Endless Path : Infinite Cosmos, อนันตวิถีจักรวาล – ตอนที่ 257

ตอนที่ 257

ตอนนี้เป็นเวลาเช้ามืดและยังไม่มีใครลุกจากเตียง วาห์นจึงเป็นคนเดินพาฮารุฮิเมะทัวร์คฤหาสน์ชั้นล่างด้วยตัวเอง

แต่ละรายละเอียดของตัวบ้านทำให้ฮารุฮิเมะรู้สึกตื่นเต้นได้ทุกครั้งพร้อมเอ่ยปากถามไม่หยุด

เครื่องเรือนทั้งหมดในนี้นั้นวาห์นเป็นคนจัดหามาเอง เขาเลยตอบได้หมดทุกข้อและยิ่งทำให้เธอรู้สึกพึงพอใจมากกว่าเดิม

วาห์นสังเกตเห็นว่าแม้ฮารุฮิเมะจะวางตัวแบบผู้ดีอยู่เกือบตลอด แต่พอมาเจอกับเรื่องที่ตัวเองสนใจจริงๆ การวางตัวนั่นก็จะเลือนหายไปและถูกแทนที่ด้วยความรู้สึกตื่นเต้นแบบสุดเหวี่ยง

ส่วนที่ชอบเป็นพิเศษก็เห็นจะหนีไม่พ้นบ่อออนเซ็นเพราะมันทำให้เธอนึกถึงบ้านที่จากมานาน

พอเห็นว่าวาห์นออกแบบห้องอาหารตามแบบชาวตะวันออก ฮารุฮิเมะก็รู้สึกทึ่งจนพูดอะไรไม่ออกเลย

แน่นอนว่านี่เป็นความชอบส่วนตัวของวาห์นและไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเรื่องที่เธอจะมาอาศัยอยู่ด้วย แต่ฮารุฮิเมะก็รู้สึกโชคดีอยู่ดีที่ยังได้สัมผัสกับวัฒนธรรมของตัวเอง แม้ว่ามันจะเล็กน้อยแค่ไหนก็ตาม

ปฏิกิริยาของเธอทำให้วาห์นนึกอยากตกแต่งคฤหาสน์บางส่วนเสียใหม่หากมีเวลาเหลือ

ตอนนี้พื้นที่ตรงส่วนปีกตะวันออกนั้นยังไม่มีใครเข้าไปใช้งาน หากเปลี่ยนให้มันเป็นสไตล์ตะวันออกไปเลยก็คงเข้าท่าดีเหมือนกัน

พอพูดเรื่องนี้ให้ฮารุฮิเมะฟัง เธอก็ดูตื่นเต้นมากเป็นพิเศษและเริ่มพึมพำกับตัวเองอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกลับมาสำรวมท่าทางอีกครั้ง

วาห์นอยากอธิบายเพิ่มว่าความชอบของตัวเองนั้นเกี่ยวพันกับตอนที่เขายังพักอยู่กับสึบากิ ทว่าสุดท้ายก็เลือกที่จะไม่พูดมันออกไป

เมื่อสัมผัสได้ว่าคนอื่นๆ เริ่มตื่นกันแล้ว วาห์นเลยพาฮารุฮิเมะกลับไปที่ห้องอาหารอีกครั้ง

ฮารุฮิเมะเผยรอยยิ้มเล็กน้อยหลังจากรู้ว่าจะได้เจอกับสาวๆ คนอื่น แต่วาห์นกลับเห็นว่าออร่าของเธอนั้นดูไม่สงบเหมือนรอยยิ้มนั่นเลย

วาห์นตัดสินใจอธิบายเพิ่มเพื่อป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้น

“เรามีเด็กผู้หญิงคนนึงชื่อว่าเพรเซีย… พยายามอย่าทำให้เธอตกใจล่ะ

ตอนนี้สภาพจิตใจของเธอกำลังบอบช้ำมากและต้องการการดูแลจากคนรอบข้างเป็นพิเศษ… “

พอได้ยินชื่อที่ไม่คุ้นมาก่อน ฮารุฮิเมะเลยถามเพิ่มจนวาห์นต้องอธิบายเรื่องที่เขาไปช่วยทาสสาวทั้ง 6 คนในระหว่างที่กำลังตามหาเธออยู่

สีหน้าเป็นกังวลในตอนแรกของฮารุฮิเมะดูดีขึ้นมากเมื่อรู้ว่าวาห์นช่วยเหลือทั้งหก แม้ว่ามันจะอยู่นอกเหนือเป้าหมายเดิมของเขา

เป็นอีกครั้งที่หญิงสาวเชื่อแบบฝังใจว่าวาห์นคือวีรบุรุษที่เธอตามหามานานแสนนาน…

ไม่นานทุกคนก็มารวมตัวกันพร้อมหน้า ณ ห้องอาหารซึ่งประกอบไปด้วยเอน่า เฮสเทีย เฟนเรียร์ เอมิรุ มาเอมิ และเพรเซีย

นอกจากเฟนเรียร์และเอน่าแล้ว ทุกคนดูประหลาดใจมากที่เห็นวาห์นกับผู้หญิงแปลกหน้าคนใหม่

เอน่ามองมาทางฮารุฮิเมะและพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

“เธอคือฮารุฮิเมะสินะ ฉันดีใจจริงๆ ที่วาห์นช่วยเธอออกมาได้สำเร็จ”

ก่อนที่ฮารุฮิเมะจะเอ่ยถามเอน่าบ้าง เฮสเทียก็พูดขัดขึ้นเสียก่อน

“ยินดีต้อนรับสู่คฤหาสน์ฮาร์ธนะ! เพราะวาห์นตัดสินใจแล้วว่าจะปกป้องเธอ สถานที่แห่งนี้ก็จะกลายเป็นบ้านพักชั่วคราวจนกว่าเธอจะกลับไปใช้ชีวิตได้ตามปกติอีกครั้ง~!”

ฟังแล้วอาจดูเหมือนไม่มีอะไร แต่อีกความหมายที่วาห์นพอจับใจความได้ก็คือ ‘ถ้าชีวิตกลับมาเป็นปกติเมื่อไหร่ก็ให้ย้ายออกไปซะ!’

ฮารุฮิเมะดูเหมือนจะเข้าใจเรื่องนี้เช่นกัน เธอตอบสนองด้วยการเข้ามาใกล้วาห์นและจับแขนเสื้อของเข้าไว้โดยไม่คิดจะพูดตอบเฮสเทีย

เป็นเสี้ยววินาทีที่สีหน้าของเทพตัวเล็กเปลี่ยนไปเล็กน้อยก่อนจะกลับมาดูอ่อนโยนเหมือนเดิม

วาห์นสูดลมหายใจลึกๆ และเริ่มแนะนำทุกคนอย่างเป็นทางการ

“ฮารุฮิเมะ นี่คือเอน่า หนึ่งใน ‘ภรรยาคนแรก’ ของฉันคู่กันกับเทพธิดาเฮเฟสตัส”

เอน่าโค้งทักทายอย่างสุภาพพร้อมรอยยิ้มซึ่งทำให้ฮารุฮิเมะโค้งตอบในลักษณะเดียวกัน

วาห์นแนะนำเฮสเทียที่กำลังส่งสายตาเปล่งกระกายเป็นคนต่อไป

“…เทพธิดาผู้งดงามองค์นี้ก็คือเฮสเทีย เธอเป็นเทพประจำแฟมิเลียของเราและเป็นผู้ดูแลคฤหาสน์ฮาร์ธรวมไปถึงผู้อยู่อาศัยทุกคนในนี้ด้วย”

แม้จะรู้ตัวว่ากำลังถูกวาห์นเยินยอมากเป็นพิเศษ แต่เฮสเทียก็ยืดอกอย่างภูมิใจ

“ถูกต้องแล้ว~! เทพธิดาผู้แสนอ่อนโยนและเปรียบเสมือนหัวใจหลักของเฮสเทียแฟมิเลียนั้นจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากเฮสเทียผู้นี้นี่เอง~”

ก่อจะมีใครพูดอะไรออกมา เฮสเทียก็หายตัวเข้ามาอยู่ข้างๆ วาห์นพลางกอดเอวของเขาไว้แน่น

“แล้วฉันก็เป็นหนึ่งในคนที่ใกล้ชิดกับวาห์นที่สุดด้วย~”

ราวกับกำลังถูกท้าทาย เฟนเรียร์ลุกขึ้นจากเก้าอี้และตะโกนเสียงดัง

“เฟนเรียร์ใกล้ชิดวาห์นที่สุดต่างหาก!”

ในระหว่างที่ทุกคนหันไปสนใจเด็กสาวจอมป่วน วาห์นกลับหันไปมองเพรเซียที่นั่งอยู่ข้างๆ แทน

แม้ว่าเฟนเรียร์จะตะโกนเสียงดังมาก แต่เพรเซียก็ยังนิ่งเหมือนเดิมและเฝ้ามองฉากตรงหน้าด้วยท่าทีเฉยเมย

หลังจากถอนหายใจเบาๆ วาห์นก็อาศัยจังหวะที่ทุกคนกำลังเงียบเพื่อแนะนำคนอื่นๆ ต่อจนครบก่อนจะเริ่มเตรียมอาหารเช้า

เพราะรู้ว่าความโชคดีของพวกตนนั้นเกิดจากการที่วาห์นพยายามตามหาฮารุฮิเมะ เอมิรุกับมาเอมิก็เลยรู้สึกถูกชะตากับเธอมากแม้เพิ่งจะรู้จักกันได้ไม่นาน

ฮารุฮิเมะเองก็คุยกับพวกเธออย่างสุภาพซึ่งทำให้ทั้งสามสนิทกันอย่างรวดเร็ว

เธอรู้สึกติดใจกับชุดเมดของคู่แฝดและพยายามเสนอตัวมาเป็นสาวใช้บ้าง แต่เป็นในฐานะ ‘สาวใช้ส่วนตัว’ ของวาห์นนะ…

แน่นอนว่าวาห์นปฏิเสธทันทีและแนะนำให้เธอมุ่งเป้าไปยังเรื่องอื่นที่อยู่นอกเหนือการรับใช้หรืออุทิศตัวเพื่อเขาแทน

เพราะไหนๆ ก็พูดขึ้นมาแล้ว วาห์นก็เลยหันไปบอกคู่แฝดเช่นกันว่านั่นรวมถึงพวกเธอด้วย

คราวนี้เขากลับเป็นฝ่ายโดนปฏิเสธบ้าง ตามมาด้วยคำพูดแบบคูณสองว่านี่เป็นสิ่งที่พวกเธออยากทำจริงๆ

การที่คนเราจะหลงใหลไปกับเรื่อง ‘ปัดกวาดเช็ดถู’ นั้นอยู่เหนือความเข้าใจของวาห์นในตอนนี้ ทว่าเมื่อสังเกตออร่าของทั้งสอง เขาก็รู้ว่าพวกเธอไม่ได้พูดโกหกหรืออย่างน้อยก็เชื่อมั่นในคำพูดของตัวเองมากจริงๆ

ในระหว่างมื้อเช้า ฮารุฮิเมะนั้นต้องการนั่งกับวาห์น แต่สุดท้ายเธอก็ต้องยกตำแหน่งดังกล่าวให้กับเอน่าและเฮสเทีย

ฮารุฮิเมะรู้ดีว่าไม่อาจแข่งกับสองคนนี้ได้เลย เธอจึงตัดสินใจนั่งข้างเอน่าและใช้หางให้เป็นประโยชน์แทน

เนื่องจากความยาวและความชำนาญที่ฝึกมาตั้งแต่เด็ก การอ้อมหางไปสัมผัสกับวาห์นนั้นจึงไม่ใช่เรื่องที่ยากเกินความสามารถ

พอสัมผัสได้ว่ามีบางอย่างมาสะกิดด้านข้าง วาห์นก็หันมามองตัวการที่ยิ้มนิดๆ และยังคงทานอาหารของตัวเองต่อไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ส่วนเอน่าที่อยู่ระหว่างทั้งสองก็เอาแต่ยิ้มแย้มไม่พูดไม่จาขณะนำศีรษะมาพิงไหล่ของวาห์นแบบเงียบๆ

หลังทานกันเสร็จแล้ว วาห์นก็สวมกอดและออกมาส่งเอน่าที่หน้าคฤหาสน์

ตอนแรกเขาอาสาพาเธอไปส่งบ้าน แต่เอน่าก็ยืนกรานว่าจะเดินกลับเอง เธอบอกว่าชอบอากาศตอนเช้าแบบนี้มากและระยะทางก็ไม่ได้ไกลอะไรนัก

สิ่งเดียวที่วาห์นพอทำได้ก็คือส่งกระแสจิตไปหาฟาฟเนียร์และบอกให้มันแอบตามไปด้วยจนกว่าเอน่าจะกลับถึงบ้านอย่างปลอดภัย

วาห์นต้องแจ้งเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนให้ทางกลุ่มพันธมิตรทราบโดยเร็ว

อย่างน้อยๆ พวกเขาก็ต้องเตรียมมาตรการป้องกันเพื่อไม่ให้พวกสมาชิกเลเวล 1-2 โดนลูกหลงไปด้วย

อิชทาร์อาจไม่เล่นงานเอน่าซึ่งเป็นสมาชิกของทางกิลด์แบบตรงๆ แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องที่วาห์นอยากทดสอบเท่าไหร่นัก

หากจนตรอกหรือโมโหขึ้นมาจริงๆ ไม่มีใครรู้หรอกว่าเธอจะทำอะไรได้บ้าง เฉกเช่นเดียวกับลาเวอร์น่าในเหตุการณ์ครั้งก่อน…

พอถึงช่วงสาย เฟนเรียร์ก็มาสอนหนังสือให้กับคู่แฝดโดยที่ทั้งสามผลัดกันดูแลเพรเซียไปด้วย

วาห์น (และเฮสเทีย) พาฮารุฮิเมะขึ้นมาทัวร์ชั้นบนและเริ่มคุยเรื่องโครงการตกแต่งคฤหาสน์กันอีกครั้ง

เนื่องจากทุกคนอาศัยอยู่ตรงพื้นที่ส่วนกลาง ส่วนปีกตะวันออกและตะวันตกจึงถูกปล่อยทิ้งไว้เฉยๆ

การตกแต่งครั้งใหญ่จึงไม่น่าติดขัดอะไรและคงไม่ไปรบกวนคนอื่นแน่นอน

เฮสเทียรู้สึกตื่นเต้นที่จะได้สัมผัสกับวัฒนธรรมหลากหลายโดยที่ตนไม่ต้องออกไปข้างนอกด้วยซ้ำ

พอถึงตอนเลือกห้องตัวเอง ฮารุฮิเมะก็รู้สึกเสียดายเพราะห้องที่อยู่รอบๆ ห้องของวาห์นนั้นได้ถูกคนอื่นจับจองไว้หมดแล้ว

ห้องทางด้านขวานั้นตกเป็นของมิลานและทีน่าและเป็นห้องเดียวกับที่เฟนเรียร์และเพรเซียใช้นอนเป็นประจำ

ห้องทางด้านซ้ายก็ถูกริวที่โชคดีได้ย้ายเข้ามาอยู่ก่อนใครเพื่อนจับจองไว้เช่นกัน

ส่วนฝั่งตรงข้ามก็เป็นห้องนอนขนาดใหญ่พอกันและเป็นที่ที่เฮสเทียใช้เวลาไม่ได้นอนกับวาห์น

มันยังเป็นห้องที่เฮเฟสตัสใช้เวลาไม่ได้อยู่กับวาห์นเช่นกัน กองเสื้อผ้าส่วนใหญ่ในนั้นก็เป็นของเทพธิดาผมแดงนี่แหละ

ส่วนห้องทางด้านซ้ายและขวาก็ตกเป็นของลิลลี่และนาซ่าที่ย้ายของเข้ามาแล้วบางส่วน แม้ว่าทั้งสองจะยังไม่ได้เป็นสมาชิกของแฟมิเลียอย่างเป็นทางการก็ตาม

นาซ่านั้นอยากจะย้ายเข้ามาอยู่เร็วๆ แต่เธอยังติดเรื่องที่ต้องฝึกกับสึบากิและเรื่องพัฒนาสกิลของตัวเอง

สถานการณ์ของลิลลี่เองก็ไม่ต่างไปจากนาซ่าเท่าไหร่ ตอนแรกเธอก็เล็งเรื่องนอนห้องเดียวกับวาห์น แต่สุดท้ายก็โดนเด้งให้ไปอยู่ห้องใกล้ๆ แทน

เมื่อเห็นว่าไม่เหลือทำเลดีๆ อยู่เลย ฮารุฮิเมะจึงยืนกรานว่าจะขออยู่ห้องเดียวกับวาห์นแม้จะต้องนอนบนเตียงแยกหรือแม้แต่โซฟาก็ตาม

พอรู้เรื่องห้องหลอมลับเข้า เธอก็เต็มใจที่จะไปอยู่ในนั้นแถมยังพูดเสริมอีกว่ามันคงอบอุ่นดีเหมือนกัน

เฮสเทียพยายามอดกลั้นมาพักใหญ่แล้ว แต่สุดท้ายเธอก็ทนไม่ไหวและเริ่มพูดเสียงแข็งแบบไม่ไว้หน้าวาห์น

เธออธิบายให้ฮารุฮิเมะฟังว่าวาห์นต้องมีห้องส่วนตัวเพื่อจะได้ใช้เวลาอยู่กับทุกคนโดยที่ไม่ต้องมาขัดขากันเอง ดังนั้นต่อให้เอาเหตุผลอะไรมาอ้าง มันก็ไม่มีประโยชน์อยู่ดี

แม้แต่ตัวเธอเอง ในฐานะ ‘เทพธิดา’ ของ วาห์นก็ยังต้องแยกมานอนคนเดียวเป็นบางครั้งเลย…

สุดท้ายแล้วฮารุฮิเมะในสภาพหูตกก็เปลี่ยนไปเลือกห้องที่อยู่ใกล้กับบันใดโดยหวังว่ามันจะทำให้จับการเคลื่อนไหวเวลาวาห์นไปไหนมาไหนได้ง่ายขึ้น

เพื่อต้อนรับฮารุฮิเมะอย่างเป็นทางการ วาห์นเลยมอบชั้นหนังสือที่มาพร้อมสมุดนิทานและหนังสือให้ความรู้มากมายแก่เธอ

เพราะการอ่านเป็นงานอดิเรกที่เธอโปรดปราน ฮารุฮิเมะเลยดีใจจนแทบจะกระโดดเข้ามากอดเขาไว้อีกครั้ง

นอกเหนือจากการเข้าคอร์สเพื่อฝึกร่างกายในช่วงเช้า วาห์นบอกฮารุฮิเมะว่าเธอจะทำอะไรกับเวลาที่เหลือก็ได้ และแม้จะชอบพูดเรื่องนี้แต่กลับไม่เคยทำได้เองเลย วาห์นก็ยังอยากให้เธอผ่อนคลายให้มากที่สุดเพื่อพักฟื้นจากเหตุการณ์ที่ผ่านๆ มา

หลังจากทุกอย่างเริ่มเข้าที่เข้าทาง ต่อไปก็ถึงเวลาที่ฮารุฮิเมะต้องเข้าพิธีสลักตราสัญลักษณ์ของแฟมิเลีย

เธอตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าจะเข้าร่วมเฮสเทียแฟมิเลียและอาศัยอยู่ในคฤหาสน์ฮาร์ธแบบระยะยาว

ทว่าปัญหาของเฮสเทียก็ยังไม่จบอยู่เพียงเท่านี้ เพราะฮารุฮิเมะปฏิเสธที่จะเข้าพิธีหากวาห์นไม่ได้อยู่เป็นสักขีพยานด้วย

พอเขาเปรยว่าเธอไม่จำเป็นต้องเข้าร่วมแฟมิเลียเพื่ออาศัยอยู่ที่นี่ต่อก็ได้ ฮารุก็ยืนกรานคำเดิมและยังคงปฏิเสธแบบเมื่อกี้ไปพร้อมๆ กันจนเฮสเทียเริ่มควันออกหูแล้ว

เนื่องจากวาห์นอยากตรวจสอบบางอย่าง สุดท้ายเขาก็เลยตอบตกลงโดยมีข้อแม้ว่าเธอต้องปกปิดร่างกายให้มิดชิดที่สุดเท่าที่จะทำได้

โดยส่วนตัวแล้วเฮสเทียรู้สึกไม่ชอบใจเท่าไหร่นัก แต่ก็รู้ว่าเด็กสาวไม่ใช่คนไม่ดีแต่อย่างใด… เธอแค่ออกแนวติดวาห์นมากเกินเหตุตามประสาคนที่เขาเคยช่วยเอาไว้เท่านั้นเอง

เหตุผลหลักที่เธอรู้สึกไม่สบอารมณ์จริงๆ ก็คือรูปร่างและลักษณะพิเศษของเผ่าเรนาร์ดต่างหาก

‘หูน่าจับ หางก็นุ่มฟู เป็นแบบที่หมอนี่ชอบพอดีเลยนะ…’

เฮสเทียรู้ว่ากำแพงที่วาห์นวางไว้นั้นอยู่ได้ไม่นานหรอก หากไม่โดนบุกจนพังลง ผ่านไปสักพักเดี๋ยวมันก็พังของมันเอง

การที่เขายอมเออออตามง่ายแบบนี้นั้นถือเป็นสัญญาณอันตรายและเป็นเรื่องที่เธอต้องนำไปบอกทางเครือข่ายแน่นอน

ในระหว่างทำพิธี วาห์นได้มานั่งอยู่ตรงด้านหลังของฮารุฮิเมะแม้ว่าเธออยากให้เขาดูจากด้านหน้ามากกว่า

วาห์นเฝ้ามองเฮสเทียสลักตราสัญลักษณ์ด้วยความสนใจขณะใช้ [ดวงตาแห่งการรู้แจ้ง] เพื่อตรวจสอบตามทุกขั้นตอน

จริงอยู่ที่วาห์นเคยเลียนแบบพิธีบางส่วนมาก่อน แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นและศึกษามันตั้งแต่ต้นจนจบ

เขามองเห็นพลังงานบางอย่างมาไหลเวียนคู่กับมานาของเฮสเทียในระหว่างที่เธอสลักตราด้วย ‘โลหิตเทพ’

พอทำเสร็จแล้ว เฮสเทียก็นำกระดาษมาเก็บบันทึกข้อมูลและกำลังจะบอกให้ฮารุฮิเมะจัดเสื้อผ้าหากไม่โดนวาห์นพูดขัดขึ้นเสียก่อน

“เดี๋ยวก่อนเฮสเทีย เธอรู้ใช่ไหมว่าฉันเองก็อ่านกระดานค่าสถานะและอัพเดทมันได้ด้วย?

ฉันยังมีเทคนิคอีกอย่างที่ช่วยให้มองเห็นศักยภาพลับของคนอื่น… เลยอยากจะขอลองตรวจสอบอะไรก่อนน่ะ”

ฮารุฮิเมะได้ยินแบบนั้นแล้วก็แสดงสีหน้าแจ่มใสทันที แต่เฮสเทียกลับขมวดคิ้วพลางยื่นกระดาษให้วาห์นดู

“ฉันบันทึกค่าสถานะกับสกิลครบหมดแล้วนะ แล้วที่เห็นอยู่นี่ก็น่าจะเป็นเหตุผลที่อิชทาร์เก็บเธอไว้

นี่จะบอกว่านายมองเห็นได้เยอะกว่าเทพธิดาผู้เป็นเจ้าของตราอีกงั้นเหรอ?” เฮสเทียพูดด้วยน้ำเสียงไม่อยากจะเชื่อ

วาห์นหยิบกระดาษขึ้นมาพลางเลิกคิ้วเล็กน้อยขณะไล่ดูข้อมูลไปเรื่อยๆ

เขาเห็นว่าค่าสถานะโดยรวมของฮารุฮิเมะนั้นต่ำมาก เว้นก็แต่ค่าพลังเวทที่อยู่สูงกว่านักผจญภัยทั่วไป

สิ่งที่ดูเตะตามากที่สุดก็คือสกิลเวทมนตร์ 2 อย่าง [อูจิเดะ โนะ โคซูจิ] และ [โคโคโนเอะ] แต่ตอนนี้วาห์นไม่รู้เลยว่าพวกมันเป็นเวทมนตร์ระดับไหนและเอาไว้ใช้ทำอะไรนอกเสียจากว่าจะตรวจสอบด้วยพลังของตัวเอง

วาห์นหันไปมองดวงตาสีฟ้าใสของเฮสเทียและอธิบายช้าๆ

“เฮสเทีย ตอนนี้เธอน่าจะรู้จักฉันดีกว่าใครนะ… คิดว่าฉันเป็นคนพูดเกินจริงหรือเปล่าล่ะ?

เธอน่าจะได้ยินเรื่องนี้จากเฮเฟสตัสมาบ้าง แถมฉันยังใช้มันกับเฟนเรียร์ตั้งหลายรอบแล้วด้วย…”

วาห์นสังเกตเห็นว่าดวงตาสีฟ้าดูชื้นขึ้นเล็กน้อยจนเขาไม่กล้าพูดอะไรต่อ

ผ่านไปอีกชั่วอึดใจ เฮสเทียก็พูดขึ้นด้วยสีหน้าแบบเดิม

“ฉันรู้ว่านายไม่โกหกเรื่องแบบนี้หรอก… ฉันเชื่อใจนายจริงๆ นะ… ก็แค่ไม่ชอบใจที่เด็กคนนี้เข้ามาพัวพันกับนายเร็วแบบนี้

รู้บ้างหรือเปล่าว่าคนอื่นๆ เขาพยายามกันมากมายแค่ไหนน่ะ!”

น้ำตาที่ใกล้จะเอ่อล้นออกมาของเฮสเทียทำเอาวาห์นเจ็บแปลบที่หัวใจ แม้แต่ฮารุฮิเมะเองก็เผยสีหน้าเศร้าๆ และรู้สึกผิดอยู่บ้าง

วาห์นเดินเข้ามาหยุดอยู่ตรงหน้าเฮสเทียขณะที่เธอเงยหน้าขึ้นมองเขาด้วยสายตาเปียกชื้น

พอรู้ตัวว่ามายืนใกล้แบบนี้แล้วเฮสเทียยิ่งดูน่าสงสารเข้าไปใหญ่ วาห์นก็หัวเราะเสียงเบาก่อนจะกอดเธอหลวมๆ ไว้ในอ้อมแขน

“ฉันจะช่วยทำให้เธอรู้สึกดีขึ้นยังไงดีนะเฮสเทีย ตอนนี้เธอเองก็ยังไม่พร้อมที่จะก้าวต่อ

ได้โปรดบอกฉันมาเถอะว่าต้องทำยังไง… อย่างที่เธอพูดไว้ เธอเป็นหนึ่งในคนที่ใกล้ชิดฉันที่สุดจริงๆ นะ

ฉันไม่อยากเห็นเธอเสียใจแบบนี้อีกแล้ว”

เฮสเทียไม่ได้พูดอะไรต่อขณะวางหน้าผากไปกับแผงอกของวาห์นและนึกไตร่ตรองแบบเงียบๆ คนเดียว

เธอเองก็ไม่รู้ว่าเมื่อกี้มีอะไรมาเข้าสิงและรู้สึกผิดต่อวาห์นอยู่บ้าง

การพูดออกไปแบบนั้นออกจะเป็นการก้าวก่ายและไม่ยุติธรรมเอาซะเลย

วาห์นอธิบายทุกอย่างชัดเจนตั้งแต่แรกแล้ว ทั้งเรื่องอดีต ความยากลำบาก และสภาพตอนที่ไปเจอฮารุฮิเมะ… การแสดงความไม่พอใจหรือแม้แต่ไปอิจฉาเธอเลยทำให้เฮสเทียรู้สึกเกลียดตัวเองขึ้นมาเล็กน้อย

เป็นอย่างที่วาห์นบอก แม้ว่าเฮสเทียจะรู้สึกรักและอยากทำอะไรหลายๆ อย่างร่วมกันกับเขา แต่เธอก็ยังขจัดความกลัวออกไปได้ไม่หมด ความกลัวว่าก้าวต่อไปจะเปลี่ยนแปลงชีวิตของตัวเองไปตลอดกาล

เฮสเทียรู้สึกกลัวที่จะสูญเสียส่วนหนึ่งของตัวเองไป แม้จะได้มากกว่าเสีย แต่เธอก็ยังกลัวอยู่ดี…

หลังจากสูดหายใจเข้าลึกๆ เพื่อสงบสติตัวเองลง เฮสเทียก็เงยหน้าขึ้นมามองตอบวาห์นด้วยรอยยิ้มที่ดีที่สุด

“เราออกไปเดตกันแค่สองคนได้ไหม?”

สีหน้าเป็นกังวลของวาห์นแปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มอ่อนโยนพร้อมกับที่เขาพยักหน้าให้

“ได้สิ อยากไปกันกี่ครั้งก็ได้ ฉันจะได้ไปผ่อนคลายแบบจริงๆ จังๆ สักที

การใช้เวลาอยู่กับเทพธิดาตัวน้อยแสนสวยติดเอาแต่ใจนิดๆ ของฉันก็ฟังดูดีเหมือนกัน”

รอยยิ้มปลอมๆ ของเฮสเทียถูกแทนที่รอยยิ้มของจริงก่อนที่ดวงตาของเธอจะเบิกกว้าง ตามมาด้วยเสียงโวยวายเหมือนอย่างเคย

“เมื่อกี้ว่าใครตัวน้อยนะ ไหนพูดใหม่อีกทีสิ~!?”

Endless Path : Infinite Cosmos, อนันตวิถีจักรวาล

Endless Path : Infinite Cosmos, อนันตวิถีจักรวาล

Status: Ongoing

เรื่องย่อโดยผู้แต่ง

วาห์นชายหนุ่มผู้ที่มีความผิดปกติ เนื่องจากการกลายพันธุ์ที่หายาก เลือดของเขาจึงมีความสามารถซ่อนเร้นที่ทำให้เป้าหมายและความเสียหายที่เกิดจากโรคร้ายที่อยู่ภายในร่างกายมนุษย์

ถูกขจัดออกไปในโดยการรักษาครอบจักรวาล เหล่าผู้คนจึงต่างเชิดชูบูชาสถานะของเด็กหนุ่มเหนือกว่าผู้ใดทั้งสิ้นและมอบชื่อให้เขาว่า “ยารักษาสารพัดโรค” ในข่าว

เขาได้รับการยกย่องเป็นเหมือนกับวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ที่จะนำพายุคสมัยแห่งใหม่หรือคุณภาพชีวิตมนุษย์ที่ดีมาถึง อย่างไรก็ตาม ฉากที่อยู่เบื้องหลังไม่ได้สดใสเลย

เนื่องจากปัจจัยเฉพาะบางอย่าง วาห์นจึงใช้เวลาช่วงวัยรุ่นทั้งหมดถูกกักขังอยู่ในห้องทดลองกับนักวิทยาศาสตร์ทั้งหลาย และทีมวิจัยที่ใช้ร่างกายและเลือดของเขาเพื่อทำการทดลองที่ไม่มีที่สิ้นสุด

สิ่งปลอบใจความทุกข์ทรมานเพียงอย่างเดียวของเขาคืออนิเมะทั้งหลายและหนังสือการ์ตูนที่มีให้เขาดูในระหว่างการทดลอง เขามักจะจินตนาการว่าตนเองเป็นตัวเองที่อยู่ในโลกของตนเอง

dและสุดท้ายเขาก็สามารถควบคุมโชคชะตาของตัวเองได้ เป็นเวลาหลายปีที่เขาเก็บรักษาความปราถนานี้เอาไว้ จนกระทั่งเขาเสียชีวิตในวัย 14 ปีขณะที่มีองค์กรพยายามลักพาตัวเขาออกจากห้องทดลอง…

“ในที่สุด ผมก็ไม่ต้องทนทรมานอีกต่อไปแล้ว…”

นี่เป็นความคิดสุดท้ายของวาห์นในขณะที่เขาค่อยๆจางหายไปในห้วงแห่งความมืดอันไร้สิ้นสุด…

“ดวงวิญญาณที่น่าสงสาร”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท