“เอ๋?”
วาห์นอาจจะเดาคำตอบของเฮสเทียเอาไว้มากมาย แต่อันนี้มันออกจะเหนือความคาดหมายไปหน่อย
ภาพของเทพธิดาจอมเจ้าเล่ห์ที่มักหัวเราะราวกับปีศาจจิ้งจอกผุดขึ้นมาในหัวของเขาทันที
เฮสเทียล้มลงไปบนเบาะรองนั่งที่ฮารุฮิเมะใช้ในระหว่างการตรวจและเริ่มอธิบายพลางถอนหายใจ
“ฉะ-….ฉันเรียกเธอมาเองแหละ… เพราะคิดว่าคืนนี้นะ-นะ-น่าจะไปกันใหญ่”
เทพตัวเล็กพูดตะกุกตะกักขณะหันข้างมาหาเขา
วาห์นนึกย้อนถึงเหตุการณ์ในตอนเช้าแล้วก็ต้องเห็นด้วยว่าถ้าไม่ทำอะไรสักอย่างก่อนฟ้ามืด คืนนี้ต้องยาวแน่นอน
วาห์นอาจจะไม่ได้เป็นฝ่ายรุกก่อน แต่ถ้าเฮสเทียเริ่มยั่วต่อจากตอนเช้า เขาตัดสินใจแล้วว่าจะไม่หยุดกลางคันแน่นอน นอกเสียจากว่าอีกฝ่ายเกิดกลัวจนถอยหนีไปเอง
พอรู้ว่าคืนนี้จะมีปัจจัยเสริมเพิ่มขึ้นมาอีกอย่าง วาห์นจึงอดถามไม่ได้
“นี่เธอไปคุยอะไรกับโลกิมาเหรอ?”
เฮสเทียใช้สองมือจิกข้างหัวตัวเองและส่ายมันไปมาอย่างรวดเร็วขณะส่งเสียง ‘งื้อออออออ~’ ด้วยความหงุดหงิด
ผ่านไปพักหนึ่ง เธอก็เริ่มสงบลงและอธิบายต่อ
“ฉันอยากจะขอคำแนะนำจากเฮเฟสตัส แต่ว่าดันหยิบปากกาผิดอัน!!!
ทำไมสีมันต้องคล้ายกันด้วยเนี่ย!? ทำไมก๊านนนนน~?”
เพราะทุกคนเลือกสีปากกาตามสีผมของตัวเองซะเป็นส่วนใหญ่ ของเฮเฟสตัสนั้นจะออกไปทางสีแดงเข้ม ในขณะที่ของโลกิจะเป็นสีแดงสว่าง
ที่จริงมันดูแทบไม่เหมือนกันเลย แต่ถ้าคนเขียนรีบเกิน… ผลก็เลยออกมาเป็นแบบนี้แหละ
วาห์นพยายามนึกเรื่องที่เฮสเทียจากจะถามเพื่อนสนิทและพอเข้าใจว่ามันน่าจะเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์เมื่อไม่กี่วันก่อนนั่นเอง…
ถ้าเฮสเทียเผลอส่งข้อความนั่นไปให้โลกิแทน เขาพอจะนึกภาพออกเลยว่าอีกฝ่ายจะรู้สึกเบิกบานมากแค่ไหน
“ฉันเคยบอกโลกิไว้ว่าอย่าเร่งเรื่องนี้… ถึงโลกิจะคิดว่าเธอนำไปก่อน มันก็ไม่ได้หมายความว่าฉัน…”
พอนึกขึ้นได้ว่าโลกิทำอะไรให้บ้าง วาห์นก็พูดต่อไม่ออก
เฮสเทียโอดโอยเล็กน้อยและพยายามพูดแก้ต่างให้อดีตศัตรู
“ไม่ ไม่ใช่แบบนั้นนะ… อย่างที่บอกไป หลังจากได้คุยกันพักนึง ฉันก็เลยขอให้เธอมาที่นี่เอง”
เธอถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะพูดต่อ
“ฉันอธิบายเรื่องพวกนี้ไม่เก่งน่ะ ก็เลยไม่รู้จะบอกนายยังไงดี
เอาไว้ให้โลกิมาอธิบายแทนละกัน เดี๋ยวนายคงเข้าใจเอง…”
หลังจากพูดจบ เฮสเทียก็ล้มตัวลงไปข้างหลังเพราะนึกว่าตัวเองกำลังนอนอยู่บนเตียง แต่สิ่งที่รอศีรษะของเธออยู่นั้นคือพื้นแข็งๆ ต่างหาก
