ตอนที่ 195 เยือนต่างถิ่นอีกครั้ง (3)
วันแรกของการบรรยายทั้งยุ่งและวุ่นวาย อี้เป่ยซีทนไม่ไหวจนแทบจะดึงทึ้งผมของตัวเอง เธอไม่มีความมั่นใจในแต่ละย่างก้าวและรู้สึกทำตัวไม่ถูกในทุกชั่วขณะ ราวกับว่าถูกโยนลงไปกลางสระน้ำ เธอไม่ได้จมลงไปแต่ว่าก็ไร้เรี่ยวแรงอีกทั้งไร้ที่ยึดเหนี่ยวให้ไขว่คว้า เธอตะเกียกตะกายเพียงลำพัง น้ำจำนวนมหาศาลทะลักเข้าไปในโพรงจมูกจนทำให้หมดกำลัง
‘ถ้าลั่วจื่อหานอยู่ก็ดีสิ’ เมื่ออี้เป่ยซีครุ่นคิดเธอจึงพบว่าตัวเองยิ่งพึ่งพาเขามากขึ้นทุกที ความสุขแสนอันตรายแบบนั้นทำให้เธอรู้สึกทั้งหวาดกลัวและพอใจเป็นอย่างยิ่ง เธอกลัวว่าจะสูญเสียความเป็นตัวของตัวเองไปในความรักครั้งนี้ กลายเป็นดอกทรัมเป็ตเถาที่ต้องการที่ยึดเหนี่ยวทางจิตใจ แต่ก็ต้องยอมรับว่าความรู้สึกที่ถูกคนดูแลอย่างทั่วถึงแบบนี้ทำให้รู้สึกทั้งอบอุ่นทั้งเติมเต็ม
เป็นความชอบที่ชั่วชีวิตนี้จะไม่เปลี่ยนแปลง
เธอใช้ประโยชน์จากช่วงพักกลางวัน เปลี่ยนนิสัยการงีบหลับเมื่อก่อน โทรหาลั่วจื่อหานด้วยความเร่งรีบ โทรศัพท์ดังขึ้นเพียงสองครั้งก็มีคนรับสาย
“”เป็นอะไรไป? นอนไม่หลับเหรอ?”
อี้เป่ยซีกำโทรศัพท์มือถือ ความหวานชื่นแผ่ซ่านมาจากทรวงอก “เปล่า ก็แค่อยากรู้ว่านายกำลังทำอะไรอยู่ แอบกินอะไรลับหลังฉันหรือเปล่า”
“หึหึ ทำไมไม่ไว้ใจฉันเหรอ?”
“ช่วยไม่ได้ ใครให้นายมีเสน่ห์แบบนั้นล่ะ ฉันก็ต้องระวังหน่อยสิ สารภาพมาซะดีๆ เถอะคุณลั่ว”
ลั่วจื่อหานนิ่งไปครู่หนึ่ง เหมือนกับกำลังคิดอะไรบางอย่าง “แอบกินไม่เท่าไร แต่ยังมีรสค้างอยู่ในปากอยู่เลย”
เขาพูดด้วยความคลุมเครือ ใบหน้าของอี้เป่ยซีแดงระเรื่อเล็กน้อยแต่ไม่ได้คัดค้าน ลั่วจื่อหานพูดขึ้นอีกครั้ง “เหนื่อยเหรอ?”
อี้เป่ยซีตอบว่าอืมซ้ำๆ “จริงๆ นะ กลัวมากว่าตัวเองจะทำอะไรผิดไป มักจะมีความรูู้สึกว่าทำอะไรก็กล้าๆ กลัวๆ ไม่สบายใจเลย”
“เป่ยซีคิดว่าตัวเองจะทำอะไรได้ไม่ดีเหรอ?”
เธอไม่เคยคิดถึงปัญหาข้อนี้ เนื่องจากเจอกับเรื่องใหญ่และเพราะแต่ไปมัวแต่มุ่งเน้นเรื่องความตึงเครียด ตัวเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าความตึงเครียดนี้มาจากไหน อี้เป่ยซีครุ่นคิด “ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน แค่รู้สึกเคว้งคว้างนิดหน่อย ก็เหมือนกับเวลาที่นายว่ายน้ำ ทั้งๆ ที่นายรู้ว่านายมีทักษะในการยืนในน้ำแล้ว แต่ตอนที่นายลอยตัวอยู่ในสระ นายก็ยังกลัว”
ลั่วจื่อหานเข้าใจ หัวเราะ “เพราะว่าฉันไม่อยู่เหรอ?”
“เชอะ นายหลงตัวเองเกินไปแล้ว”
“ทำไมล่ะ ที่เธอโทรหาไม่ใช่เพราะมาหาขอนไม้หรอกเหรอ?”
“คนล้มอย่าข้าม นายไว้หน้าฉันหน่อยได้ไหม”
“อ๋อ เธอใช้หน้าเพื่อขึ้นมาจากน้ำเหรอ?”
ทันใดนั้นอี้เป่ยซีก็ทนไม่ไหว กระแอมไอ “ไม่คุยกับนายแล้ว ตอนบ่ายฉันมีบรรยาย ผู้ชายอย่างนายนี่ไม่ไหวเลยจริงๆ กวนโมโห”
“ตอนบ่ายพักสักหน่อยสิ”
“รู้แล้วๆ แค่นี้แหละ”
“รับทราบ”
อี้เป่ยซีวางสายแต่ก็ยังคงมีความสุข เธอกลับไปที่กลุ่มของตัวเองอีกครั้ง ชมมหาวิทยาลัยที่มีอายุร่วมร้อยปีแห่งนี้กับเพื่อนๆ นักศึกษา มันมีสไตล์ยุโรปแต่ก็ไม่ทิ้งบรรยากาศร่วมสมัย มีสองสามคนที่ห่อหุ้มด้วยเสื้อผ้าหนาเตอะเดินผ่านพวกเขาไปในบางครั้ง บางคนยังคงยืนอยู่หน้าทะเลสาบเทียมอันเย็นยะเยือก มองหาบทกวีที่ถูกแช่แข็งไว้ อี้เป่ยซีสูดๆ จมูก ปลายจมูกเย็นเฉียบ
จนกระทั่งวันที่สามทุกอย่างจึงเริ่มเข้าที่เข้าทาง อี้เป่ยซีก็สามารถพูดคุยกับผู้คนจากประเทศอื่นๆ ได้อย่างเป็นมิตร มีคนจากประเทศ A บางคนชมว่าการออกเสียงของเธอสวยงามมาก อี้เป่ยซียิ้มแล้วกล่าวขอบคุณเธอ อดไม่ได้ที่จะนึกถึงบุคคลสำคัญที่เคยปรากฏตัวขึ้นในมหาวิทยาลัยแห่งนี้ บุคคลสำคัญในสายตาของพวกเขา แต่เป็นบุคคลธรรมดาในสายตาของเธอ
อี้เป่ยซียังจำได้ ว่าลู่เยี่ยจิ่งค่อยๆ แก้ไขการออกเสียงผิดพลาดเล็กๆ น้อยๆ ของเธออย่างไร อีกทั้งยังส่งต่อการออกเสียงแบบโรแมนติกที่เก่าแก่ที่สุดให้เธอด้วย
“ทำไมต้องออกเสียงแปลกขนาดนั้นด้วย พลิกไปพลิกมาไม่เหนื่อยเหรอ?”
“เธอฟังให้ดีนะเป่ยซี ทุกจังหวะโทนเสียงของมันมีทั้งความโรแมนติกแล้วก็ความคลาสสิค เหมือนความเป็นอมตะที่ไม่เปลี่ยนแปลง เหมือนเวลาที่พูดว่าฉันรักเธอ เหมือนความผันผวนของโลกที่ไม่มีวันเปลี่ยนไป”
“ลู่เยี่ยหวา นายจำเป็นต้องเห่ยแบบนี้ด้วยเหรอ?”
“เธอไม่ชอบเหรอ?”
อี้เป่ยซีที่ยังคงเหม่อลอยถูกเสียงแหลมสูงดึงกลับมาทันใด เธอมองไปยังเจ้าของเสียงที่ขัดจังหวะเธอด้วยความงุนงง
“ผู้ชายที่อยู่ข้างนอกคนนั้นหล่อจังเลย คนประเทศ C สินะ เป่ยซีเธอรู้จักไหม?”
ไม่ทันรอให้เธอตอบ เพื่อนนักศึกษาของเธอก็เอ่ยขึ้น “อ๋อ ลั่วจื่อหาน แฟนของเป่ยซีน่ะ”
อี้เป่ยซีมองผ่านฝูงชนที่กระจัดกระจายแล้วหยุดอยู่ที่ลั่วจื่อหานที่อยู่หน้าประตู สายตาของทั้งสองคนประสานกัน ความสุขของการได้เจอกันอีกครั้งหล่อหลอมเข้าด้วยกัน หัวใจยังคงกระโดดโลดเต้นรุนแรงเหมือนตอนที่รักกันใหม่ๆ เสียงของเพื่อนนักศึกษาด้านข้างค่อยๆ จางหายไป เธอเดินไปยังคนที่คิดถึงโดยไม่รู้ตัว ไม่รู้ว่าเมื่อไรทั้งสองคนก็อยู่ตรงหน้าของกันและกันแล้ว
อี้เป่ยซีจึงสังเกตเห็นความอิดโรยบนใบหน้าของลั่วจื่อหาน ราวกับว่าอดนอนมาหลายวัน เคราบนคางงอกหนา ใต้ตาก็มีรอยคล้ำเข้ม
“แพนด้าลั่ว?” เธอยื่นมือลูบคลำถุงใต้ตาของลั่วจื่อหาน “ไม่ได้นอนหลายวันเหรอ?”
ลั่วจือหานคว้ามือของเธอ “คืนนี้มีธุระหรือเปล่า?”
“ไม่มีอะไร ก็แค่เพื่อนๆ ไม่กี่คนอยากออกไปกินข้าวด้วยกัน เอ๊ะ ทำไมจู่ๆ นายถึงโผล่มาล่ะ?”
“ใช่สิ ผู้หญิงไม่น่าเชื่อถือบางคนจู่ๆ ก็จากไป ฉันก็ได้แต่จู่ๆ ปรากฏตัวต่อหน้าเธอไง”
อี้เป่ยซีพิงอยู่บนหน้าอกของเขา เมื่อหายใจก็ยังคงได้กลิ่นหอมสดชื่นบนตัวของเขา “ตอนนี้นายยังมาเจ้าคิดเจ้าแค้นอีกนะ ขี้งอนจริงๆ งั้นคืนนี้ฉันจะทิ้งนายแล้วออกไปเที่ยวกับเพื่อนๆ ก็แล้วกัน”
“เธอกล้าเหรอ” อี้เป่ยซีมุ่ยปาก ใบหน้ามีรอยยิ้มมีความสุข แขนของลั่วจื่อหานที่กอดเธอออกแรงขึ้นเล็กน้อย อ้อมกอดถูกเติมเต็ม ความว่างเปล่าในใจไม่กี่วันก่อนหน้านี้หายเป็นปลิดทิ้ง เขารู้ว่าตอนนี้อี้เป่ยซีพึ่งพาเขามากขึ้นทุกที เขาเองก็ไม่สามารถไปจากเธอได้
อี้เป่ยซีรู้ว่าลั่วจื่อหานยังไม่ได้กินอะไรก็ขึ้นเครื่องบินแล้ว ตำหนิเขาเล็กน้อยแล้วพาเขาไปที่ร้านอาหารที่อร่อยมากในบริเวณใกล้เคียง หลังจากกินอิ่ม เธอก็เลื่อนนัดกับเพื่อนๆ ในวันนี้ด้วยความเกรงใจ ท่าทีเข้าเข้าอกเข้าใจของพวกเขายิ่งทำให้อี้เป่ยซีเกรงใจกว่าเดิม
ลั่วจื่อหานจูงมือของเธอ แม้ว่าไม่ได้หลับตามาสองสามวันแล้ว แต่ก็ยังคงลากเธอไปเดินเล่นบนถนนหลายรอบก่อนกลับโรงแรมของตัวเอง ทันทีที่หัวถึงหมอนก็ผล็อยหลับแล้ว อี้เป่ยซีถูกเขากอดเหมือนกับหมอนข้าง ต้องใช้พลังอย่างมากจึงจะลุกขึ้นนั่งได้ ลั่วจื่อหานลืมตาขึ้นด้วยความไม่พอใจเล็กน้อย ดวงตามีสีเลือดแดงก่ำ
“เป็นอะไรไป?”
“นายนอนก่อนเถอะ ฉันจะช่วยนายเปลี่ยนเสื้อ”
ลั่วจื่อหานพยักหน้า หลับตาอยู่ในสภาวะครึ่งหลับครึ่งตื่น เขารู้สึกว่ามือน้อยๆ คู่หนึ่งช่วยเขาเปลี่ยนเสื้อผ้าและเช็ดตัวด้วยความระมัดระวังมาก สุดท้ายก็ช่วยเขาห่มผ้า ‘บางทีคู่สามีภรรยาที่ใช้ชีวิตด้วยกันหลายปีก็เป็นแบบนี้ล่ะมั้ง’ ลั่วจื่อหานคิดในใจ คนตัวเล็กๆ ปิดไฟ แล้วเอนตัวลงข้างเขา
“ลั่วจื่อหาน นายหลับแล้วยัง?”
“อืม” เขาตอบรับอย่างสะลึมสะลือ ได้ยินเสียงหัวเราะของเธอและกอดเขาแน่นกว่าเดิมเล็กน้อย
————