ตอนที่ 205 วิกฤตความจำ (3)
“หลิงจื่อเซี่ย” ดวงตาของอี้เป่ยซีเบิกกว้างไม่รู้เป็นเพราะว่าโมโหหรือประหลาดใจ รู้สึกเหลือเชื่อเล็กน้อย “หลิงจื่อเซี่ย หรือเธอไม่รู้ว่าทำไมลั่วจื่อหานถึงบาดเจ็บจนป่านนี้ยังไม่ฟื้นเหรอ เธอยังสมรู้ร่วมคิดกับคนที่ทำร้ายเขาอีกเหรอ!”
หลิงจื่อเซี่ยหัวเราะอย่างไม่ใส่ใจ เอ่ยเยาะเย้ย “อี้เป่ยซี จนป่านนี้แล้วเธอยังไม่รู้ความผิดของตัวเองอีกเหรอ ถ้าไม่ใช่เพราะเธอ พวกพี่จื่อหานจะสืบสาเหตุการตายที่แท้จริงของลู่เยี่ยหวาได้ยังไง พวกลู่เซิงจะลงมือกับพี่จื่อหานได้ยังไง ใครกันแน่ที่ทำร้ายพี่จื่อหาน เธอรู้ดีกว่าฉันเป็นพันเป็นหมื่นเท่า”
อี้เป่ยซีได้ยินคำพูดของเธอแล้วม่านตาก็หดตัว มองลู่เซิงที่ดื่มไวน์อย่างสบายอารมณ์ด้วยความเหลือเชื่อ “เพราะ เพราะเธอ…เธอ ทำไมเธอ…เพราะอะไร” น้ำตาไหลออกมาจากดวงตาของอี้เป่ยซี “เขาดีกับเธอแบบนั้น ทำไมเธอต้องไปทำร้ายเขา ทำไม! ลู่เยี่ยหวาไม่ดีกับเธอตรงไหน เขาทำผิดตรงไหน ทำไมเธอต้องใจร้ายทำให้เขาตายด้วย ลู่เซิง” อี้เป่ยซีดิ้นรนอย่างหนัก เก้าอี้ขยับเล็กน้อย กลืนกินพลังของเธอ
ลู่เซิงวางแก้วบนโต๊ะที่ทรุดโทรมเบาๆ แก้วคริสตัลงานปราณีตกับโต๊ะไม้ที่ถูกสร้างขึ้นอย่างหยาบๆ นั้นไม่เข้ากันเลย เธอเดินเข้ามาหาอี้เป่ยซีช้าๆ “ไม่ใช่ฉัน ฉันกับลู่เยี่ยหวาจะมีความแค้นอะไรต่อกันได้? เพียงแต่ เขาคิดจะขวางทางทุกคน แน่นอนว่ามีหลายคนอยากต่อสู้กับเขา ฉันก็แค่ช่วยพวกเขาเท่านั้น อีกอย่างพ่อแม่เขาก็ยินยอมแล้วไม่ใช่เหรอ?”
ยิน ยินยอม? อี้เป่ยซีไม่เข้าใจ สายตาจ้องลู่เซิงเขม็ง ปลายจมูกมีเหงื่อออกมากเพราะความตื่นเต้น ลู่เซิงหัวเราะเย้ยหยัน “มันก็เรื่องปกติไม่ใช่เหรอ อำนาจของบ้านลู่ยุ่งเหยิงและหยั่งรากลึก ลู่เยี่ยหวาหวังจะพึ่งพิงขนาดนั้น ตัดแขนขาทุกส่วนทิ้ง ไม่ว่าใครก็คงไม่ยอมให้เขาทำแบบนี้ต่อไปหรอก ตัวหมากที่ใช้ประโยชน์ไม่ได้ก็ต้องกำจัดทิ้ง ประเทศเธอก็มีสำนวนนี้ไม่ใช่เหรอ”
“ฉัน…” อี้เป่ยซีตะกุกตะกักเล็กน้อย การหายใจของเธอก็ติดขัด เธอก้มหน้าแล้วหลับตาลงเบาๆ ลู่เยี่ยหวา เขา เขารู้เรื่องนี้หรือเปล่า…เขา ในช่วงเวลานั้นเขาเจออะไรมาบ้างกันแน่…เธอเองยังจะ ลู่เยี่ยหวา…
หลิงจื่อเซี่ยได้ยินเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นที่ไม่สามารถควบคุมได้ของเธอ ยิ้มเย็นชา เดินเข้าไปหาเธอแล้วเชิดคางของเธอขึ้น “จุ๊ๆ ร้องไห้แบบนี้น่าสมเพศจังเลย พี่จื่อหานเห็นแล้วจะต้องปวดใจแน่ๆ น่าเสียดายนะ ต่อให้เขาเจอเธออีกครั้งก็จะไม่มีความรู้สึกอะไรแล้ว”
“อ้อ เมื่อกี้ฉันยังไม่ได้บอกเธอ พี่จื่อหานฟื้นเมื่อสองสามวันก่อนแล้ว แม่เฝ้าดูลั่วจื่อจี้ตลอดเวลา ก็เลยไม่มีใครบอกข่าวนี้กับเธอ”
“แต่ยังมีข่าวร้ายอีกเรื่อง เมื่อกี้พี่จื่อหานผ่าตัดเสร็จแล้ว เขาจะไม่มีวันจำได้อีกว่าอี้เป่ยซีมีตัวตนอยู่”
“หลิงจื่อเซี่ย” อี้เป่ยซีแทบจะกัดฟันกรามเรียกชื่อของเธอ อารมณ์ต่างๆ ประทุอยู่ภายในร่างกาย อี้เป่ยซีไม่สามารถควบคุมได้เลยและไร้ซึ่งพลังที่จะควบคุม หัวใจราวกับถูกใครบีบรัดจนแน่นจนเหมือนว่ามันจะแตกละเอียดในวินาทีถัดไป และเลือดเนื้อก็จะทะลักออกมาจากช่องว่าง
งั้นก็ตายให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย ตายแล้วก็จะได้ไม่ทรมานแบบนี้ จะได้ไม่ต้องรับรู้เรื่องที่น่ากลัวแบบนี้ จะได้ไม่เห็นคนที่ตัวเองชอบห่างเหินจากเธอราวกับคนแปลกหน้า เธอไม่อยากเห็นใครได้รับบาดเจ็บอีกและไม่อยากรับมือกับเรื่องราวที่วุ่นวายยุ่งเหยิงแบบนี้อีก
ไม่ต้องกระวนกระวายใจ ไม่ต้องระแวงระวัง ไม่ต้องหลบๆ ซ่อนๆ จากไปแบบนี้ก็ดี
จู่ๆ อี้เป่ยซีก็ระเบิดหัวเราะออกมา ไม่สามารถเห็นสภาพแวดล้อมโดยรอบผ่านหยาดน้ำตาได้ เธอรู้สึกว่าเสียงที่ข้างหูค่อยๆ เลือนลาง ได้ยินเสียงคนสบถรุนแรงแล้วก็มีคนคอยกระตุ้น เสียงในหูนั้นอลหม่าน เสียงปืนดังก้องอยู่ในหู ตัวเธอเหมือนถูกโยนลงไปในทะเลสาบ ค่อยๆ จมลงไป มีเสียงของสัตว์ร้ายคำรามอยู่ข้างๆ
เธอรู้สึกว่าตัวเองยิ่งหายใจติดขัดขึ้นทุกที หล่มตมกำลังจะพ้นศีรษะของเธอไป ทันใดนั้นมืออันทรงพลังก็คว้าเธอไว้ ดึงเธอออกมาจากโคลนตม เธอพิงอยู่บนหน้าอกหนาที่อบอุ่น ปากขยับแต่ไม่ได้เรียกชื่อนั้นออกมา
ลั่วจื่อหาน
ทันใดนั้นหลังมือก็รู้สึกเจ็บแปลบ อี้เป่ยซีอดไม่ไดที่จะขมวดคิ้ว มือขยับเขยื้อน ลืมตาขึ้นช้าๆ เสียงในหูก็ยิ่งชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ
“ระวังหน่อย” ผู้ชายคนนั้นกระซิบกำชับหมอที่เจาะเข็มอยู่ข้างๆ ยื่นมือกดหลังมือของอี้เป่ยซีเอาไว้
“ลั่วจื่อหาน”
“อืม เธอตื่นแล้วเหรอ” ลั่วจื่อหานนอนถัดจากอี้เป่ยซีเนื่องจากแผลของเขายังไม่หายดี เมื่อเขาขยับตัวเล็กน้อยก็ถูกเด็กสาวข้างๆ ห้ามไว้
“บนตัวนายยังมีบาดแผล อย่าขยับเลย” อี้เป่ยซีพลิกตัวไปหาลั่วจื่อหาน โอบเอวของเขาแผ่วเบา สูดหายใจลึก “ฉันนึกว่าจะไม่ได้เจอนายแล้วซะอีก”
มือของลั่วจื่อหานลูบผมของเธออย่างนุ่มนวล น้ำเสียงแหบแห้งเล็กน้อย “จะเป็นไปได้ยังไง ฉันบอกแล้วไม่ใช่เหรอ ว่าพวกเราจะอยู่ด้วยกันตลอดไป ไม่เชื่อที่ฉันพูดเหรอ?”
“เปล่า” อี้เป่ยซีกอดเขาแน่นกว่าเดิม “ฉันแค่รู้สึกว่า…นายพูดถูกทุกอย่าง”
“เพิ่งรู้เหรอ” เมื่อได้ยินเสียงที่อ่อนโยนของเธอที่ดังอยู่ในหูตัวเองจริงๆ อุณหภูมิของแขนที่ถ่ายผ่านสู่ตัวของเขาผ่านเสื้อผ้าชั้นบางๆ หัวใจที่ตื่นตระหนกในตอนแรกจึงสงบลง แต่ความกลัวก็ยังอ้อยอิ่งอยู่บ้างเพราะเหตุการณ์ก่อนหน้านี้
โชคดี โชคดีที่เขาไปทัน เขาไม่กล้าจินตนาการจริงๆ ว่าถ้าเขาไปช้าสักหนึ่งก้าวจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นบ้าง โชคดีที่เด็กสาวของเขายังอยู่ข้างกายของตัวเองอย่างแคล้วคลาดปลอดภัย และเขาก็ยังกุมมือของเธอได้
“พี่ ซ้อยังไม่…” ลั่วจื่อจี้เพิ่งจะเดินเข้ามาก็รู้สึกบรรยากาศผิดแปลกไป หลังจากถูกพี่ชายของตัวเองเหลือบมองอย่างเย็นชาแล้ว ก็ถอยออกไปอย่างเขินอาย อี้เป่ยซีได้ยินเสียงของเขาแล้วก็รู้สึกเคอะเขินเล็กน้อย ดึงมือของตัวเองกลับช้าๆ
อี้เป่ยซีหน้าแดง ต้องการจะลุกจากเตียงขึ้นนั่ง
“ไข้ลดแล้ว พักผ่อนต่ออีกหน่อยเถอะ เดี๋ยวลั่วจื่อจี้จะส่งข้าวมา”
“แต่ฉันนอนจนปวดหัวแล้ว”
ลั่วจื่อหานถอนหายใจเบาๆ “ไม่รู้จะทำยังไงกับเธอจริงๆ กระเป๋าของเธอหายน่ะ ฉันให้คนไปซื้อใบใหม่ให้เธอแล้ว อยู่ในตู้เสื้อผ้า”
“หากระเป๋าไม่เจอ?” อี้เป่ยซีเหลือเชื่อเล็กน้อย “แล้วสมุดบันทึกของฉันล่ะ?”
“เก็บสมุดบันทึกไว้ให้เธอน่ะ แต่อย่างอื่นหายไปหมดแล้ว” ลั่วจื่อหานหน้าบึ้ง ไม่ต้องการพูดถึงหัวข้อนี้อีก อี้เป่ยซีไม่ค่อยเข้าใจ แต่ก็ยังเปิดผ้าห่มแล้วไปล้างหน้าล้างตาในห้องน้ำ แล้วเปลี่ยนเสื้อสบายๆ
หลังจากอี้เป่ยซีล้างหน้าล้างตาเสร็จแล้ว สมองก็เริ่มรู้สึกสดชื่นขึ้นมาบ้าง เธอมองไปรอบกาย “นี่ นี่มัน บ้าน นาย?”
ลั่วจื่อหานขำกับปฏิกิริยาของเธอ “จะให้เป็นบ้านใครล่ะ เธอนึกว่าตอนนี้เธออยู่ที่ไหน?”
“แล้ว นาย คุณ คุณน้าลั่ว จะไม่โกรธเหรอ?”
“ไม่โกรธ”
————