วาห์นเดินไปตามทางอย่างเงียบเชียบขณะหลบเลี่ยงเส้นทางที่มีคนเดินไปมา
หนึ่งในข้อดีที่สุดของพลังเขตแดนก็คือเรื่องการตรวจจับนี่แหละ ซึ่งไม่ว่าจะอยู่ชั้นไหนมันก็ยังใช้ได้ผลและแม่นยำดีเหมือนเดิม
จากนั้นไม่กี่นาที เขาก็มาถึงหน้าต่างและเปิดมันก่อนจะใช้ [เคลื่อนย้ายในพริบตา] เพื่อเคลื่อนที่ไปออกไปยังหลังคาใกล้เคียง
ตลอดเวลาที่โดนอุ้ม ฮารุฮิเมะไม่ได้ส่งเสียงอะไรเลยและเอาแต่ซุกหัวไปกับแผงอกของเขา
สกิล [เคลื่อนย้ายในพริบตา] นั้นไม่ใช่การเร่งความเร็วแบบสกิลเคลื่อนที่ทั่วไป จะเรียกว่าเป็นการ ‘เทเลพอร์ตระยะสั้น’ ก็คงได้
ถึงจะใช้มันอย่างต่อเนื่องจนเคลื่อนที่ได้เร็วพอๆ กับความเร็วเสียง แต่มันก็ไม่ส่งผลต่อเขาคือคนที่เขากำลังอุ้มอยู่แต่อย่างใด
วาห์นบอกได้ว่าสภาพร่างกายของว่าฮารุฮิเมะนั้นอ่อนแอมาก เขาเลยใช้ [เคลื่อนย้ายในพริบตา] แทนการออกวิ่งตามปกติ
เพื่อป้องกันไม่ให้เธอโดนอากาศยามเช้าเล่นงาน เขาก็เลยใช้ [หัวใจของเพลิงนิรันดร์] เพื่อสร้างความอบอุ่นเป็นการแถมให้ด้วย
จากมุมมองของฮารุฮิเมะนั้น เธอรู้สึกว่าร่างกายอยู่ในสภาวะไร้น้ำหนักเป็นช่วงๆ และพอเปิดตาขึ้นมา ทิวทัศน์ทุกอย่างก็จะเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมทุกครั้ง
หญิงสาวรู้สึกราวกับว่าวาห์นกำลังเทเลพอร์ตผ่านท้องฟ้าขณะกอดเธอไว้ในอ้อมแขน แถมเขายังปล่อยพลังอบอุ่นนั่นออกมาพร้อมกันด้วย
เธอรู้ดีว่าอากาศในช่วงก่อนฟ้าสางนั้นหนาวเย็นแค่ไหน แต่ตอนนี้กลับไม่รู้สึกหนาวเลยสักนิด
ความหนาวเหน็บ ความอ้างว้างเดี่ยวดาย ทุกอย่างถูกแทนที่ด้วยความอบอุ่นและความปลอดภัยจากอ้อมกอดของวาห์น…
ตอนนี้วาห์นกำลังเคลื่อนที่ต่อไปเรื่อยๆ และพยายามไม่สนใจเสียงเตือนจากระบบที่แจ้งให้ทราบว่าค่าความชื่นชอบของฮารุมิเนะกำลังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
พอหันไปมองมันอีกที ค่านั่นก็พุ่งมาถึงช่วง 85-90 แล้ว
‘…ภารกิจ [ความปรารถนาของหัวใจ] จะสำเร็จก่อนกลับไปถึงคฤหาสน์หรือเปล่านะ?’
วาห์นเข้าใจและเตรียมใจรับเรื่องนี้มาบ้างแล้ว ตอนนี้คงได้แต่ให้เวลาช่วยเยียวยาและปล่อยให้ฮารุฮิเมะได้พบกับเหล่าสหายเก่าที่ไม่ได้เจอกันมานาน
วาห์นรู้จากประสบการณ์จริงว่าการเข้าช่วย ‘สาวๆ ที่กำลังลำบาก’ นั้นมันส่งผลต่อจิตใจ (และหัวใจ) ของพวกเธอขนาดไหน ซึ่งในความคิดส่วนตัวนั้น จะให้เขามาแบกรับทุกอย่างไว้หมดก็คงไม่ได้
เมื่อก่อนวาห์นอาจบอกว่า ‘ได้หมดถ้าสดชื่น’ ทว่าตอนนี้ ผู้หญิงที่เขารู้สึกชื่นชมจริงๆ ก็คือพวกที่จัดการชีวิตได้อย่างลงตัวและคอยพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ ซึ่งแน่นอนว่าฮารุฮิเมะในตอนนี้ยังไม่พร้อมที่จะเผชิญโลกด้วยตัวคนเดียว
จนกว่าสภาพร่างกายและจิตใจจะดีกว่านี้ เธอจะถูกจัดอยู่ในหมวดหมู่ของคนที่เขาต้องปกป้องแทน
งานหนักสำหรับตอนนี้ก็คือเรื่องจิตใจและแนวคิดของเธอนี่แหละ
เพราะฮารุฮิเมะคิดมาตลอดว่าตัวเองเป็น ‘ผู้หญิงสกปรก’ จากนั้นเขาก็มาเฉลยให้ฟังว่าไม่ใช่
กับหญิงสาวที่โดน ‘คดีพลิก’ ไปมาแบบนี้ วาห์นอ่านไม่ออกจริงๆ ว่าอนาคตของเธอจะเป็นอย่างไรต่อไป
ไอ้เสียงแต้มที่เพิ่มเอาๆ นี่ สำหรับเขาแล้ว มันดูไม่ต่างจากเสียงระเบิดเวลาเลยสักนิด
ผ่านไปสักพัก ค่าความชื่นชอบก็เริ่มคงที่และไปหยุดอยู่ตรง 88 แต้ม ทว่าคำข้างๆ ที่ระบุว่า (คู่ชะตาฟ้าลิขิต) ก็ทำให้เขารู้สึกกังวลอยู่ดี
(TL: นี่ไม่ใช่สิ่งที่ระบบวิเคราะห์ออกมานะครับ เป็นความคิดของฮารุมิเนะล้วนๆ)
เขาได้แต่หวังว่าพวกสาวๆ ที่คฤหาสน์จะช่วยทำให้ฮารุมิเนะสงบลงได้บ้าง ไม่แน่ว่าเธออาจจะ ‘เปลี่ยนใจ’ ไปเลยก็ได้
ถึงจะอยากให้เป็นไปตามที่คิด แต่วาห์นก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเธอเป็นผู้หญิงที่สวยมากคนหนึ่ง แถมเขายังพูดออกไปแล้วว่าจะบอกปกป้องเธอด้วย…
ทางบ้านคงจะวุ่นวายไปสักพัก แต่วาห์นมั่นใจว่าเดี๋ยวทุกอย่างคงดีขึ้นเอง… แค่ต้องให้เวลากับมันหน่อย
‘เราไปหาเพื่อนผู้ชายมาเพิ่มบ้างดีหรือเปล่านะ?’
หากไม่ได้ยินเรื่องนี้จากพวกสาวๆ วาห์นก็คงไม่รู้เลยว่าตัวเองแสดงความ ‘ไม่ถูกขี้หน้า’ กับผู้ชายคนอื่นเท่าไหร่นัก (TL: ดูแล้วคนอื่นก็ไม่ค่อยชอบขี้หน้าเอ็งเหมือนกันนะ)
ถ้าให้เดา สาเหตุน่าจะมาจากการที่พวกแพทย์และนักวิทยาศาสตร์จากช่วงชีวิตก่อนนั้นล้วนเป็นผู้ชายแทบทั้งสิ้น
ตลอดช่วง 14 ปีที่อยู่ในห้องทดลอง ผู้หญิงคนเดียวที่เขาเคยเห็นแบบตัวเป็นๆ ก็คือคุณหมอคีนลี่ย์ แต่อย่างน้อยเธอก็ทำดีและ(แสร้ง)เป็นห่วงเขาอยู่บ้าง
ส่วนสิ่งที่ใกล้เคียงเป็นลำดับต่อมาก็คือผู้หญิงที่เขาเห็นจากใจมังงะและอนิเมะเท่านั้นเอง
ช่วงนี้บรรยากาศระหว่างเขากับเวลฟ์ก็ไม่ค่อยจะสู้ดีเท่าไหร่นัก มีทั้งเรื่องที่วาห์นคบกับเฮเฟสตัสบวกกับการที่เวลฟ์พูดเรื่องปัญหาของเฮสเทียแฟมิเลียนั่นอีก วาห์นเลยอยากลองหาเพื่อนใหม่ดูบ้าง
การมีเพื่อนแท้ที่คอยรับฟังปัญหาต่างๆ ของเรานั้นออกจะต่างไปจากการระบายให้แฟนหรือคนรักฟังค่อนข้างมาก แต่นอกเหนือจากเวลฟ์และเบลล์แล้ว วาห์นก็ไม่รู้จะคุยกับใครได้อีก อยากมากก็มีฟินน์ แกเร็ธ แล้วก็คนที่แทบไม่อยากเห็นหน้าเขาเลยอย่างเบต
สำหรับเรื่องแบบนี้ ข้อมูลอ้างอิงจากในมังงะนั้นไม่ค่อยมีประโยชน์เท่าไหร่เลย แถมจะทำให้แย่ลงกว่าเดิมด้วย ตัวอย่างเช่นเทพเฮอร์มีสที่ดูค่อนข้างเป็นมิตรคนนั้น
หากใครได้อ่านมังงะมา คงต้องพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเทพองค์นี้มีเรื่องเก็บงำอยู่เยอะและดูน่าสงสัยมาก
ขณะที่ใช้ปล่องไฟเป็นฐานกระโดดและพุ่งทะยานต่อไปอีกครั้ง ภาพของทาเคมิคาสึจิกับโอวกะก็ปรากฏขึ้นในหัวจนวาห์นถึงกับหยุดชะงักและก้มลงไปมองฮารุฮิเมะเล็กน้อย
พอเห็นว่าเขาหยุดลง ฮารุฮิเมะก็เงยหน้าขึ้นมาถามทันที
“มีอะไรหรือเปล่าคะ?”
วาห์นส่ายหน้าก่อนจะอธิบาย
“ฉันกำลังคิดเรื่องทาเคมิคาสึจิแฟมิเลียอยู่น่ะ คงต้องรีบบอกให้ทางนั้นรู้ว่าฉันช่วยเธอออกมาได้แล้ว
อีกเดี๋ยวพวกเขาคงจะมารับตัวเธอไป ประเด็นอยู่ที่ว่าพวกเขาจะคุ้มครองเธอไหวหรือเปล่าน่ะสิ ฉันกะว่า-”
ในระหว่างที่เขากำลังอธิบาย ฮารุฮิเมะก็ใส่แรงที่แขนมากขึ้นจนศีรษะแทบจะมุดเข้าไปในแผงอกของเขาอยู่แล้ว
นั่นทำให้หูปุกปุยขนาดยักษ์เข้ามาถูกับคางจนวาห์นรู้สึกจั๊กจั๊กจี้นิดๆ
“ฉันอยากอยู่กับคุณค่ะ ถึงจะรู้สึกดีใจมากที่จะได้พบกับสหายเก่าอีกครั้ง แต่ฉันอยากอยู่กับคนที่ช่วยชีวิตตัวเองไว้มากกว่าค่ะ…”
วาห์นเองก็อยากจะอธิบายว่าต่อให้ทาเคมิคาสึจิต้องการพาฮารุฮิเมะไป เขาก็ยังอยากให้เธออยู่ต่ออยู่ดี
พอเจอเจ้าตัวพูดออกมาเองแบบนี้ เขาเลยได้แต่ปิดปากเงียบก่อนจะกลับไปขยับเท้าอีกครั้ง
เรื่องเดียวที่เขาเป็นห่วงก็คือโอวกะอาจโวยวาย แต่ถึงตอนนั้นค่อยว่ากันอีกทีละกัน
ถึงโอวกะจะดูเป็นคนหัวร้อนง่าย แต่วาห์นก็ไม่ได้รู้สึกเกลียดเขาเท่าไหร่นัก เพราะนอกจากเรื่องหัวร้อน เขาก็ดูห่วงพวกพ้องและให้ความเคารพต่อเทพของตัวเองมากเลย
หากเป็นไปได้ วาห์นก็อยากสนิทกับโอวกะให้มากกว่านี้
พอทุกอย่างสงบลงแล้ว วาห์นอาจจะลองมอบ ‘เมล็ดเปลวเพลิง’ ให้โอวกะด้วย แต่ผลจะออกมาเป็นอย่างไรนั้นอันนี้คงตอบยาก (TL: สายวายก็มา)
นอกเหนือจากเรื่องของโอวกะแล้ว วาห์นก็อยากลองนัดพวกผู้ชายมาฉลองหรือเลี้ยงเหล้าดูสักครั้งเหมือนกัน
เรื่องน่าเสียดายที่ได้ผ่านการทดลองมาแล้วหลายครั้งก็คือ ต่อให้ดื่มเหล้าหมดเป็นถังๆ วาห์นก็ไม่มีทางเมาเด็ดขาด
ไม่ว่าจะเป็นแอลกอฮอลล์ สารพิษ หรือยาพิษ ทุกอย่างจะถูกเลือดของเขาขจัดออกจนหมด
แต่อย่างน้อยๆ วาห์นก็อยากสร้าง ‘เครือข่าย’ ของผู้ชายให้เหมือนกับของพวกผู้หญิงดูบ้าง
การที่มีเพื่อนเพศเดียวกันคอยช่วยเหลือและให้คำแนะนำในหัวข้อต่างๆ ที่เอาไปปรึกษากับเพศตรงข้ามไม่ได้นั้นคงจะเป็นเรื่องที่ดีไม่น้อยเลย…
—
ครึ่งชั่วโมงต่อมา วาห์นก็มาหยุดอยู่ตรงหน้าทางเข้าคฤหาสน์และค่อยๆ วางฮารุฮิเมะลง ทว่ามือที่คล้องคอของเขาอยู่นั้นกลับไม่ถูกคลายออก
พอก้มลงไปดู เขาก็เห็นว่าเจ้าของมือนั้นกำลังมองที่ดินกับคฤหาสน์ตรงหน้าอย่างสนอกสนใจ
ค่าความชื่นชอบของเธอได้พุ่งขึ้นจนเต็ม 100 มาพักหนึ่งแล้ว ส่วน [ความปรารถนาของหัวใจ: ซันโจวโนะ ฮารุฮิเมะ] ก็ถูกเก็บรักษาไว้ในช่องเก็บของเป็นที่เรียบร้อย
เขาตัดสินใจว่าจะใช้มันก็ต่อเมื่อจิตใจของฮารุฮิเมะดูมั่นคงขึ้นกว่านี้
หากรีบใช้ตอนนี้เลย วาห์นกลัวว่าจะตัวเองจะดูแลเธอ ‘ดีเกินไป’ และทำให้จิตใจของเธอเตลิดไกลกว่าเดิม
ผ่านไปอีกชั่วอึดใจ ฮารุฮิเมะก็หันมาหาวาห์นและถามขึ้น
“ต่อไปนี่จะเป็นบ้านของเราใช่ไหมคะ?”
คำว่า ‘บ้านของเรา’ ทำให้วาห์นอยากถอนหายใจดังๆ สัก 1 ที แต่เขาก็แค่พยักหน้าตอบ
เพราะหญิงสาวเอาแต่เกาะเป็นตุ๊กแกแบบไม่คิดจะปล่อย วาห์นก็เลยอุ้มเธอเข้าไปทั้งอย่างนั้นเลย
“ที่นี่คือคฤหาสน์ฮาร์ธ ฐานที่มั่นของเฮสเทียแฟมิเลีย แล้วก็เป็นที่พักส่วนตัวของฉันด้วย
เธอจะปลอดภัยอยู่ที่นี่จนกว่าเราจะหาวิธีจัดการกับอิชทาร์แฟมิเลียได้
ถึงจะมีอำนาจอยู่พอสมควร แต่เธอก็เอาชนะกลุ่มของเราที่มีทางกิลด์หนุนหลังอยู่ไม่ได้หรอก
ไว้ฉันจะอธิบายเพิ่มทีหลังนะแต่ขอย้ำอีกครั้งว่าเธอปลอดภัยแน่
พอรู้ข่าวว่าช่วยเธอได้แล้ว ทางทาเคมิคาสึจิแฟมิเลียคงเดินทางมาเยี่ยมเธอเร็วๆ นี้แหละ”
เนื่องจากตอนนี้เป็นเวลา 4:30 น. คนอื่นๆ ในคฤหาสน์จึงยังไม่ตื่นขึ้น แถมวาห์นก็เปิดประตูได้ไม่ถนัดเท่าไหร่เพราะมีฮารุฮิเมะมาเกาะอยู่แบบนี้
ฮารุฮิเมะเองก็จะพอดูออกเหมือนกัน
“ช่วยส่งกุญแจให้หน่อยได้ไหมคะ? เดี๋ยวฉันจะเปิดให้เองค่ะ…”
วาห์นยิ้มให้ ก่อนจะกระชับอ้อมกอดเล็กน้อย
“ยังไงเธอก็ต้องปล่อยมือจากฉันอยู่ดีนะ ฮารุฮิเมะ
ตอนนี้สภาพจิตใจของเธอยังไม่ปกติดีเท่าไหร่ เรื่องนี้ฉันเข้าใจ อย่าห่วงเลย ฉันไม่ได้จะหายไปไหนซะหน่อย”
ฮารุฮิเมะขมวดคิ้วอยู่ครู่หนึ่ง แต่สุดท้ายเธอก็รับฟังแต่โดยดีพร้อมกับปล่อยมือที่คล้องอยู่ออก
“ขออภัยด้วยค่ะ…”
วาห์นวางเธอลงกับพื้นก่อนจะไขประตูและก้าวเข้าไปคฤหาสน์อันแสนอบอุ่น
ฮารุฮิเมะเดินตามหลังเขามาติดๆ ด้วยท่าทีประหม่าแต่ก็ยังดูสนใจทุกอย่างเช่นเดิม
วาห์นเห็นแล้วได้แต่ยิ้มกว้าง
“อยากสำรวจอะไรตรงไหนก็ตามสบายเลย
นอกจากห้องส่วนตัวของพวกสาวๆ คนอื่น เธอจะไปที่ไหนก็ได้ ตราบใดที่ยังอยู่ในตัวคฤหาสน์นะ
ถ้าอยากออกไปเดินเล่นที่ลานด้านนอก คงต้องขอให้มีคนตามไปด้วยสักคนสองคน
ที่นี่มีข่ายเวทมนตร์ที่แข็งแกร่งมาก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะป้องกันได้หมดทุกอย่าง”
ฮารุฮิเมะฟังสิ่งที่วาห์นพูดอย่างตั้งใจ แต่แล้วหูของเธอก็กระดิกทันทีที่ได้ยินคำๆ หนึ่ง
“ห้องของพวกสาวๆ ? ที่นี่มีผู้หญิงอยู่กี่คนกันคะ? แล้วมีคนไหนที่สนิทกับคุณเป็นพิเศษหรือเปล่า?”
วาห์นพยักหน้าก่อนจะผายมือไปทางห้องที่เขาใช้รับแขก
เขาไม่อยากคุยที่ห้องโถงนานๆ เพราะเสียงมันจะสะท้อนไปทั่ว
พวกที่มีประสาทการได้ยินแบบคนปกตินี่ไม่เท่าไหร่ แต่พวกหูดีอย่างคู่แฝดหรือเฟนเรียร์อาจจะตื่นขึ้นมาก็ได้
พอเข้ามาแล้ว วาห์นก็เชิญฮารุฮิเมะนั่งลงบนโซฟาและมอบชาอุ่นๆ พร้อมถ้วยใส่น้ำตาลให้ ก่อนจะเริ่มอธิบายสถานการณ์ทุกอย่างให้เธอฟัง
หนึ่งในคำสัญญาที่เคยให้ไว้กับตัวเองก็คือ เขาจะไม่โกหกหรือพยายามปิดบังเรื่องความสัมพันธ์ของตัวเองเด็ดขาด นอกเสียจากว่าคนที่อยากรู้เรื่องนี้เป็นศัตรูหรือดูไม่ค่อยน่าไว้ใจ
หากฮารุฮิเมะเผลอใจไปแล้วจริงๆ วาห์นก็อยากบอกให้เธอรู้ก่อนว่าต้องเจอกับอะไรบ้าง
เพราะเธอยังเด็กมาก การตัดใจตั้งแต่ตอนนี้และออกไปตามหารักแท้ข้างนอกอาจจะเป็นตัวเลือกที่ดีกว่าก็ได้
เขาอยากอธิบายให้เธอเข้าใจว่าที่นี่จะเป็นสถานที่ปลอดภัยสำหรับเธอไปตลอด แต่มันก็ไม่ใช่สถานที่เดียวที่เป็นแบบนั้นได้
หากฮารุฮิเมะพบสิ่งที่ดีกว่าหรือสิ่งที่อยากทำ วาห์นก็จะพยายามช่วยอย่างสุดความสามารถเพื่อทำให้มันเป็นจริงโดยที่เธอไม่ต้องมาห่วงเรื่องตอบแทนทีหลังหรืออะไรแบบนั้นเลย
ตลอดเวลาที่วาห์นเล่าเรื่องราวในอดีตของตัวเอง ฮารุฮิเมะก็ยังคงนั่งอย่างสง่างามสมกับที่เคยเป็นผู้ดีมีตระกูลมาก่อน
แม้แต่กระทั่งการจิบชา เธอจะหยิบถ้วยชาขึ้นมาด้วยมือทั้งสองข้างและจิบมันแบบเงียบๆ ขณะจ้องประสานตากับวาห์นอยู่ตลอด
หลังจากเรื่องเล่าจบลง ฮารุฮิเมะก็พยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม
“ฉันตัดสินใจไปแล้วค่ะ เป็นการตัดสินใจด้วยตัวเองครั้งแรกนับตั้งแต่ได้ลืมตาดูโลกมาเลย
ฉันอยากอยู่ที่นี่กับคุณ แค่คิดเรื่องนี้ก็มีความสุขแล้วค่ะ
ถึงไม่ได้เป็นภรรยา จะให้เป็นแค่ภรรยาน้อยหรือผู้หญิงลับๆ ก็ไม่ขัดข้อง
ก่อนที่คุณจะเดินเข้ามาในชีวิต ฉันเอาแต่คิดทุกวันว่าตัวเองคือผู้หญิงสกปรก เป็นผู้หญิงไร้ค่าที่ถูกทำให้แปดเปื้อนและต้องใช้ชีวิตแบบนั้นไปจนวันตาย
ฉันจะไม่ไปจากที่นี่ เว้นแต่ว่าคุณไม่อยากจะเก็บฉันไว้แล้วค่ะ
หรือถ้าไม่สบายใจจริงๆ จะให้เป็นสาวใช้ส่วนตัวหรือคนรับใช้เฉยๆ ก็ได้นะคะ”
วาห์นขมวดคิ้วอย่างหนักเมื่อได้ฟังข้อเสนอแต่ละอย่างของเธอ
“ฉันอยากให้เธอมีความสุขนะฮารุฮิเมะ อย่าอุทิศทั้งชีวิตให้แค่เพราะว่าฉันช่วยเธอออกมาเลย
ลองออกตามหาสิ่งที่ตัวเองอยากทำจริงๆ แทนการตอบแทนด้วยวิธีนี้จะดีกว่า”
ฮารุมิเนะยังคงยิ้มให้อย่างสง่างามเช่นเดิม
“คุณเข้าใจผิดแล้วนะคะ วาห์น ก่อนถูกเนรเทศออกมา ทั้งชีวิตของฉันถูกผูกติดกับสิ่งที่เรียกว่า ‘วงศ์ตระกูล’…
หากไม่ใช่เพราะเหล่าสหายจากทาเคมิคาสึจิแฟมิเลีย ฉันก็อาจต้องอาจต้องทนอยู่อย่างโดดเดี่ยวไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถูกจับแต่งงานกับทายาทตระกูลอื่นเข้าสักวัน
ความสุขเพียงไม่กี่อย่างในชีวิตของฉันก็มีแค่หนังสือกับการแอบออกไปเล่นข้างนอกเป็นครั้งคราวเท่านั้นเอง
หลังจากถูกเนรเทศและลักพาตัว ความปรารถนาเพียงอย่างเดียวของฉันก็คือได้หลบหนีออกจากฝันร้ายนั่น… อยากให้มีวีรบุรุษมาช่วยฉันอย่างในนิทานที่เคยอ่าน
ฉันคิดมาตลอดว่าทุกอย่างมันสายเกินไปแล้ว แต่คุณกลับบอกว่าฉันยังไม่ได้ถูกทำให้แปดเปื้อนใจช่วงตลอดหลายปีที่ผ่านมานี่…
ฉันคงปฏิเสธความรู้สึกในตอนนี้ไม่ได้หรอกค่ะ มันเป็นความรู้สึกที่ฉันไม่ค่อยเข้าใจนักเพราะไม่เคยรู้สึกถึงมันมาก่อน… แต่ที่แน่ๆก็คือ ฉันมีความสุขที่ได้อยู่ที่นี่ ณ ตอนนี้ค่ะ มีความสุขที่ได้สัมผัสกับการมีชีวิตจริงๆ
การได้มาอยู่ตรงนี้ ฟังคุณอธิบายเรื่องต่างๆ ด้วยสายตาเป็นห่วง… ฉันขออะไรมากไปกว่านี้ไม่ได้แล้วค่ะ”
ในระหว่างที่ฮารุฮิเมะพร่ำบอกความในใจออกมาแบบรวดเดียวจบ วาห์นก็คอยเฝ้าสังเกตดวงตาสีเขียวและเห็นว่ามันแจ่มชัดกว่าครั้งไหนๆ
แม้แต่ออร่าที่ดูยุ่งเหยิงมาตลอด ตอนนี้มันกลับลุกไหม้อย่างแรงกล้าขณะที่เธอเปล่งแต่ละคำพูดออกมา
แม้จะรู้สึกเหมือนหญิงสาวกำลังล้างสมองตัวเองด้วยถ้อยคำเหล่านั้น แต่เขาก็เข้าใจเช่นกันว่าเธอรู้สึกเชื่อมั่นที่ตัวเองพูดจากใจจริง
เมื่อคำพูดของเธอหยุดลง ฮารุฮิเมะก็ซ้อนมือไว้ที่ตักและคงโค้งคำนับลงมาแล้วหากไม่ใช่เพราะวาห์นยื่นมือออกไปรั้งตัวไว้ก่อน
วาห์นรู้หลักธรรมเนียมของชาวตะวันออกดี และรู้ด้วยว่าเธอกำลังจะก้มหัว ‘พลีกาย’ ให้กับเขา
นี่ไม่ใช่สิ่งที่จะเอามาทำกันเล่นๆ เพราะสำหรับชาวตะวันออกแล้ว มันอาจศักดิ์สิทธิ์ยิ่งกว่าพิธีสาบานเสียอีก
จริงๆ แล้ววาห์นอยากให้เธอได้พูดคุยกับพวกสาวๆ ที่เขารู้จักเพื่อเก็บประสบการณ์และความรู้ก่อนจะมาตัดสินใจเรื่องใหญ่โตแบบนี้
ดูๆ ไปแล้ว ฮารุฮิเมะในตอนนี้ช่างคล้ายกับเขาในอดีตที่เอาแต่หาความสุขจากอนิเมะและมังงะไปวันๆ มากเลย
วาห์นรู้ว่าความสุขเหล่านั้น สุดท้ายแล้วก็ไม่ใช่สิ่งที่ยั่งยืน ไม่เหมือนกับสิ่งที่เขามีอยู่ในตอนนี้
วาห์นมองเข้าไปในดวงตาสีเขียวคู่งามและพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ฮารุฮิเมะ อย่าได้ทำแบบนั้นต่อหน้าฉันอีกเป็นครั้งที่สอง
ฉันช่วยเธอเพราะว่าอยากช่วย และไม่ว่าต่อไปจะเกิดอะไรขึ้น ฉันก็จะปกป้องเธอไปตลอด หรือจนกว่าเธอจะปกป้องตัวเองได้
ฉันเคารพความรู้สึกของเธอนะ แต่ต้องเข้าใจด้วยว่าฉันจะไม่ตอบรับมันจนกว่าเธอจะ ‘ค้นพบ’ วิธีใช้ชีวิตที่ดีกว่านี้ วิธีที่ไม่ต้องใช้ร่างกายตัวเองเข้าแลก…
จะหาว่าฉันเห็นแก่ตัวก็ได้ แต่ฉันรู้สึกชื่นชมและนับถือพวกที่พยายามพัฒนาตัวเองอยู่ตลอด… และคิดว่าการอยู่เพื่อคนอื่นอย่างเดียวน่ะมันเป็นอะไรที่น่าเศร้ามาก
เมื่อไหร่ก็ตามที่เธอค้นพบสิ่งนั้น ฉันก็จะรออยู่ตรงนี้เหมือนเดิม
ถ้าหาไม่เจอจริงๆ ฉันก็จะช่วยเธอหามันอีกแรง…”
ตลอดเวลาที่วาห์นพูด ฮารุฮิเมะก็ยังคงจ้องมองดวงตาสีน้ำทะเลของเขาอยู่ตลอด
เธอรู้สึกแปลกใจนิดๆ ที่เห็นเขาแปลงร่างกลับมาเป็นเผ่ามนุษย์และเอาแต่จ้องใบหน้าหล่อเหลาโดยไม่คิดจะพูดขัดกลางคัน
การได้ยินวาห์นพูดเรื่องที่เป็นประโยชน์ต่อตัวเธอเองโดยไม่หวังผลตอบแทนนั้นยิ่งทำให้ความปรารถนาที่จะได้อยู่ด้วยกันตลอดไปฝังลึกแน่นกว่าเดิมเสียอีก
หากเขาอยากให้เธอแข็งแกร่งจนยืนได้ด้วยตัวเอง งั้นเธอก็จะตามนั้น นี่คือสิ่งที่สมองและหัวใจฮารุมิเนะสรุปออกมา
ถึงจะต้องแสร้งทำเป็นไขว่คว้าตามหาเรื่องอื่น ฮารุมิเนะก็จะไม่ลืมความปรารถนานี้เด็ดขาด… ความปรารถนาที่จะได้อยู่ใกล้กับวีรบุรุษของเธอ นั่นคือ ‘ความสุขชั่วรันดร์’ ที่เอาอะไรมาแลกก็ไม่ยอม