ตอนที่ 198 เยือนต่างถิ่นอีกครั้ง (6)
หลังจากลู่เยี่ยจิ่งโผล่มาครั้งนั้น ก็ไม่เคยปรากฏตัวต่อหน้าอี้เป่ยซีอีกเลย ลั่วจื่อหานยังคงอยู่กับเธอเป็นเงาตามตัว ไม่ได้เปิดเผยความชั่วร้ายลึกๆ ต่อเธอ และอี้เป่ยซีก็ไม่ได้ไปถามเรื่องพวกนี้ การสัมมนาครั้งนี้ปิดฉากลงด้วยความราบรื่นเป็นอย่างมาก อี้เป่ยซีจัดเรียงบันทึกของตัวเองเล็กน้อยที่หน้าโต๊ะโรงแรม ลั่วจื่อหานกำลังเก็บกระเป๋าอยู่ข้างหลังเธอ
“เสร็จแล้ว เอาสมุดเธอบนโต๊ะมาสิ”
อี้เป่ยซีตอบว่าอืม หลังจากเขียนคำสุดท้ายเสร็จก็ยืดเหยียดตัว ยื่นสมุดบันทึกให้เขาอย่างว่าง่าย จ้องเขาเก็บข้าวของ
“เป็นอะไรไป?”
เธอส่ายหน้า “ก็แค่รู้สึกว่า วันนี้นายหล่อมากอีกแล้ว”
ลั่วจื่อหานยังคงเก็บของต่อ ไม่แม้แต่เหลือบตาขึ้นมอง “อย่าคิดว่าคำชมไม่กี่คำ พอกลับไปแล้วฉันจะไม่คิดบัญชีกับเธอนะ”
“ผู้ชายอย่างนายทำไมเจ้าคิดเจ้าแค้นแบบนี้”
“อืม ฉะนั้นเธอก็อย่าเอาความแค้นให้ฉันคิดมากสิ” ลั่วจื่อหานพยักหน้าด้วยท่าทางจริงจัง จนทำให้เด็กสาวที่อยู่ข้างๆ ไร้คำพูด
เขาหน้าไม่อายแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไรกันนะ ใครเรียนรู้มาจากใครกันแน่
ลั่วจื่อหานก็จัดเก็บของในมือเสร็จเรียบร้อยแล้ว เงยหน้าเห็นสีหน้าหดหู่ของเด็กสาว เอื้อมมือไปขยี้หัวของเธอ “เอาเถอะ พวกเรากลับบ้านกัน”
มีผู้คนมากมายจากประเทศ C ผ่านไปมาที่สนามบินพร้อมรอยยิ้มแห่งความสุขบนใบหน้า น่าจะเป็นเพราะกำลังจะกลับบ้านไปหาครอบครัวและเพื่อนๆ ล่ะมั้ง อี้เป่ยซีเห็นท่าทางดีอกดีใจของพวกเขา ตัวเองก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มไปด้วย
ดีจัง สนามบินที่น่าเบื่อหน่ายก็อบอุ่นขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
“เป็นอะไรไป?”
“ดีใจที่ได้กลับบ้านไง” อี้เป่ยซียังมองมองผู้คนรอบกาย ตอบคำถามของเขาโดยไม่คิด ลั่วจื่อหานบีบมือเธอแน่นกว่าเดิม
เขาพยักหน้าเล็กน้อย สายตาเต็มไปด้วยภาพเด็กสาวที่ยิ้มแย้มตรงหน้า “กลับบ้าน” สองคำนี้ยังคงอ้อยอิ่งอยู่ในหูของเขา รวมทั้งเสียงที่สดใสดุจระฆังของเธอ
เขารู้ว่าเขาในตอนนี้ไม่สามารถแยกตัวออกจากเด็กสาวที่เขาพบที่สี่แยกในตอนนั้นได้ แต่กลับคิดไม่ถึงว่าเด็กสาวคนนั้นจะมอบความเปลี่ยนแปลงให้เขามากมายขนาดนี้ ในระหว่างการตามหาที่ยาวนานก็ยังสามารถมอบความประหลาดใจให้เขาได้มากมายถึงเพียงนี้ และยังมอบครอบครัวให้กับเขาอีกด้วย
ครอบครัวที่เธอสร้างร่วมกับเขา
พวกเขาสามารถรวมตัวกันเพื่อเฉลิมฉลองในทุกเทศกาล ในวันเทศกาลก็เตรียมอาหารด้วยกัน จัดแจงแสงเทียนที่อบอุ่นด้วยกัน เดินทอดน่องอยู่บนถนนของค่ำคืนหนาวเหน็บด้วยกัน พูดคุยถึงเรื่องสนุกๆ ที่เคยเกิดขึ้นด้วยกัน ทำหลายๆ เรื่องที่ต้องการแบ่งปันด้วยกัน ตั้งท้องลูกสักคน เล่นด้วยกันกับลูกภายใต้แสงอาทิตย์ บอกพวกเขาว่าพ่อกับแม่เคยมีความสุขมากแค่ไหน
ทันใดนั้นไม่รู้ว่าเสียงใครกรีดร้อง คนในห้องโถงใหญ่ต่างสับสนอลหม่าน เสียงเตือนภัยดังขึ้นอึกทึก ภาพของความกลมเกลียวตรงหน้ากลายเป็นความโกลาหล เสียงปืนนัดสุดท้ายผลักดันให้ฝูงชนวุ่นวายสู่จุดสูงสุด ทุกคนต่างหลบหนีกระจัดกระจายอย่างสิ้นหวัง มองหาสถานที่ที่คิดว่าจะสามารถป้องกันตัวเองได้
ลั่วจื่อหานมองดูครู่หนึ่ง ฝูงชนค่อนข้างวุ่นวายเขามองไม่เห็นแหล่งที่มาว่าเกิดอะไรขึ้น หรือใครที่สร้างการจราจลนี้ เขาปกป้องคนในอ้อมแขนแล้วพาไปยังมุมที่สงบ อี้เป่ยซีคว้ามือของเขาด้วยความสั่นเทาเล็กน้อย “ลั่ว ลั่วจื่อหาน”
เขากอดเธอแน่น “ไม่เป็นไร มันจะไม่เป็นอะไรเป่ยซี”
ลั่วจื่อหานมองไปยังนอกประตู กลุ่มคนที่เหมือนฝูงนกสีดำรุดเข้ามาจากระยะไกล เขามองคนของตัวเองที่ยืนอยู่ชั้นบน พยักหน้า เสียงกระสุนปืนโหมกระหน่ำภายในโถงเล็กๆ ราวกับประกาศให้ทุกคนรู้ถึงพลังของตัวเองว่าไร้ความเกรงกลัวและฮึกเหิมมากเพียงใด
น้ำตาของอี้เป่ยซีร่วงออกมาจากดวงตาไม่หยุด ลั่วจื่อหานใช้สองมือปิดหูของเธอไว้ พยายามอย่างสุดความสามารถไม่ให้เสียงจากโลกภายนอกเข้าไปในหูของเธอ มีตำรวจกลุ่มหนึ่งบุกเข้ามา หลังจากผ่านไปเนิ่นนานโลกทั้งใบจึงสงบลง กลิ่นดินปืนและคาวเลือดตลบอบอวลอยู่ในอากาศ
ลั่วจื่อหานประคองเธอแล้วลุกขึ้นยืนช้าๆ ตำรวจสองสามนายเข้ามาหาพวกเขา ในหูของอี้เป่ยซีมีเพียงเสียงงึมงำของตำรวจ ไม่รู้ว่าพวกเขากำลังคุยอะไรกัน สีหน้าของลั่วจือหานสง่างาม คุยกับพวกเขาสั้นๆ อีกสองสามคำ ตบๆ หลังของอี้เป่ยซี ประคองเธออย่างมั่นคงเพื่อออกไปข้างนอก
อี้เป่ยซีค่อยๆ ก้าวเท้าเดินออกไปจากมุมนั้นด้วยความสั่นเทา สายตาเธอมองเข้าไปภายในห้องโถงโดยไม่ได้ตั้งใจ เธอไม่รู้ว่าเอาเรี่ยวแรงมาจากไหน ผลักลั่วจื่อหานออกไปแล้วอาเจียน ‘แหวะ’ ออกมาเสียงดัง
ลั่วจื่อหานยืนอยู่ข้างเธอ “เป่ยซี อย่ามอง ไม่เป็นไรนะ ไม่เป็นไรแล้ว”
อี้เป่ยซียังไม่ทันเอ่ยปาก เสียงปังๆ ดังขึ้นสองครั้งข้างหู ลั่วจื่อหานปกป้องเธอแน่นไว้ในอ้อมแขน กลิ่นเลือดที่ปลายจมูกยิ่งหนักหน่วงกว่าเดิม ทั้งผืนฟ้าถูกย้อมเป็นสีแดง
“ลั่วจื่อหาน!” ในขณะนี้ลั่วจื่อหานปากซีดแล้ว เขาฝืนยิ้ม มือที่ยกขึ้นมาสั่นเทาเล็กน้อย แต่ยังคงสัมผัสศีรษะของอี้เป่ยซีอย่างอ่อนโยน
“ไม่เป็นไร ไม่ต้องร้องไห้” จากนั้นร่างของเขาก็ล้มลงบนตัวอี้เป่ยซีอย่างแรง มือเปื้อนเลือดตกลงไปข้างหนึ่ง
“ลั่วจื่อหาน ลั่วจื่อหาน นายตื่นสิ นายอย่าทำให้ฉันตกใจสิลั่วจื่อหาน…”
เมื่อลูเยี่ยจิ่งที่ปรี่เข้ามาเห็นสถานการณ์ที่อยู่ตรงหน้า สบถออกมา
“เป่ยซี ไม่เป็นไร ลั่วจื่อหานจะไม่เป็นอะไร” เขาปลอบใจอี้เป่ยซีสองสามคำ ดึงลั่วจื่อหานขึ้นมาจากพื้น คนในชุดดำเห็นดังนี้แล้วก็รีบเข้ามาหาพวกเขา คุ้มกันทั้งสามคนเพื่อไปส่งที่รถตู้ อี้เป่ยซีนั่งลงข้างลั่วจื่อหาน สติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ปากพึมพำชื่อของของตลอดเวลา
รถของลู่เยี่ยจิ่งขับด้วยความรวดเร็ว ลั่วจื่อหานถูกส่งเข้าห้องผ่าตัดทันที
อี้เป่ยซีจ้องไฟสีแดงตาไม่กระพริบ
“เขาจะไม่เป็นอะไร เธออย่าห่วงไปเลย” ลู่เยี่ยจิ่งนั่งข้างเธอ ต้องการจะเอื้อมมือออกไปแต่ก็หยุดอยู่กลางอากาศ แล้ววางมันลงอย่างอ่อนแรง
‘บ้าจริง ทำไมถึงมาหย่อนยานในนาทีสุดท้ายล่ะ ลู่เซิง’ ดวงตาของลู่เยี่ยจิ่งเบิกกว้าง กำหมัดทุบบนผนังอย่างแรงแต่ไร้ซึ่งเสียงใดๆ
แสงสีแดงยังคงติดอยู่ตลอดทั้งคืน อี้เป่ยซียืนอยู่ตรงนั้นตลอดเวลา ผ่านไปเนิ่นนานแสงนั้นจึงดับลง คุณหมอผ่าตัดเดินขมวดคิ้วออกมา
“คุณหมอคะ เป็นยังไงบ้าง?” อี้เป่ยซีคว้าตัวเขาราวกับคว้าฟางเส้นสุดท้าย เขาส่ายหน้า
“อาการไม่สู้ดีเท่าไร”
อี้เป่ยซีถอยหลังไปสองสามก้าว “หมาย หมายความว่าอะไรคะ?”
“แผลใหม่บวกกับแผลเก่า ต้องดูว่าคืนพรุ่งนี้เขาจะฟื้นขึ้นมาหรือเปล่านะครับ”
ลั่วจื่อหานถูกเข็นออกมา ใบหน้าที่เดิมทีมีชีวิตชีวาอ่อนล้าอย่างเห็นได้ชัด บนใบหน้าไร้ซึ่งสีเลือด ราวกับว่าสามารถจากไปได้ทุกเมื่อ อี้เป่ยซีสูดจมูกฟึดฟัด
“ลั่วจื่อหาน นายจะต้องฟื้นขึ้นมาใช่หรือเปล่า?”
ไม่ช้าลั่วจื่อหานก็ถูกส่งไปที่ห้องคนไข้ อี้เป่ยซีเพิ่งจะนั่งลงก็เห็นลั่วจื่อจี้ที่พุ่งเข้ามาอย่างกระหืดกระหอบ
“เกิดอะไรขึ้น?”
น้ำตาของอี้เป่ยซีร่วงลงทันใด พูดอย่างสะอึกสะอื้นเล็กน้อย “ลั่วจื่อหาน…ลั่ว…เขา สนามบิน”
ลั่วจื่อหานจี้กอดอี้เป่ยซีแผ่วเบา “ไม่เป็นไรนะซ้อใหญ่ พี่ชายฉันจะต้องไม่เป็นไร เขาทิ้งซ้อไว้ที่นี่ไม่ลงหรอก”
————