Endless Path : Infinite Cosmos, อนันตวิถีจักรวาล – ตอนที่ 261

ตอนที่ 261

ขณะที่วาห์นเพลิดเพลินไปกับตักของเฮสเทีย คนอื่นๆ ก็มีกำลังดูแลเพรเซีย (ยังไม่ได้สติ) อย่างเต็มที่

หลังจากช่วยเช็ดตัวและทำให้ร่างกายของเธออบอุ่น คู่แฝดก็จับเพรเซียสวมเสื้อแขนยาวกับกางเกงขาสั้นตัวใหม่ก่อนจะพาเธอกลับไปที่ห้องของทั้งสอง

ตอนแรกพวกเธออยากพาเพรเซียไปส่งที่ห้องของเฟนเรียร์ แต่การอุ้มเธอขึ้นบันใดโดยไม่มีวาห์นอยู่ด้วยนั้นออกจะดูเสี่ยงไปหน่อย

แม้ว่าวาห์นจะจัดที่นอนเอาไว้ให้ถึง 2 เตียง แต่คู่แฝดก็มักจะนอนเตียงเดียวกันเสียเป็นส่วนใหญ่

พวกเธอวางเพรเซียลงบนเตียงเบอร์ 2 และกลับไปทำงานต่อโดยปล่อยให้เฟนเรียร์และฮารุฮิเมะอยู่เป็นเพื่อน

ตอนนี้เป็นเวลา 10:00 น. แล้วแต่ก็ยังถือว่าค่อนข้างเช้า คงต้องใช้เวลาสักพักกว่าผู้เกี่ยวข้องในเหตุการณ์คราวนี้จะมากันครบ

เฮสเทียได้แจ้งเรื่องฮารุฮิเมะให้ทุกคนทราบไปแล้ว นั่นรวมถึงรายละเอียดของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนด้วย

เอน่าเองก็อยากมาที่คฤหาสน์อีกครั้งหากไม่ติดเรื่องงานเข้าเสียก่อน ดังนั้นคนที่มาเป็นกลุ่มแรกก็เลยกลายเป็นริว มิลาน และทีน่าแทน

สาเหตุที่ทั้งสามมาได้ก็เพราะว่าริวนั้นไม่ใช่ลูกจ้างประจำของร้าน และวันนี้ก็เป็นวันหยุดของมิลานและทีน่าพอดี

คู่แม่ลูกยังไม่ได้ย้ายเข้ามาอยู่ในคฤหาสน์เป็นการถาวรเพราะมิลานอยากทำงานเพื่อตอบแทนความมีน้ำใจของ ‘เจ้าของร้านผู้เพรียบพร้อม’ ต่อไปอีกพักหนึ่ง

มาเอมิทราบดีว่าวันนี้จะมีแขกมากันเยอะ เธอจึงให้การต้อนรับเป็นอย่างดีและพาทั้งสามมาที่ห้องว่างเพื่ออธิบายเรื่องราวพร้อมกันกับเอมิรุ

เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้มิลานนึกถึงเรื่องคราวก่อนทันทีและรู้สึกเห็นใจเพรเซียเป็นอย่างมาก ส่วนทีน่าเองก็ต่อมน้ำตาแตกตามประสาเด็กทั่วไป

อาจไม่ถึงกับร้องไห้ฟูมฟาย แต่เธอก็กอดผู้เป็นแม่ไว้แน่นพร้อมกับดวงตาอันเปียกชื้น

ริวเผยสายตาเย็นชาเล็กน้อย แต่ตอนนี้ในใจของเธอกลับรู้สึกเป็นห่วงสภาพจิตใจของวาห์นมากกว่าทุกสิ่ง

เพราะรู้ว่าเพรเซียจะไม่เป็นไรตราบใดที่ยังอาศัยอยู่ที่นี่ ริวจึงอยากไปดูให้แน่ใจว่าวาห์นยังสบายดีอยู่

เพราะยังไงซะ หัวใจหลักของแฟมิเลียก็คือวาห์นนี่แหละ… อาจจะของเธอด้วยล่ะมั้ง?

เอลฟ์สาวขอตัวเพื่อเดินขึ้นไปที่ชั้นบน เธอเคาะประตูห้องเบาๆ ก่อนจะเปิดมันออกเมื่อได้ยินเสียงขานรับของเฮสเทีย

พอเข้าไปแล้ว ริวก็เห็นวาห์นนอนพักอยู่บนตักของเทพตัวเล็กที่กำลังลูบเส้นผมของเขาอย่างเอ็นดู

ความกังวลในใจของริวเลือนหายไปในทันที เธอยิ้มเล็กน้อยก่อนจะก้มหัวอย่างสุภาพและเดินกลับไปที่ห้องรับแขก

เอลฟ์สาวพอบอกได้ว่าเฮสเทียนั้น ‘เอาอยู่’ ครั้นจะอยู่ต่อไปก็คงเป็นการรบกวนเสียเปล่าๆ

เรื่องหนึ่งที่ริวเพิ่งนึกขึ้นได้ก็คือเธอไม่เคยให้วาห์นนอนหนุนตักมาก่อนเลย… ฟังดูเป็นความคิดที่ไม่เลวเหมือนกัน สำหรับในอนาคตน่ะนะ

หลังจบช่วงมื้อกลางวัน กลุ่มที่มาถึงคฤหาสน์เป็นรายต่อไปก็คือกลุ่มของทาเคมิคาสึจิแฟมิเลียนั่นเอง

ทาเคมิคาสึจิมาพร้อมกับโอวกะ ชิกุสะ และหญิงสาวผมดำสนิทที่พกดาบคาตานะมากด้วย

นี่เป็นกลุ่มที่สำคัญที่สุดของวันนี้ ดังนั้นหลังจากสัมผัสได้ถึงออร่าของทั้งสาม วาห์นจึงตื่นขึ้นมาสบกันดวงตาสีฟ้าที่ดูเป็นห่วงเป็นใย

มือเรียวบางค่อยๆ เสยผมตรงหน้าผากของวาห์นออกก่อนจะพยายามโน้มตัวลงมาจูบ…

“อ่ะ/อ่ะ…”

ฉากเด็ดบังเกิดขึ้นจากความไม่ประสีประสาของเธอเอง เพราะตอนที่เฮสเทียโน้มตัวลงมานั้นเธอลืมนึกถึงหน้าอกขนาดยักษ์ที่ติดตัวมาตั้งแต่ถือกำเนิดและจบลงด้วยการ ‘ถม’ ใบหน้าของวาห์นจนมิด

วาห์นเพลิดเพลินอยู่กับสัมผัสนุ่มนิ่มอยู่พักหนึ่งจนกระทั่งเฮสเทียขยับตัวออกไปอย่างเร่งรีบ

สุดท้ายเขาก็เลยได้แต่หัวเราะแห้งๆ ขณะลุกขึ้นนั่งกับเตียง

พอตั้งสติได้แล้ว วาห์นจึงโน้มตัวเข้าไปหาเฮสเทียและจูบที่ริมฝีปากพร้อมกระซิบเบาๆ

“ขอบใจนะเฮสเทีย ตอนนี้ฉันรู้สึกดีขึ้นเยอะเลย”

ดวงตาสีฟ้าเบิกกว้างไปชั่วครู่ก่อนจะกลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็ว

ถึงจะผิดแผนไปหน่อย แต่เฮสเทียก็แสดงสีหน้ามีความสุขเพราะอย่างน้อยมันก็ดูได้ผลดีนี่นะ

เธอเดินนำวาห์นออกจากห้องเพื่อออกไปต้อนรับทาเคมิคาสึจิแฟมิเลียที่อยู่ใกล้กับประตูหน้า

เมื่อเห็นริวที่ห้องโถง วาห์นก็ยิ้มและกล่าวขอบคุณเธอทั้งๆ ที่ตัวเองยังไม่รู้เลยว่าขอบคุณเรื่องอะไร

เอลฟ์สาวเพียงแต่ทักทายตอบอย่างสุภาพและเดินกลับไปแจ้งคนอื่นๆ ว่าแขกกลุ่มใหม่มาถึงแล้ว

และก่อนที่พวกเขาจะได้ทันเคาะประตู วาห์นก็ออกมาต้อนรับเป็นอย่างดีพร้อมกับสอดส่องผู้ติดตามของทาเคมิคาสึจิไปด้วย

แน่นอนว่าทาเคมิคาสึจิอยู่ที่ไหน โอวกะก็ต้องอยู่ที่นั่นด้วย

หนึ่งในหญิงสาวสองคนที่เหลือนั้นเขาเคยเจอมาแล้วครั้งหนึ่ง ส่วนอีกคนก็เคยเห็นผ่านๆ จากในมังงะมาก่อน

‘ฮิตาจิ ชิกุสะ’ คือหญิงสาวที่เขาเจอในเหตุการณ์ลักพาตัวรอบก่อน รูปร่างของเธอดูผอมบางบวกกับส่วนสูงประมาณ 149 เซนติเมตร

เธอมีผมสีดำสั้นระต้นตอ ส่วนด้านหน้านั้นยาวลงมาจนปิดตาข้างหนึ่งเอาไว้ แต่โดยรวมก็ถือว่ามันเข้ากับท่าทางอ่อนโยนและขี้อายของเธอเป็นอย่างมาก

นอกจากหน้าอกแบนเรียบของเธอแล้ว จุดเด่นอีกอย่างของชิกุสะก็คือโล่ขนาดยักษ์ที่ถูกสะพายอยู่ด้านหลังซึ่งเกือบจะใหญ่กว่าตัวผู้ถือเสียอีก

วาห์นนึกภาพผู้หญิงตัวเล็กถือโล่ยักษ์และออกไปยืนอยู่ตรงแนวหน้าไม่ออกเลย…

หญิงสาวอีกคนก็คือยามาโตะ มิโคโตะที่สูงประมาณ 151 เซนติเมตรและสวมกิโมโนสีลาเวนเดอร์แบบเดียวกันกับชิกุสะ

เห็นได้ชัดว่าหน้าอกของเธอนั้นไม่ธรรมดาแน่นอน เพราะเจ้าตัวถึงขั้นต้องใช้ผ้ารัดไว้เพื่อไม่ให้มันมาเกะกะเวลาต่อสู้

ตอนนี้ทั้งสองมีอายุเพียง 14 ปีเท่านั้น ซึ่งยังห่างจากรูปร่างในมังงะอยู่บ้าง แต่วาห์นพอมองออกว่ามิโคโตะนั้นโตเร็วกว่าใครเพื่อนเลย

เธอมีผมสีดำสนิทเหมือนชิกุสะ แต่ที่ต่างกันก็คือสีของดวงตาที่เข้มกว่ามาก

มิโคโตะนั้นมีสีหน้าจริงจังและนิ่งสงบ แต่คงมีแค่เขาเท่านั้นที่รู้ว่าออร่าของเธอดูตื่นเต้นมากแค่ไหน

ทาเคมิคาสึจิโค้งอย่างสุภาพหลังจากที่วาห์นเชิญทุกคนเข้ามาข้างใน

อย่างน้อยคราวนี้เด็กๆ ของเขาก็ล้วนทำตามอย่างพร้อมเพรียงโดยไม่ปริปากบ่น แต่พอช่วงแลกเปลี่ยนคำทักทายจบลง โอวกะก็มองตรงมาหาวาห์นและถามขึ้นด้วยน้ำเสียงใจร้อน

“ท่านหญิงซันโจวโนะอยู่ที่ไหน?”

ทาเกะ (TL: ทาเคมิคาสึจิ) ได้แต่หัวเราะแห้งๆ และก้มหัวอีกครั้งเป็นเชิงขอโทษ

“ฮ่าฮ่า ต้องขอโทษแทนโอวกะด้วยนะ เขาเป็นแบบนี้มาตั้งแต่ตอนที่เราได้รับข่าวแล้ว

เราตามร่องรอยของท่านหญิงมาถึง 3 ปี แต่นายกลับหาเธอพบและช่วยเธอออกมาได้ใน 3 วัน

เรื่องนี้เล่นเอาแฟมิเลียของเราปั่นป่วนไปหมดเลย”

เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่วาห์นพบโอวกะ เขาเลยไม่ติดใจอะไรมากและโค้งตอบทาเกะก่อนจะพาทุกคนไปที่ห้องรับแขก

ภายในนั้น ฮารุฮิเมะกำลังนั่งอยู่บนโซฟาโดยมีคู่แฝดที่กำลังจัดชุดชาอย่างเก้ๆ กังๆ

เมื่อเห็นเหล่าสมาชิกจากทาเคมิคาสึจิแฟมิเลีย ดวงตาของฮารุฮิเมะก็เริ่มเปียกชื้นทันที ทว่าใบหน้างามนั้นยังคงความสง่างามไว้เช่นเดิม

เธอลุกขึ้นจากโซฟาและพยายามโค้งต่ำที่สุดไปทางเหล่าสหายที่ไม่ได้เจอกันมานาน

โอวกะถอนหายใจโล่งอก่อนจะวางมือบนไหล่ของวาห์น

“ขอบคุณ” เขาพูดอย่างหนักแน่น

จากนั้นโอวกะก็ตามทาเกะเข้าไปในห้องพร้อมด้วยชิกุสะที่ตามหลังไปติดๆ

หญิงสาวคนสุดท้ายหันมาโค้งให้กับวาห์นพร้อมกับพึมพำเบาๆ

“ท่านวาห์น ขอบคุณมากเลยค่ะ…”

วาห์นทำได้แค่พยักหน้ารับคำขอบคุณจากมิโคโตะ

ในฐานะเพื่อนสนิทของฮารุฮิเมะ เธอได้รับผลกระทบจากเรื่องนี้มากกว่าใครๆ และรู้สึกขอบคุณวาห์นที่ให้การช่วยเหลือเป็นอย่างมาก

เธอก้มต่ำอีกครั้งก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“นี่คือการพบกันครั้งแรกของเราสินะคะ ฉัน ยามาโตะ มิโคโตะ

ขอบคุณที่ช่วยฮารุฮิเมะเอาไว้ค่ะ ถ้ามีอะไรที่ฉันพอจะช่วยตอบแทนได้ล่ะก็ โปรดบอกมาได้เลย”

วาห์นส่ายหัวพร้อมรอยยิ้มก่อนจะผายมือไปเข้าไปในห้อง

“เราเป็นพันธมิตรกันนะ มิโคโตะ ไม่ต้องห่วงเรื่องตอบแทนอะไรหรอก

ฉันช่วยฮารุฮิเมะเพราะอยากช่วย ไม่ใช่แค่เพราะถูกขอให้ช่วย

อย่าห่วงเรื่องนี้มากนักเลย ตอนนี้รีบเข้าไปพบเธอก่อนเถอะ”

ในระหว่างที่คุยกับวาห์น สีหน้าจริงจังของมิโคโตะนั้นไม่ได้จืดจางลงเลยแม้แต่น้อย เธอโค้งให้เขาอีกครั้งและรีบเดินเข้าไปในห้องทันที

วาห์นเฝ้ามองฮารุฮิเมะกอดหญิงทั้งสองโดยมีโอวกะยืนดูอยู่ข้างๆ ด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ส่วนทาเกะนั้นก็กำลังคุยกับคู่แฝดอย่างสุภาพ

วาห์นสังเกตเห็นว่าสองสาวแสดง (คู่แฝด) สีหน้าเขินอายเล็กน้อยจนเขาต้องเลิกคิ้วสงสัย

เฮสเทียเดินมาหยุดยืนอยู่ข้างๆ ขณะจ้องมองภาพตรงหน้าและถามเสียงต่ำ

“นายจะไม่ไปตีสนิทกับสองคนนั้นหน่อยเหรอ? ฉันว่าคนที่ตัวเล็กๆ น่าจะชอบเจ้าโย่งนั่นนะ แต่คนที่ทำหน้าจริงจังตลอดนี่สิ…”

เรื่องนี้ไม่ได้อยู่ในความคิดของวาห์นแม้น้อย เขาเลยรู้สึกตกใจที่เฮสเทียเป็นฝ่ายพูดขึ้นมาเองจนต้องหันไปมองสีหน้ายิ้มกริ่มของเทพตัวเล็ก

พอรู้ว่ากำลังโดนหยอกเล่น เขาก็หัวเราะเบาๆ ก่อนจะเดินเข้าไปในห้องเช่นกัน

หากหันไปช้ากว่านี้อีกนิด วาห์นก็คงจะได้เห็นว่าสีหน้าจริงจังของเฮสเทียแทนแล้ว

เธอถอนหายใจหนึ่งเฮือกและจ้องมองมิโคโตะก่อนจะหันไปทางคู่แฝดที่กำลังโดนเสน่ห์โดยธรรมชาติของทาเคมิคาสึจิเข้าเล่นงานอย่างหนัก

เฮสเทียพอมองออกว่าแฝดสองคนนั้นค่อนข้างเปิดกว้างจนไม่ถึงขั้นกลัวผู้ชายคนอื่น ดังนั้นโอกาสที่พวกเธอจะหยุดพึ่งพาวาห์นในอนาคตก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีเลย

ปัญหาจริงๆ ก็คือม้ามืดอย่างมิโคโตะเนี่ยแหละ

ยังดีที่ตอนนี้เธอกำลังสนใจแต่ฮารุฮิเมะจนไม่มีเวลามาคิดเรื่องอื่น

ทั้งสองคน (มิโคโคะกับฮารุฮิเมะ) ดูสนิทกันมาก อายุก็น่าจะพอๆ กัน

เนื่องจากฮารุฮิเมะเลือกที่จะอาศัยอยู่ที่นี่ เฮสเทียรู้ว่าเธอคงได้เจอกับมิโคโตะแทบทุกวันราวกับเป็นสมาชิกคนหนึ่งในบ้าน

พอบวกนิสัยอ่อนโยนของวาห์นเข้าไปด้วยแล้วเรื่องที่แอบคิดเล่นๆ ก็อาจเป็นจริงขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ได้…

ถึงวาห์นจะแพ้ทางให้กับพวกผู้หญิงที่เคยเจอเรื่องเลวร้ายในอดีต แต่เล่าสมาชิกจากเครือข่ายก็ค่อนข้างมั่นใจว่าเขาชอบคนที่จริงจังและมีความพยายามสูงมากกว่าพวกที่ทำตัวบอบบางอยู่หลายขั้น

นั่นเองที่ทำให้มิโคโตะซึ่งมีอายุใกล้เคียงกับวาห์นดูเป็นคู่แข่งที่หาตัวจับยากหากเธอตัดสินใจว่าจะเข้ามาเป็น ‘น้องใหม่’ ในอนาคต…

หลังจากที่ทุกคนลงมานั่งคุยกันเป็นเรื่องเป็นราว ทางทาเคมิคาสึแฟมิเลียก็รู้สึกประหลาดใจที่เห็นฮารุฮิเมะนั่งใกล้กับวาห์นมากเป็นพิเศษ แถมเธอยังนำหางมาพันรอบเอวของเขาราวกับมันเป็นเรื่องปกติ

เฮสเทียที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามยังต้องขมวดคิ้วนิดๆ ก่อนจะทำเป็นไม่เห็นแทน

ก่อนหน้านี้เธอได้ ‘จับมือ’ กับฮารุฮิเมะไปแล้ว แต่จะได้ผลมากน้อยแค่ไหนก็คงต้องรอให้มีสายตาสอดส่องน้อยกว่านี้เสียก่อน

พอหันไปทางแขกผู้มาเยือน อย่างแรกที่เธอเห็นก็คือสายตาครุ่นคิดของมิโคโตะจนได้แต่แอบถอนหายใจขณะฟังวาห์นเล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

วาห์นเล่าทุกอย่างแบบละเอียดและพูดเรื่องที่อิชทาร์นั้นเหมือนจะรู้ว่าต้องมีคนช่วยฮารุฮิเมะแน่นอน อย่างน้อยๆ เธอก็มีข้อมูลของเขาเตรียมไว้อยู่แล้ว

ตอนนี้พวกเขาคงซื้อเวลาได้สักพัก แต่ตราบใดที่ยังไม่ไปเคลียร์กับทางอิชทาร์แฟมิเลีย เรื่องคราวนี้ก็คงจะไม่จบลงง่ายๆ

เรื่องที่วาห์นบอกคนอื่นไม่ได้ก็คือภารกิจช่วยเหลือฮารุฮิเมะซึ่งได้รับมาจากเดอะพาธนั้นยังไม่ขึ้นเป็น [ภารกิจสำเร็จ] แม้ว่าเขาจะช่วยเธอออกมาแล้วก็ตาม

นั่นเป็นการสื่อว่าอิชทาร์ยังไม่ยอมแพ้ง่ายๆ และเดี๋ยวคงมีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้นแน่นอน

หนึ่งในเงื่อนไขความล้มเหลวระบุเอาไว้ว่า ‘อิชทาร์หลบหนีไปได้’ หรือก็คือถ้าอยากทำภารกิจนี้ให้สำเร็จ วาห์นก็คงต้องหาวิธีจัดการกับเธอแบบขั้นเด็ดขาด

พอเล่าจบแล้ว วาห์นก็ประกาศด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

“และเพราะเจ้าตัวได้ตัดสินใจเป็นที่เรียบร้อย ฮารุฮิเมะจะมาเข้าร่วมกับเฮสเทียแฟมิเลียและอยู่ภายใต้การคุ้มครองของทางเราต่อไป”

คำพูดนั่นเล่นเอาคิ้วของทาเกะกระตุกนิดๆ แต่เทพหนุ่มก็ไม่มีท่าทีต่อต้านอะไรนัก ส่วนชิกุสะกับมิโคโตะเองก็ดูโล่งใจซะมากกว่า

ผู้ที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดเห็นจะมีแค่โอวกะคนเดียว ทว่าครั้งนี้เจ้าตัวกลับนั่งกัดฟันเงียบๆ ราวกับกำลังประจักษ์ถึงความอ่อนแอของตัวเอง

สำหรับทาเคมิคาสึจิแฟมิเลีย การหลบหนีออกนอกเมืองและกลับไปที่แดนตะวันออกนั้นไม่ใช่เรื่องที่คิดจะทำก็ทำได้เลย ส่วนเรื่องที่จะต่อต้านอิชทาร์แฟมิเลียโดยตรงนั้นคงไม่ต้องพูดให้เสียเวลา

แค่ทางนั้นส่งสมาชิกเลเวล 4 มาคนเดียวก็กวาดเรียบแล้ว…

ในขณะที่บรรยากาศกำลังเข้าสู่ความเงียบงัน ฮารุฮิเมะก็พูดขึ้นบ้าง

“ฉันตัดสินใจด้วยตัวเองแล้วค่ะว่าจะอยู่ที่นี่กับวาห์น

ต้องขอบคุณทุกคนมากเลยนะคะที่พยายามออกตามหาฉันมาตลอด… ขอบคุณจริงๆ ค่ะ

การเสียสละครั้งนี้ต่อให้ทำยังไงฉันก็คงตอบแทนได้ไม่หมด

แต่ถึงจะเป็นแบบนั้น ครั้งนี้ฉันคงต้องขอเลือกฟังเสียงหัวใจของตัวเองนะคะ ฉันอยากแสวงหาความสุขให้กับตัวเองค่ะ

วาห์นช่วยดึงฉันออกจากฝันร้ายนั่น การได้อยู่เคียงข้างเขาจึงเป็นความปรารถนาเพียงอย่างเดียวของฉันในตอนนี้…”

ถึงคำพูดของเธอจะฟังดูไม่หนักแน่นเท่าไหร่ แต่วาห์นรู้สึกได้ว่าหางที่รัดเอวเขาอยู่นั้นแน่นกว่าเดิมเยอะเลย เรื่องนี้คนอื่นๆ เองก็สังเกตเห็นเช่นกัน

ทาเกะยิ้มนิดๆ ขณะโค้งให้กับวาห์นเป็นรอบที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้

“วาห์น ฉันคงต้องรบกวนนายต่อแล้วล่ะ

ไม่ต้องบอกก็คงรู้ว่าที่นี่ปลอดภัยที่สุดแล้วสำหรับเธอ และฉันเชื่อว่าท่านหญิงเองก็คงจะมีความสุขมากกว่าด้วย”

ราวกับคำพูดนั่นเป็นตัวจุดประกายบางอย่าง มิโคโตะรีบพูดขึ้นทันที

“ฉันเองก็จะเข้าร่วมกับเฮสเทียแฟมิเลียด้วยค่ะ อย่างน้อยก็จนกว่าเรื่องนี้จะจบลง…

ฉันอาจจะไม่ได้เก่งกาจอะไรมาก แต่อย่างน้อยก็จะตามอารักขาท่านฮารุฮิเมะให้ถึงที่สุด”

ทาเกะยิ้มกว้างและพูดขึ้นทันทีโดยไม่รอฟังความคิดเห็นจากวาห์นและเฮสเทีย

“อืม เป็นความคิดที่ดีมากเลย แบบนี้แฟมิเลียของเราก็จะยิ่งสนิทกันมากขึ้นด้วย”

ที่จริงวาห์นไม่ค่อยแปลกใจเท่าไหร่นัก เพราะสายตามุ่งมั่นของมิโคโตะนั้นมันฟ้องอยู่แล้ว

ฮารุฮิเมะรู้สึกดีใจมากที่เพื่อนสนิทตัดสินใจย้ายมาอยู่ด้วย ในขณะที่เฮสเทียเองก็นึกอยู่แล้วว่าคิดไว้ไม่ผิดเลย

สายตาของเทพตัวเล็กนั้นบรรยายได้อย่างเดียวว่า ‘เอาที่สบายใจละกัน’

ถึงจะบอกว่าออกมาประจำอยู่ชั่วคราว แต่ถ้าฮารุฮิเมะเลือกที่จะอยู่แบบถาวร แล้วมิโคโตะจะไปไหนเสียล่ะ

ฮารุฮิเมะต้องการสนับสนุนและใกล้ชิดวาห์นจนถึงที่สุด มาขนาดนี้แล้วคนปัญญาอ่อนยังบอกได้เลยว่าต่อไปจะเป็นยังไง

ด้วยนิสัยใจอ่อนของวาห์น บวกกับตัวชงอย่างฮารุฮิเมะ ขึ้นอยู่ว่าจะช้าหรือเร็วเท่านั้นเอง…

หลังจากสรุปกันได้แล้วและตามมาด้วยปาร์ตี้มื้อเที่ยงเล็กๆ ทาเคมิคาสึจิแฟมิเลียก็เตรียมเดินทางกลับ

พวกเขาอวยพรให้ฮารุฮิเมะที่ถูกช่วยกลับมาอย่างปลอดภัย อวยพรส่งท้ายมิโคโตะ และอวยพรให้กับเฮสเทียแฟมิเลีย

ในระหว่างที่กำลังออกไป โอวกะก็เข้ามาหาวาห์นด้วยสีหน้าเอาจริงเอาจังพร้อมกับยื่นมือออกมาข้างหน้า

“รู้ว่ามันคงไม่ง่ายเลย แต่สักวันฉันจะต้องก้าวข้ามนายให้ได้

เราอาจจะเริ่มกันได้ไม่ดีนัก แต่ยังไงฉันก็คิดว่านายคือเป้าหมายสูงสุด

เรามาพยายามด้วยกันเถอะ เพื่อสิ่งที่อยากปกป้อง…”

วาห์นพยักหน้าและยื่นมือออกไปจับมันไว้

“ถ้าคิดได้แบบนี้ ต่อไปนายต้องแข็งแกร่งกว่าเดิมแน่นอน

เรื่องนี้ยังไม่ค่อยมีคนรู้หรอกนะ แต่ฉันได้เป็น [ปรมาจารย์ช่างตีเหล็ก] แล้ว

ถ้านายหรือทางทาเคมิคาสึจิแฟมิเลียต้องการสั่งทำอุปกรณ์ล่ะก็ เชิญมาใช้บริการได้เลย

ถ้าเป็นเพื่อนกันล่ะก็ ฉันยินดีทำอุปกรณ์ให้อย่างเต็มที่เลย…”

สีหน้าของโอวกะยิ่งดูจริงจังกว่าเดิมขณะพยักหน้าให้และกล่าวขอบคุณวาห์นก่อนจะเดินจากไปพร้อมกับชิกุสะและทาเกะ

ชิกุสะหันมาหาวาห์นอีกครั้งพร้อมกับยิ้มและโค้งให้ จากนั้นเธอก็หันกลับไปเดินอยู่ข้างโอวกะ

วาห์นเห็นว่าออร่าของชิกุสะนั้นพยายามเข้าไปคลอเคลียกับของโอวกะ ที่น่าแปลกใจก็คือออร่าของโอวกะเองก็พยายามทำแบบเดียวกัน

เขาไม่รู้ว่าตอนนี้ทั้งคู่มีความสัมพันธ์แบบไหนแต่เห็นแบบนี้แล้วก็คงคิดได้อย่างเดียวว่าต่างฝ่ายต่างมีใจให้กันแหละนะ

วาห์นยิ้มให้กับภาพที่เห็นและหมายมั่นว่าตัวเองจะต้องสร้างเครือข่ายสำหรับพวกผู้ชายขึ้นมาให้จงได้

นอกจากแบ่งปันข้อมูลกันแล้ว พวกเขาอาจจะได้ระบายและรับฟังปัญหาต่างๆ ที่มีแต่ผู้ชายเท่านั้นที่จะเข้าใจ

อย่างน้อยวาห์นก็รู้ว่าสถาการณ์และปัญหาของตัวเองนั้นค่อนข้างแปลกและใหญ่โตกว่าชาวบ้านเยอะเลย

ถ้าเขาอยากผ่อนคลายมากมากนี้และชะลอการใช้ชีวิตลงล่ะก็ การให้เวลากับตัวเอง พบเพื่อนใหม่ และไปสังสรรกันบ้างคงจะดีที่สุดแล้ว…

Endless Path : Infinite Cosmos, อนันตวิถีจักรวาล

Endless Path : Infinite Cosmos, อนันตวิถีจักรวาล

Status: Ongoing

เรื่องย่อโดยผู้แต่ง

วาห์นชายหนุ่มผู้ที่มีความผิดปกติ เนื่องจากการกลายพันธุ์ที่หายาก เลือดของเขาจึงมีความสามารถซ่อนเร้นที่ทำให้เป้าหมายและความเสียหายที่เกิดจากโรคร้ายที่อยู่ภายในร่างกายมนุษย์

ถูกขจัดออกไปในโดยการรักษาครอบจักรวาล เหล่าผู้คนจึงต่างเชิดชูบูชาสถานะของเด็กหนุ่มเหนือกว่าผู้ใดทั้งสิ้นและมอบชื่อให้เขาว่า “ยารักษาสารพัดโรค” ในข่าว

เขาได้รับการยกย่องเป็นเหมือนกับวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ที่จะนำพายุคสมัยแห่งใหม่หรือคุณภาพชีวิตมนุษย์ที่ดีมาถึง อย่างไรก็ตาม ฉากที่อยู่เบื้องหลังไม่ได้สดใสเลย

เนื่องจากปัจจัยเฉพาะบางอย่าง วาห์นจึงใช้เวลาช่วงวัยรุ่นทั้งหมดถูกกักขังอยู่ในห้องทดลองกับนักวิทยาศาสตร์ทั้งหลาย และทีมวิจัยที่ใช้ร่างกายและเลือดของเขาเพื่อทำการทดลองที่ไม่มีที่สิ้นสุด

สิ่งปลอบใจความทุกข์ทรมานเพียงอย่างเดียวของเขาคืออนิเมะทั้งหลายและหนังสือการ์ตูนที่มีให้เขาดูในระหว่างการทดลอง เขามักจะจินตนาการว่าตนเองเป็นตัวเองที่อยู่ในโลกของตนเอง

dและสุดท้ายเขาก็สามารถควบคุมโชคชะตาของตัวเองได้ เป็นเวลาหลายปีที่เขาเก็บรักษาความปราถนานี้เอาไว้ จนกระทั่งเขาเสียชีวิตในวัย 14 ปีขณะที่มีองค์กรพยายามลักพาตัวเขาออกจากห้องทดลอง…

“ในที่สุด ผมก็ไม่ต้องทนทรมานอีกต่อไปแล้ว…”

นี่เป็นความคิดสุดท้ายของวาห์นในขณะที่เขาค่อยๆจางหายไปในห้วงแห่งความมืดอันไร้สิ้นสุด…

“ดวงวิญญาณที่น่าสงสาร”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท