ตอนที่ 212 บทสรุปอันยิ่งใหญ่ (4)
ฤดูหนาวปีนี้ผ่านไปไวมาก เมื่อย่างเข้าเดือนมีนาคมเมษายนก็สามารถพับเก็บเสื้อตัวหนาได้แล้ว ดวงอาทิตย์ไม่ได้ส่องแสงเพียงผิวเผินอีกต่อไป แต่เป็นสีทองระยิบระยับอันอบอุ่น ไม่ทันรู้ตัวต้นไม้ก็แตกหน่อใหม่อีกครั้งและรวมตัวเข้าด้วยกันเป็นหนึ่งเดียว ดอกไม้ยื่นออกมาจากกิ่งกระดูกสีน้ำตาล ต้นหญ้าโผล่ยอดขึ้นมาให้เห็น มีแสงแดดรำไรอยู่บนยอดหญ้า แต่หลังจากผ่านไปสามวัน สัญญาณของฤดูใบไม้ผลิที่ไร้ซุ่มเสียงเหล่านี้ก็เกิดความหยิ่งผยอง ต้นไม้ใหญ่เป็นเหมือนยักษ์ที่ถูกปลุกให้ตื่นฉับพลัน เพียงแค่ยื่นแขนก็สามารถบดบังเส้นทางได้ทั้งหมด เงาของนกนางแอ่นสองสามตัวพุ่งผ่านเงาต้นไม้ที่เว้าแหว่งเป็นครั้งคราว เสียงของจิ้งหรีดดังอยู่ทุกซอกมุมตั้งเช้าจรดค่ำ
วิทยานิพนธ์สำเร็จการศึกษาของอี้เป่ยซีมาถึงขั้นตอนสุดท้ายแล้ว อี้เป่ยซีไม่ได้จับใจความข้อเสนอแนะของอาจารย์ที่ให้เธอคราวก่อนได้ทั้งหมด หลังจากแก้ไขแล้วจึงพบความผิดพลาด แต่ว่ายังเหลือเวลาอีกมากจึงไม่ต้องรีบร้อนอะไร พุ่มไม้ใหญ่ถูกลมพัดปลิวจนทำให้เกิดเสียงดังมากเหมือนเสียงคลื่นในทะเล อี้เป่ยซีเดินช้าลงโดยไม่รู้ตัว กลิ่นหอมของหญ้าเขียวล่องลอยอยู่ในอากาศ
อี้เป่ยซีมองปลายเท้าของตัวเอง ตอนนี้เธอเดินผ่านอาคารเรียน ห้องสมุด อาคารธุรการ และอาคารเรียนอีกหลัง ด้านหน้าก็จะเป็นโรงอาหาร สนามเด็กเล่น และลานจตุรัส ก้อนหินขนาดใหญ่ถูกวางอยู่ตรงกลางจตุรัส ตัวอักษรที่เขียนด้วยหมึกสีแดงนั้นหนาและน่าเกรงขาม ด้านซ้ายมือของจตุรัสคือหอพัก ถัดไปอีกหน่อยถือศูนย์กิจกรรมนักศึกษา จากนั้นก็ถึงประตูมหาวิทยาลัย เธอหยุดอยู่หน้าป้ายกลอนคู่ที่หน้าประตู
เวลาผ่านไปไวมาก เมื่อก่อนมักจะรู้สึกทุกๆ วินาทีนั้นผ่านไปอย่างยากลำบาก เมื่อหันกลับไปมองจึงพบว่าแท้จริงแล้ววันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว หนึ่งปี สองปี สามปี เวลาที่ฟังดูยาวนานและยิ่งใหญ่แบบนี้ สามารถบีบอัดเป็นชิ้นเล็กๆ และเก็บไว้ในหน่วยความจำ มันทำให้เธอรู้สึกว่าตัวเองเพิ่งจะก้าวเข้ารั้วมหาวิทยาลัยเมื่อวาน วันนี้ก็ใกล้จะเรียนจบแล้ว