ถึงจะวอกแวกเพราะเรื่องโลกิ แต่วาห์นก็มีสมาธิพอที่จะเข้าไปรับหัว (ที่เกือบแตก) ไว้ได้อย่างทันท่วงที
เขาใช้มือซ้ายประคองศีรษะและยื่นมือขวาออกไปโอบเอวของเฮสเทียไว้จากด้านหน้า
ดูเหมือนเจ้าตัวจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าวาห์นทำแบบนี้ทำไม จนเขาต้องเป็นฝ่ายพูดเอง
“นี่เธอ… จะนั่งจะนอนตรงไหนก็ระวังหน่อยสิ…”
สมองของเฮสเทียนั้นใช้ได้ดีกับแค่บางเรื่อง และนี่ก็เป็นหนึ่งในข้อยกเว้น
พอนึกออกว่าตอนนี้ไม่ได้อยู่บนเตียง เฮสเทียก็เริ่มทำตัวเหลอหลาจนวาห์นต้องเข้ามาจูบที่หน้าผากและพูดเตือนอีกรอบ
“ระ-วัง-หน่อย ฉันน่ะรักษาให้ได้อยู่แล้ว แต่จะดีกว่ามากถ้าไม่ต้องเห็นเธอเจ็บตั้งแต่แรก”
เฮสเทียยังอยู่ในสภาพมึนงงจนกระทั่งวาห์นช่วยพยุงเธอขึ้นจากพื้น
หลังจากได้สติ ดวงตาสีฟ้าก็เริ่มเปล่งประกายก่อนที่เธอจะเอื้อมไปจับและดึงใบหน้าของวาห์นเข้ามาทั้งๆ ที่เขาเป็นคนพยุงทั้งสองอยู่
วาห์นเกือบจะเสียสมดุลและล้มแบบหน้าจุ่ม ‘เทือกเขาเฮสเทีย’ แต่ด้วยปฏิกิริยาตอบสนองเหนือมนุษย์ การ ‘ล้ม’ แบบทั่วๆ ไปนั้นกินเขาไม่ลงหรอก
เขาใช้มือคล้องตรงก้นกบและแผ่นหลังของอีกฝ่ายก่อนจะออกตัวไปข้างหน้าด้วย [เคลื่อนย้ายในพริบตา] และกลับมายืนตรงอีกฟากของห้องอย่างปลอดภัย
เพราะเฮสเทียยังเกาะไม่เลิก ตอนนี้ใบหน้าของวาห์นก็เลยถูกฝังอยู่ในความนุ่มนิ่มโดยที่เจ้าตัวยังคงดิ้นไปมาแบบไม่สนใจสิ่งรอบตัว
ผ่านไปชั่วครู่ อ้อมกอดของเธอก็แน่นขึ้นอีกเล็กน้อย
“ฮือออ ทำไมนายถึงน่ารักแบบนี้เนี่ย~? ขอบใจนะที่มาช่วยไว้…”
ถึงจะกระอักกระอ่วนอยู่บ้าง แต่วาห์นก็พยักหน้าทั้งแบบนั้นเลย
รอยยิ้มของเฮสเทียหดเล็กลง ก่อนที่เธอจะเอ่ยเป็นเสียงกระซิบ
“ไม่ว่าคืนนี้จะเกิดอะไรขึ้น… ขอให้ทำจนจบเลยนะ ถึงหัวใจจะยังไม่พร้อม แต่ที่แน่ๆ ก็คือ ฉันรักนายนะ…”
—————
วาห์นพยายามเงยหน้าขึ้นมาสบกับดวงตาสีฟ้าที่แฝงไปด้วยหลากหลายอารมณ์
สีหน้านั่นทำให้เขารู้สึกอบอุ่นไปทั่วร่างกายพร้อมกับเรียกรอยยิ้มให้กลับคืนมาอีกครั้ง
“ฉันสัญญา… แล้วก็สัญญาด้วยว่ามันจะเป็นช่วงเวลาที่วิเศษที่สุด… เพราะฉันก็รักเธอเหมือนกันนะ”
2-3 นาทีหลังจากนั้น ทั้งสองก็ดื่มด่ำไปกับริมฝีปากของกันและกัน
พวกเขากอดกันแบบหลวมๆ และเพลิดเพลินไปกับรสจูบอันแผ่วเบา เชื่องช้า แต่ก็แฝงไปด้วยความรักและห่วงใย
