท่าทางที่เขายังคงเพิกเฉยเธอ อดไม่ได้ที่จะร้อนใจ
“เขาเป็นอะไรหรือเปล่า ตอนนี้ยังไม่ฟื้นเหรอ ฉันไปเยี่ยมเขาได้หรือเปล่า?”
อี้เป่ยซีตบๆ ไหล่ของเธอด้วยความห่างเหินมาก “คนที่ไม่เกี่ยวข้องกัน เธอจะกังวลไปทำไม ถึงยังไงก็เกี่ยวอะไรกับเธอ ทำไมต้องไปใส่ใจด้วย ดูแลร่างกายของตัวเองยังจะถูกต้องกว่า”
เยี่ยฉินกัดริมฝีปาก “เป่ยซี เขาเป็นอะไรกันแน่ เธอบอกฉันได้ไหม ได้ไหม?”
หลังจากผ่านโรคร้ายแรงมากแล้ว เยี่ยฉินเข้าใจว่าที่แท้ชีวิตนั้นบอบบางและยากจะคาดเดาแค่ไหน ทุกคนราวกับเป็นตัวพนันของพระเจ้า ต้องพึ่งพาโชคชะตาในการเอาชนะในแต่ละวันหรือในแต่ละวินาที ทุกคนต่างแขวนอยู่บนเส้นด้าย ราวกับว่าจะร่วงลงไปเมื่อไรก็ได้และจะมองกันไม่เห็นอีกเลย
เธอกลัวมาก เธอไม่รู้ว่าถ้าหากเธอเห็นมู่ลี่ไป๋หายไปต่อหน้าต่อตา เธอจะทำเรื่องแบบไหนบ้างและจะเสียใจมากแค่ไหน
“เป่ยซี” เธอเสียงสะอื้น อี้เป่ยซีกลัวจริงๆ ว่าน้ำตาเม็ดโตจะร่วงหล่นจากดวงตาของเธอในวินาทีต่อมา
“อัยยา เธออย่าร้องเลย เขาไม่เป็นไร เมื่อกี้ฉันโกหกเธอ เธออย่าร้องนะ จริงๆ”
เยี่ยฉินสะอึกสะอื้น “จริงเหรอ?”
“อืม จริงๆ เขาพักผ่อนน้อยเพราะว่าเรื่องของเธอ เดี๋ยวก็ตื่น…” อี้เป่ยซีสังเกตเห็นรองเท้าหนังอยู่ที่ด้านหลัง กระโดดไปข้างหลังของลั่วจื่อหานทันที
หลบสายตาที่ขุ่นเคืองเล็กน้อยของมู่ลี่ไป๋
เธอสำนึกผิดแล้ว เธอก็คิดไม่ถึงเหมือนกันว่าเยี่ยฉินจะร้องไห้ง่ายแบบนี้
“นายปกป้องเธอไว้เถอะ” มู่ลี่ไป๋ยังคงบ่นเล็กน้อยขณะที่นั่งลงด้านหน้าอี้เป่ยซี
“นายก็ปกป้องอยู่ไม่ใช่เหรอ” ลั่วจื่อหานพาเธอมาด้านข้าง ยื่นมือจิ้มๆ ปลายจมูกของเธอ ดวงตาที่ล้ำลึกยังคงมีความเอ็นดูเหมือนเก่า แล้วจูงมือของเธอเดินออกไปจากห้องคนไข้
“คุณไม่เป็นไรนะ” เพราะว่าเยี่ยฉินเพิ่งร้องไห้ บนใบหน้าจึงยังมีคราบน้ำตาติดอยู่ มู่ลี่ไป๋เอื้อมมือช่วยเธอเช็ดมัน เธอมองเขาอย่างว่าง่ายราวกับว่าได้เห็นดอกไม้ผลิบาน
“หน้าผมมีอะไรติดอยู่เหรอ?” มู่ลี่ไป๋รินน้ำ ต้องการจะประคองเธอขึ้นมา แล้วป้อนเธอดื่มจนหมดแก้วอย่างระมัดระวัง
“อี้เป่ยซีนี่หน้าด้านจริงๆ” เขาวางแก้วกลับที่เดิมพร้อมบ่น
เยี่ยฉินกัดริมฝีปากด้วยความเขินอายเล็กน้อย “เขาก็แค่อยากจะ…” เธอต้องการจะทำอะไรเยี่ยฉินเข้าใจอยู่แล้ว เธอก้มหน้า ขนตายาวซ่อนเร้นความรู้สึกของตัวเอง ด่าทอความขี้ขลาดของตัวเองอยู่ในใจ
ช่างเป็นคนที่ไม่เอาไหนซะเลย ทำไมถึงยังได้กลัวไปซะทุกเรื่องแบบนี้ ทำไมถึงไม่บอกเขาไปอย่างกล้าหาญเลยล่ะ เธอเพียงต้องการจะรู้ว่าเธอชอบเขาหรือเปล่า
ทำไมถึงไม่บอกเขาไปอย่างอาจหาญว่า มู่ลี่ไป๋ เมื่อก่อนฉันชอบคุณมากๆ แต่ว่าตอนนี้ฉันต้องการเริ่มชีวิตใหม่แล้วจริงๆ ฉันตัดสินใจว่าฉันไม่อยากชอบคุณแล้ว
“หืม? เขาอยากทำอะไรเหรอ?”
เยี่ยฉินหันหน้าไปอีกทาง คนที่อยู่ข้างๆ ไม่ยอมลดละง่ายๆ “อี้เป่ยซีนี่ว่างเกินไปจริงๆ คิดจะหาคาวมบันเทิงจากคนอื่น”
“คุณ ไม่เป็นไรนะ” มู่ลี่ไป๋ต้องการพูดต่ออีกสองสามคำแต่กลับถูกความห่วงใยฉับพลันของเยี่ยฉินทำเอาทำตัวไม่ถูก สำลักน้ำลายทันที เขาไออยู่ข้างเตียงไม่หยุด ดูเหมือนเสียงหัวเราะแผ่วเบาของผู้หญิงปะปนอยู่ท่ามกลางเสียงไอของเขา
ราวกับเสียงลมตีระฆังอยู่ที่ชายหาด
————