อี้เป่ยซีหันกลับไปมองมหาวิทยาลัย โรงอาหารตั้งอยู่ตรงกลาง ตอนนี้ยังเป็นเวลาเรียน มีเพียงสองสามคนที่อยู่บนทางเดิน ปากของพวกเขาปิดๆ เปิดๆ กำลังพูดคุยถึงเรื่องที่นักศึกษาในมหาวิทยาลัยจะพูดคุยกัน บางทีสิ่งที่พวกเขากำลังพูดถึง อาจเป็นเรื่องที่อี้เป่ยซีเคยพูดถึง หรือเป็นเรื่องที่รุ่นพี่ของอี้เป่ยซีเคยพูดถึง อี้เป่ยซีเหมือนมองเห็นภาพในอดีตจากพวกเขา เงาที่แตกต่างกลับมาบรรจบกันอย่างแปลกประหลาด จากสีขาวดำสู่สีสันสดใส จู่ๆ เธอก็รู้สึกอาลัยอาวรณ์ที่นี่
ห้องอ่านหนังสือ ห้องสมุดและโรงอาหารที่ต้องนั่งลงอย่างระมัดระวังทุกครั้ง หอพักที่เก่าแก่มากจนทางมหาวิทยาลัยพูดอยู่เสมอว่าจะซ่อมแซมแต่ก็ไม่เคยซ่อมสักที ห้องเรียนที่เครื่องใช้ไฟฟ้าเสียตั้งแต่ศตวรรษที่แล้ว เพื่อนนักศึกษาที่ชอบ ‘คุยโวโอ้อวด’ และผู้บรรยายที่มีรอยยิ้มแสนใจดี
ทำไมต้องจากไปด้วย อี้เป่ยซีไม่ค่อยเข้าใจ ทำไมต้องเป็นเหมือนกับนกที่ยังไม่ตาย ที่ไม่อยากหยุดพักบนทุกกิ่งไม้ที่พบเห็น จนกระทั่งชีวิตใกล้จะดับสลายแล้วจึงหยุดอยู่บนกิ่งไม้ ไม่เช่นนั้นก็จะหนีต่อไปไม่หยุด
ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยวูบผ่านในหัวของอี้เป่ยซีอย่างรวดเร็ว ตั้งแต่เมื่อได้เจอกับลั่วจื่อหาน ฉินรั่วเข่อ มู่ลี่ไป๋ เยี่ยฉิน หลิงจื่อเซี่ย…ชิ้นส่วนของเรื่องราวที่เกิดขึ้นระหว่างนี้กระพริบถี่เหมือนโคมไฟ การโต้เถียง เสียงหัวเราะ การแตกสลาย การปกปิด การสวมกอด สีสันที่หลายหลายเติมเต็มแสงของโคมไฟนั้น ภาพทั้งสมบูรณ์และหนักแน่นราวกับไปเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์
“เสี่ยวซี” อี้เป่ยซีคุยเรื่อยเปื่อยกับอาจารย์ผู้สอนระหว่างการหารือทำให้เสียเวลามากขึ้น ลั่วจื่อหานไม่เจอเธอจึงต้องการจะเข้าไปหาเธอที่มหาวิทยาลัย เมื่ออยู่ที่ประตูก็เจอกับอี้เป่ยซีพอดี “เสร็จแล้วเหรอ?”
อี้เป่ยซีพยักหน้า ปล่อยให้ลั่วจื่อหานจูงไปขึ้นรถ ทันทีที่นั่งลงที่นั่งข้างคนขับ อี้เป่ยซีก็พิงหน้าต่างรถด้วยความอ่อนล้า มองดูประตูใหญ่ของมหาวิทยาลัย กระเบื้องโมเสคที่อยู่ในเนื้อบรอนซ์เงินตั้งอยู่บนหินอ่อนหยกสีดำ ทุกลายเส้นนั้นเต็มไปด้วยความปราณีต ราวกับว่ามันต้องการจะจารึกไว้ในร่างกายผ่านสายตาของคุณ อี้เป่ยซีกำลังดื่มด่ำกับมัน ตัวอักษรไม่กี่ตัวนั้นได้ทิ้งรอยหยักลึกและความเว้านูนไม่สม่ำเสมออยู่ในจิตสำนึกที่วุ่นวาย
“เป็นอะไรไป?”
“มันคืออารมณ์อ่อนไหวของผู้สำเร็จการศึกษา”
ลั่วจื่อหานหัวเราะ เปิดเครื่องเสียงภายในรถ เสียงดนตรีที่อ่อนโยนดังขึ้นช้าๆ “ฉันนึกว่าเธออดใจรอไม่ไหวมาตลอดซะอีก”
“ฉันมีอะไรที่รอไม่ไหวล่ะ ฉันก็ไม่ได้อยากเป็นนักศึกษาในมหาวิทยาลัยตลอดชีวิตหรอกนะ”
ท่อนอินโทรผ่านไป นักร้องเริ่มฮัมเพลงเบาๆ
คุณเคยพูดว่าเวลาที่คดเคี้ยวนั้นไม่มีที่สิ้นสุด และไม่สามารถกลับไปสู่จุดเริ่มต้น เรื่องราวไม่ได้ไหลไปตามกาลเวลา เมื่อไม่คาดหวังที่จะอยู่ นับประสาอะไรกับการครอบครอง
“อืม เธอเป็นนักศึกษาตลอดไปก็ไม่เป็นไรนะ แต่ว่าก่อนอื่นคิดเรื่องฉันหน่อยได้ไหม” ลั่วจื่อหานเห็นว่าบนถนนนั้นคนเยอะ จึงเลี้ยวเข้าถนนเส้นเล็กค่อนข้างเงียบสงบ
“คิดอะไร ฉันเคยไม่คิดถึงนายด้วยเหรอ” อี้เป่ยซีพิงหาลั่วจื่อหาน
คุณบอกว่าเมื่อเลิกกันก็จะไม่หันกลับมามอง ใบไม้แห้งเหี่ยวมิอาจหวนคืน ฉะนั้นอย่าเริ่มต้นด้วยการให้ทุกอย่าง เรือที่จากไปอย่างโดดเดี่ยวไม่อาจเข้าใจความเจ็บปวดจากฝั่งได้
ลั่วจือหานยกมุมปากยิ้ม “คิดๆ ดูแล้ว ปีนี้คุณอาก็อายุไม่น้อยแล้ว ควรจะจัดงานแต่งได้แล้วยัง?”
คุณได้ยินเสียงฉันร้องไห้หรือเปล่า คุณไม่เข้าใจความเงียบงันของฉันหรอก ความสุขที่คุณต้องการ เมื่อไรที่ฉันจะได้มีส่วนร่วม
อี้เป่ยซีหน้าแดง มองเขาอย่างเขินอายแล้วมองนอกไปนอกหน้าต่าง “ใช่ คุณอาอายุมากแล้วจริงๆ เรื่องนี้ต้องรีบซะแล้ว เฮ้อ แต่น่าเสียดายฉันยังเป็นเด็กอยู่เลย ไม่จำเป็นต้องคิดเรื่องนี้ ก็เลยช่วยคุณอาไม่ได้”
“ไม่ต้อง แค่เธอมาในวันเข้าพิธีได้ คุณอาก็พอใจและมีความสุขแล้ว”
“คุณอา” อี้เป่ยซียิ้มขี้เล่น “ถ้าฉันไม่มาล่ะ?”
ฉันสร้างบ้านของคุณเสร็จแล้ว หากพรุ่งนี้ไม่ตอบรับตามที่คาดไว้ ก็ยังมีเวลาที่จะจุดไฟ บนเรืออันโดดเดี่ยวสามารถมองเห็นท้องฟ้ายามค่ำคืนได้
“เธอมาแน่”
‘ก็ได้ ฉันไปแน่’ อี้เป่ยซีพยักหน้า แสงแดดอบอุ่นส่องอยู่บนเสื้อเชิ้ตสีขาวของลั่วจื่อหาน
แบบนี้ก็จะไม่พรากจากกันแล้ว ไม่พรากจากกันแล้ว ไม่พรากจากกันอีกแล้ว