—
ตลอดช่วงบ่ายของวันนั้น วาห์นร่างแบบอาวุธและชุดป้องกันสำหรับสมาชิกในแฟมิเลียอย่างเรื่อยเปื่อย
เพราะต่างเป็นนักสู้ที่เน้นใช้ความเร็ว นอกจากเรื่องการออกแบบแล้ว การเลือกใช้วัสดุที่เบาและคงทนก็เป็นสิ่งที่สำคัญเช่นกัน
แบบที่ออกมาในวันนี้ก็มีสนับแขน สนับขา เกราะอก รวมถึงอาวุธมากมายหลายแบบหลายขนาด
การหาวัสดุคงต้องใช้เวลาอีกพักหนึ่ง แต่ตอนนี้เขาก็มีแบบเอาไว้ดูแล้ว และจะค่อยๆ ปรับเปลี่ยนมันตามความเหมาะสมและความต้องการของพวกเธอแต่ละคน
พอเริ่มลงมือเขียนแปลนแบบละเอียด วาห์นก็ทำเสร็จไปเพียง 3 ชิ้นเท่านั้นก่อนที่เขาจะตรวจพบว่ามีออร่าแปลกปลอมเข้ามาในเขตแดน
เพราะออร่าของเหล่าทวยเทพจะมีขนาดใหญ่กว่าของคนธรรมดาหลายเท่า วาห์นจึงรู้ทันทีว่าผู้มาเยือนเป็นใครและรู้ด้วยว่าเธอมาที่นี่เพียงคนเดียว
หากไม่เป็นไปตามนี้ก็แสดงว่าเธอคงจะทิ้งคนคุ้มกันไว้นอกเขตแดนก่อนจะเดินเข้ามาด้วยตัวเอง แต่ไม่ว่าจะเป็นแบบไหน วันนี้เขาก็คงไม่ได้ทำงานต่อแล้วล่ะ
วาห์นเริ่มเก็บของบนโต๊ะให้เข้าที่และเตรียมตัวเพื่อออกไปต้อนรับเธอ
ตอนนี้เขาออกจะอยู่ไกลจากห้องโถงไปสักหน่อย ยังดีที่เฮสเทียพาอีก 2-3 คน ออกไปต้อนรับแขกก่อนแล้ว
ไม่กี่นาทีหลังจากนั้น วาห์นก็มาถึงห้องนั่งเล่นโดยที่โลกิและเฮสเทียหันหน้ามารอ้ขาอยู่ก่อน เดาได้ไม่ยากเลยว่าเฟนเรียร์นั้นรู้ตำแหน่งของเขาและรายงานให้ทุกคนฟังแบบละเอียดยิบ
เพราะเด็กสาวนั้นถือกำเนิดจากพลังงานชนิดเดียวกัน ต่อให้ในคฤหาสน์มีคนอยู่อีกเป็นร้อยเป็นพันคน เธอก็ตามหาตัววาห์นพบ
ขณะที่สาวๆ คนอื่นทยอยกันออกไปจากห้อง พวกเธอก็เข้ามาทักทายวาห์นแบบสั้นๆ ก่อนจะเดินไปทางห้องครัวและห้องอาหาร
นี่ก็ใกล้เวลาอาหารเย็นแล้ว พวกคู่แฝดจึงต้องไปเตรียมอาหารพร้อมกับมิลานและทีน่าโดยมีคนอื่นๆ ติดสอยห้อยตามไป
ตอนนี้วาห์นยังไม่รู้หรอกว่าฮารุฮิเมะกำลังช่วยสอนหนังสือให้กับคนอื่นเช่นกัน เนื่องจากเธอเองก็เป็นคนที่รักการอ่านนิยายมาก
หลังจากได้ ‘คุย’ กับเฮสเทียแบบเป็นเรื่องเป็นราวแล้ว ฮารุฮิเมะก็ต้องงดสอนหรืออ่านเรื่องบางเรื่องโดยเฉพาะเวลาที่มีเฟนเรียร์อยู่ด้วย และเปลี่ยนไปเน้นอ่านพวกนิยายเจ้าหญิงเจ้าชายให้เธอฟังแทน
หลังจากที่คนอื่นๆ ออกไปกันแล้ว วาห์นก็ได้รับคำทักทายพร้อมรอยยิ้มที่ไม่ได้เห็นมาพักใหญ่ๆ
“โย่ววว~! ช่วงนี้ไม่ค่อยได้เจอกันเลยนะ นี่สูงขึ้นหรือเปล่าเนี่ย~?”
ราวกับอยากจะตรวจสอบเดี๋ยวนั้นเลย โลกิลุกขึ้นจากโซฟาก่อนจะมายืนอยู่ตรงหน้าวาห์นและพยายามใช้มือทาบหัวของตัวเองกับวาห์นสลับกันไปมา
วาห์นยิ้มเล็กน้อยขณะจับมือนั่นเอาไว้
“ฉันก็สูงเท่าเดิมนั่นแหละ เก็บเรื่องนี้ไว้ก่อนเถอะ
โลกิ… ดีใจที่ได้เจอเธออีกครั้งนะ”
ดวงตาที่มักจะปิดสนิทเริ่มเปิดออกทีละน้อย ในขณะที่เจ้าตัวหัวเราะเบาๆ ก่อนจะเดินกลับไปนั่งโซฟาตัวเดียวกับเฮสเทีย
วาห์นเห็นว่าเทพตัวเล็กนั้นพยายามสงบสติอารมณ์แบบสุดๆ แล้ว
นี่ถ้ามองไม่เห็นเส้นเลือดตุบๆ ตรงขมับนั่น เขาก็คงเชื่ออยู่หรอกว่ามันได้ผล
โลกินั่งทิ้งระยะห่างจากเฮสเทียเล็กน้อย เป็นระยะที่วาห์นสามารถแทรกตัวลงไปได้แบบพอดิบพอดี
แต่แทนที่จะทำแบบนั้น เขากลับเลือกลงไปนั่งอีกฝั่งเพื่อทำให้การสนทนาราบรื่นขึ้น
เฮสเทียเองก็งงๆ กับตัวเลือกของวาห์นอยู่เหมือนกัน แต่ไม่นานเธอก็ลุกตามไปนั่งข้างๆ
และก่อนที่โลกิจะพูดอะไรออกมา เฮสเทียก็คว้ามือขวาของวาห์นขึ้นและหมับมันเข้ากับหน้าอกของตัวเองพร้อมทำ ‘สีหน้าแห่งชัยชนะ’
แต่สิ่งที่เหนือความคาดหมายก็คือโลกินั้นไม่แสดงท่าทางสะดุ้งสะเทือนอะไรเลย แถมเธอยังพยักหน้าให้กับเฮสเทียก่อนจะเริ่มพูดอีกด้วย
“วาห์น นายรู้ใช่ไหมว่าคืนนี้ฉันมาที่นี่ทำ-”
“เฮ้ยยยย~!? ทำไมถึงเมินกันแบบนี้ล่ะ!?” เฮสเทียร้องขัดขึ้นแบบรับไม่ได้
โลกิเริ่มมีสีหน้าจริงจังขณะหันมาตอบ
“ฉันเคยบอกวาห์นไว้ว่าจะเลิกกัดกับเธอ แล้วก็จะให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีด้วย
แข่งกับเธอไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมานี่นะ เสียเวลาเปล่าๆ”
เฮสเทียได้แต่เบิกตากว้างและรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเด็กเอาแต่ใจที่โดนดุเพราะไปทำเรื่องไม่ดีมา
‘สีหน้าแห่งชัยชนะ’ หายวับไปกับตาและถูกแทนที่ด้วย ‘สีหน้าแห่งความพ่ายแพ้’ ในขณะที่เจ้าตัวค่อยๆ ปล่อยมือจากวาห์น
การเปลี่ยนแปลงของโลกินั้นเป็นเรื่องที่เธอรู้สึก ‘ตามไม่ทัน’ เพราะทั้งสองต่างมีอดีตร่วมกันมานานแสนนานมาก
และเพราะรู้จักกันมานานนี่แหละ เฮสเทียก็เลยเข้าใจว่าโลกินั้นใส่ความพยายามลงไปมากมายแค่ไหน ทั้งเรื่องสงบศึกกับเธอ และเรื่องปกป้องผลประโยชน์ให้กับวาห์น
วาห์นลูบหัวเฮสเทียด้วยความเอ็นดูขณะพูดตอบโลกิ
“อย่าลืมสิว่าเฮสเทียเพิ่งจะลงมาที่โลกได้ไม่นานเองนะ นอกจากใช้ชีวิตอยู่ที่นี่แล้ว เธอก็ไม่ค่อยได้ออกไปไหนเลย”
เฮสเทียที่ได้รับการปลอบจากวาห์นมีสีหน้าและออร่าดีขึ้นกว่าเดิมเยอะ
แทนการเข้ามากอดเขา เธอแค่เอนตัวเข้ามาใกล้ๆ เพื่อที่วาห์นจะได้เป็นฝ่ายโอบเสียเอง
โลกิยิ้มและพูดติดน้ำเสียงขี้เล่น
“สงสัยจังเลยน้า ว่าเมื่อไหร่นายจะทำแบบนั้นกับฉันบ้าง~?
ฉันล่ะอิจฉาเฮสเทียจริงๆ ที่ได้ใช้เวลาอยู่กับนายเยอะแบบนี้”
เธอถอนหายใจก่อนจะพูดต่อ
“แต่ก็เอาเถอะ เดี๋ยวเรามีเรื่องต้องคุยกันก่อนนะ เวลายิ่งน้อยๆ ซะด้วยสิ
เรื่องนี้จะปล่อยไว้นานก็ไม่ได้ แถมเรายังมีอีกอย่างที่ต้องทำก่อนฟ้าสางด้วย…”
มีอยู่ช่วงหนึ่งที่ออร่าของโลกิสว่างขึ้นกว่าเดิม ก่อนที่มันจะกลับมาสงบอีกครั้ง