กว่าทุกคนจะมาถึงคฤหาสน์ฮาร์ธก็เกือบเข้าสู่ช่วงเย็นแล้ว
พอได้รับข้อมูลผ่านทางเครือข่าย เฮสเทียก็รู้สึกไม่แปลกใจเท่าไหร่ที่วาห์นนำสมาชิกใหม่กลับมาด้วยถึง 3 คน
หากไม่ใช่เพราะมีเอน่ามาด้วย เทพตัวเล็กก็คงลุกไปต่อว่าเขาด้วยตัวเองแล้ว แต่งานนี้เห็นทีคงต้องปล่อยให้ ‘ภรรยาคนแรก’ เป็นคนจัดการด้วยตัวเอง
ในบรรดากลุ่มคนที่เธอสามารถต่อล้อต่อเถียงด้วยได้ เฮเฟสตัสกับเอน่านั้นถือเป็นบุคคลต้องห้ามนอกเสียจากว่าเฮสเทียจะเปิดใจยอมรับและพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับวาห์นให้ก้าวหน้าไปอีกขั้น
เมื่อวาห์นพาคนแปลกหน้าเข้ามาในบ้าน เฟนเรียร์ก็เริ่มรู้สึกตื่นตัวและขมวดคิ้วเล็กน้อย
พอเห็นฝาแฝดทั้งสองในชุดเมด เธอก็ถามขึ้นทันที
“ลอกเฟนเรียร์งั้นเหรอ!?”
ก่อนที่ทั้งสองจะได้ตอบเด็กสาวที่มีดวงตาสีแดงน่ากลัว วาห์นก็เข้ามาห้ามทัพเสียก่อน
“เฟนเรียร์ ต่อไปสองคนนี้จะมาทำงานที่นี่นะ พวกเธอไม่ได้มาแทนที่เฟนเรียร์หรืออะไรแบบนั้นหรอก
ทำดีกับมาเอมิและเอมิรุให้มากๆ หน่อย… บางทีเธออาจจะมีคนมาตามใจเพิ่มก็ได้นะ”
เฟนเรียร์เปิดปิดกรงเล็บเล่นก่อนจะพยักหน้าหงึกๆ และมองมาที่เพรเซียบ้าง
“ผู้หญิงแปลก?” เฟนเรียร์เอ่ยถามพลางมองเข้าไปในดวงตาสีเทาซีดของเพรเซียด้วยท่าทางสับสน
วาห์นชักสีหน้าเจ็บปวดก่อนจะวางมือไว้บนไหล่ของเฟนเรียร์
“เฟนเรียร์ ผู้หญิงคนนี้ถูกรังแกมาหนักมาก
ตอนนี้เธอต้องการให้มีเพื่อนมาคอยดูแล ฉันอยากให้เฟนเรียร์กับทีน่าคอยปกป้องเพรเซียและทำให้เธอร่าเริงอีกครั้ง พอจะทำได้ใช่ไหม?”
เมื่อได้ยินคำพูดของวาห์น หูของเฟนเรียร์ก็กระตุกเล็กน้อยขณะที่เธอกลับไปเปิดปิดกรงเล็บเล่นอีกหลายครั้งพลางจ้องเพรเซียด้วยสีหน้าจริงจัง
ผ่านไปครู่หนึ่ง เฟนเรียร์ก็อ้าแขนออกและสวมกอดร่างบางของเพรเซียเอาไว้
“เฟนเรียร์ปกป้อง ตอนนี้เฟนเรียร์พี่สาวแล้ว!?”
วาห์นยิ้มเล็กน้อยในขณะที่สาวๆ คนอื่นเองก็ทำสีหน้าเอ็นดูเช่นกัน
คนเดียวที่ดูจะไม่ได้รับผลจากบรรยากาศเลยก็คือเพรเซียที่ยังคงยืนนิ่งและปล่อยให้เฟนเรียร์กอดตามใจชอบ
หลังจากจัดห้องให้ทั้งสามคนแล้ว เฟนเรียร์ก็ตัดสินใจเองว่าจะนอนกับเพรเซียเป็นการชั่วคราวโดยใช้ห้องที่เธอมักนอนกับมิลานและทีน่า
วาห์นรู้ว่ามิลานเองก็คงต้องมาช่วยดูแลเพรเซียอีกต่อ เขาเลยไม่ได้พูดคัดค้านแต่อย่างใด
เอมิรุกับมาเอมิตัดสินใจเลือกห้องเล็กๆ ที่อยู่ใกล้ครัวและเปลี่ยนไปใส่ชุดเมดที่ดูคล้ายกับของเฟนเรียร์แทน
ชุดที่ดูเหมือนจะเป็นชุดเมดก่อนหน้านี้นั้น จริงๆ แล้วมันคือชุด ‘ที่คุณผู้ชายเข้าถึงได้ง่าย’ ซะมากกว่า
แม้ว่าวาห์นอยากจะเผาชุดทิ้งไปให้หมด แต่สองสาวกลับขอเก็บพวกมันไว้เป็นที่ระลึกและนำไปใส่ตู้เสื้อผ้าในห้องนอนที่ทั้งสองใช้ร่วมกัน
พอเสร็จเรื่องจิปาถะต่างๆ แล้ว เอมิรุกับมาเอมิก็มาเข้าพิธีรับตราสัญลักษณ์ของแฟมิเลียในขณะที่วาห์นและเอน่าแยกออกมาคุยกันเป็นการส่วนตัว
ที่จริงทั้งสองก็อยากให้เขาอยู่ด้วย แต่วาห์นรู้ว่าสภาพจิตใจของแต่ละคนนั้นยังไม่กลับมาเป็นปกติดีเท่าไหร่ วาห์นไม่อยากให้ทั้งสองเน้นพึ่งพาเขาตั้งแต่แรกเริ่มเลย
พวกเธอควรทำความรู้จักกับสาวๆ คนอื่นไปก่อน อย่างน้อยก็ในช่วงแรกๆ
เพราะต่างบรรลุนิติภาวะกันหมดแล้ว วาห์นเลยอยากให้พวกเธอได้มีความสัมพันธ์แบบคนทั่วไปหลังจากที่สภาพจิตใจเริ่มดีขึ้น
อาจจะฟังดูหยาบคายหรือหลงตัวเองไปบ้าง แต่วาห์นนั้นไม่มีเจตนาจะเข้าหาพวกเธอในแบบอย่างว่าเลย
อย่างน้อยๆ พวกเธอก็ควรคิดและตัดสินใจเรื่องต่างๆ แบบมีเหตุผลให้ได้เองเสียก่อน
พวกเขาไม่เคยหยิบยกเรื่องนี้ออกมาพูดกัน แต่วาห์นก็ไม่ใช่ว่าจะไม่เห็นสายตาที่เปลี่ยนไปของมิลานหลังจากที่โดนเขาช่วยออกมา
ความสัมพันธ์ของพวกเขาอาจจะเรียกได้ว่าดีเหมือนเดิม แต่มิลานนั้นค่อนข้างให้ความสำคัญกับเรื่องอนาคตของลูกสาวมากเป็นพิเศษจนถึงขั้น ‘ใช้ประโยชน์’ จากวาห์นเล็กน้อย
เขารู้ว่าคู่แฝดต้องมาแนวนี้แน่นอน และถ้าไม่รีบหยุดเอาไว้แต่เนิ่นๆ พวกเธอก็จะยิ่งรุกหนักกว่าเดิม
พอได้มาอยู่กันแบบสองต่อสองแล้ว… เอน่าก็เริ่มเทศน์วาห์นด้วยสีหน้าจริงจังมาก
‘…งานนี้ยาวแน่เลย’ คือสิ่งที่ชายหนุ่มได้แต่คิดในใจ
ครั้งก่อนเอลฟ์สาวได้เตือนเขาไปแล้วว่าด้วยเรื่องอันตรายจากภายในเมือง
ครั้งนี้เอน่าก็เลยพยายามสอนเรื่องความซับซ้อน ระหว่างกลุ่มและองค์กรต่างๆ
(TL: งานหยาบอีกละ นี่แปลนิยายหรือหนังสือเศรษฐศาสตร์)
แม้ว่าทางกิลด์จะเป็นผู้ปกครองอย่างเป็นทางการของโอราริโอ้ แต่พวกเขาก็ไม่ใช่ขั้วอำนาจที่แข็งแกร่งที่สุดในเมือง
พวกเขาแค่ช่วยควบคุมเรื่องต่างๆ ในระดับหนึ่งผ่านทางงานประชุมเดนาตัสโดยที่เหล่าเทพและเทพธิดานั้นต้องปฏิบัติตามกฎหรือมติที่ได้จากการประชุมดังกล่าวอย่างเคร่งครัด
อำนาจส่วนใหญ่ในเมืองนั้นอยู่ในมือของแฟมิเลียต่างๆ หรือก็คืออยู่ในมือของเทพและเทพธิดาที่คุมแฟมิเลียนั้นๆ นั่นเอง
กว่า 45% ของกระแสรายได้ในเมืองมาจากแฟมิเลียและกลุ่มตลาดที่มีส่วนเกี่ยวข้องด้วยล้วนๆ
อธิบายง่ายๆ เลยก็คือเงินที่นักผจญภัยได้จากการขายคริสตัล และนำไปใช้เป็นค่ากินค่าอยู่อีกต่อหนึ่งนั่นแหละ
หากเหมารวมเขตสถานบันเทิงเข้าไปในนั้นด้วย จาก 45% ก็จะเพิ่มขึ้นเป็น 85% ทันที
นอกเหนือจากภาษีทั่วไปแล้ว กระแสการเงินที่ทางกิลด์ควบคุมดูแลก็มีเพียง 5-7% เท่านั้น
อำนาจจริงๆ ที่พวกเขามีอยู่ก็คือสิทธิ์ขาดในการซื้อขายคริสตัลเวทมนตร์บวกกับการควบคุมแหล่งข้อมูลข่าวสารต่างๆ ที่อยู่ภายในเขตแดนของโอราริโอ้ทั้งหมด
พอมาถึงเรื่องที่วาห์นจะไปมีปัญหากับอิชทาร์แฟมิเลีย เอน่าก็พร่ำบอกว่าเขาต้องคิดหน้าคิดหลังให้ดีและไม่ทำให้เรื่องบานปลายจนเกินไปนัก
เพราะเหตุการณ์สังหารเทพธิดาเมื่อเร็วๆ นี้ การที่วาห์นจะไปข้องเกี่ยวกับแฟมิเลียที่ใหญ่โตและมีอิทธิพลมากกว่าลาเวอร์น่าแฟมิเลียเป็นร้อยๆ เท่าจึงเป็นเรื่องที่ไม่ควรทำเป็นอย่างยิ่ง
ที่จริงวาห์นจะท้าชนกับอิชทาร์แฟมิเลียแบบตรงๆ เพื่อบีบให้ทางนั้นปล่อยตัวฮารุฮิเมะก็ได้ แต่อิชทาร์เองก็ไม่จำเป็นต้องรับคำท้าแต่อย่างใด เพราะฮารุฮิเมะคือทาสที่เธอเป็นเจ้าของแบบถูกต้องตามกฎหมายทุกอย่าง
ใช่แล้ว สถานภาพทางกฎหมายหลังจากที่ฮารุฮิเมะถูกเนรเทศออกมาจากบ้านเกิดและในระหว่างที่อยู่กับพ่อค้าชาวพลูมก็คือ ‘ทาส’ นั่นเอง
แม้จะถูกพวกโจร ‘ลักพาตัว’ และขายต่อให้กับคนอื่น แต่สถานภาพของฮารุฮิเมะก็ยังคงเป็นทาสเหมือนเดิม นั่นทำให้อิชทาร์มีสิทธิ์ในตัวเธอแบบถูกต้องต้องตามกฎหมาย
หากดึงดันที่จะเข้าชนแบบตรงๆ ให้ได้ วาห์นสามารถท้าอิชทาร์แฟมิเลียให้เข้าร่วม ‘วอร์เกม’ ที่จะถูกจัดขึ้น (หากมีแฟมิเลียท้ากัน) ก่อนงานมอนสเตอร์ฟีเรียในช่วงสิ้นเดือนหน้าได้
แต่ถ้ารอไม่ไหวจริงๆ เขาก็ต้องแอบเข้าไปพาตัวฮารุฮิเมะออกมาก่อนและซ่อนเธอไว้จนกว่าจะพบหลักฐานเพื่อเอาผิดอิชทาร์แฟมิเลีย
เอน่าสามารถส่งเรื่องให้ทางกิลด์สอบสวนเรื่องนี้ได้ แต่สุดท้ายก็คงไม่ได้อะไรมากนัก
เมื่อนานมาแล้ว มีแฟมิเลียมากมายที่กล่าวหาอิชทาร์แฟมิเลียว่าปิดบังข้อมูลและเลเวลของสมาชิกบางคน
ทางกิลด์จึงได้เข้ามาสืบสวนเรื่องนี้อย่างละเอียด แต่ผลสุดท้ายก็คว้าน้ำเหลวกลับไป
หลังจากที่อิชทาร์ได้รับเงินชดเชยกลับมา อำนาจภายในเขตสถานบันเทิงขอเธอก็พุ่งสูงขึ้นไปอีก
สุดท้ายเทพสาวก็ใช้เงินก้อนนั้นบดขยี้แฟมิเลียที่กล่าวหาเธอในตอนแรกจนพินาศไปตามๆ กัน
นั่นคือสาเหตุที่ทำให้เธอได้เป็นหัวหน้าของเขตสถานบันเทิงจนถึงทุกวันนี้ และเป็นเหตุผลที่ทางกิลด์ไม่ค่อยอยากชนกับเธอตรงๆ เท่าไหร่ นอกเสียจากว่าจะมีหลักฐานมัดตัวที่แน่นหนาพอ
หลังได้ฟังคำอธิบายของเอน่า วาห์นก็เริ่มมีสีหน้าที่จริงจังขึ้นขณะคิดแผนตอบโต้และรับมืออิชทาร์ต่างๆ นาๆ
เอน่าเห็นแบบนั้นแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจก่อนจะยิ้มอย่างอ่อนโยนและเข้ามาจับมือของวาห์นไว้
พอเห็นดวงตาสีเขียวมรกตที่อยู่ใกล้ๆ วาห์นก็รู้ตัวว่าเผลอตกไปอยู่ในห้วงความคิดโดยไม่สนใจเรื่องรอบตัวอีกแล้ว
เขายิ้มตอบพลางเอื้อมมือไปรอบๆ และนำร่างของเอน่าเข้ามาไว้ในอ้อมแขน
ทั้งสองไม่ค่อยมีเวลาได้อยู่ด้วยกันมากนัก และสาเหตุที่ได้เจอกันคราวนี้ก็เพราะทางกิลด์มีเอี่ยวด้วยเล็กน้อย
เอน่าพักศีรษะไปกับหัวไหล่ของวาห์นพลางพูดเสียงต่ำ
“ได้ยินจากเฮเฟสตัสว่า… เธอท้องแล้วสินะ
พอนายแก้ปัญหาเรื่องนี้จบ อีกเดี๋ยวก็จะมีปัญหาใหม่ๆ เข้ามาอีกเพียบเลย…”
วาห์นขมวดคิ้วและเริ่มคิดตามสิ่งที่เธอพูด สุดท้ายเข้าก็ได้แต่แสดงสีหน้ารู้สึกผิด
เขารู้ว่าเธอพูดถูกทุกอย่าง แถมปัญหาต่างๆ ก็จะยิ่งซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆ
ถึงเอวาจะผนึกตัวเองอยู่ในลูกแก้ว แต่วาห์นก็ยังอุตส่าห์ไปขนปัญหามาเพิ่มอีกจนได้… สรุปแล้วเขาก็ยังไม่ได้ใช้ชีวิตแบบปกติสุขและพักผ่อนแบบจริงๆ จังๆ เสียที
วาห์นพูดพึมพำหลังจากที่นำศีรษะไปพักไว้บนหัวไหล่ของเอน่าบ้าง
“เอน่า สิ่งที่ฉันทำได้ก็คือทำทุกอย่างให้ดีที่สุดนะ…
ฉันไม่ได้อยากสร้างปัญหาให้ทุกคน แต่ถ้ามันมาจ่ออยู่ตรงหน้า… จะให้ทนอยู่เฉยก็คงไม่ได้หรอก
มีหลายเรื่องที่ฉันอยากทำมาก แต่ตอนนี้ก็คงได้แต่ก้าวต่อไปเรื่อยๆ เท่านั้นเอง
ฉันอยากไปสำรวจชั้นล่างสุดของดันเจี้ยน อยากไปสำรวจวัฒนธรรมรอบโลกกับฟาฟเนียร์… เห็นไหมว่ามีเรื่องที่อยากทำเยอะแยะไปหมดเลย”
เอน่าจับมือขวาของวาห์นและลูบมันเบาๆ ขณะที่เธอตอบกลับไป
“ฉันรู้… แค่มองก็รู้แล้วว่านายไม่ได้ถูกชะตาลิขิตให้มาใช้ชีวิตทั่วไป
นอกจากจะมีที่มาที่ไปแบบไม่น่าเชื่อแล้ว จิตใจกับร่างกายของนายก็ยังพัฒนาขึ้นเร็วมาก
สายตาของนาย… มันคือสายตาของคนที่จ้องมองไปยังอนาคต
สักวันนายอาจได้ขึ้นไปยืนอยู่บนจุดสูงสุดของโลกใบนี้ก็ได้… ฉันจินตนาการภาพที่นายสั่งเปลี่ยนกฎหมายบางอย่างภายในเมืองออกเลยล่ะ
ก็แค่… ฉันอยากให้นายมีชีวิตปกติบ้าง นานๆ ครั้งก็ยังดี
ฉันอยากเห็นนายผ่อนคลายและมีความสุข… ฉันไม่อยากเห็นนายต้องพังทลายเพราะความคาดหวังของคนอื่น… หรือเพราะอุดมการณ์ของตัวนายเอง”
หลังจากเงียบกันไปหลายนาที วาห์นก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
“หลังแต่งงานกันแล้ว… ฉันจะผันตัวไปช่วยคนอื่นๆ ฝึกฝีมือสักระยะนะ
เรื่องพัฒนาตัวเองก็คงทิ้งไปเลยไม่ได้หรอก เพราะคนที่แข็งแกร่งไม่พอ ก็จะปกป้องใครไม่ได้เลย… แต่ฉันจะหาเวลาพักให้มากขึ้นโดยเฉพาะตอนที่พวกเด็กๆ เกิดออกมา
ฉันจะใช้เวลากับพวกเขาให้มากที่สุด… นั่นรวมไปถึงพวกเธอด้วย
เรื่องใช้ชีวิตแบบคนปกติคงจะเป็นไปไม่ได้จริงๆ แหละนะ แต่อย่างน้อยฉันก็จะสร้างสถานที่หนึ่งขึ้นมา
มันจะเป็นสถานที่ที่พวกเธอกับลูกๆ จะได้ใช้ชีวิตอยู่อย่างมีความสุขแน่นอน…”
เอน่าหันมาประสานตากับวาห์นด้วยสีหน้าที่ดูสงบลงอย่างเห็นได้ชัด
ชั่วอึดใจต่อมา เธอก็เริ่มหัวเราะคิกคักก่อนจะเอนหัวกลับลงไปบนใหล่ของเขาอีกครั้ง
“ไม่รู้หรอกนะว่าทำไม แต่ฉันรู้ว่านายทำตามอย่างที่พูดได้แน่ๆ
ทุกอย่างจะเปลี่ยนไปทันทีที่นายทำบางอย่าง ฉันเชื่อแบบนั้นจริงๆ
เหมือนกับเรื่องเด็กผู้หญิงที่ชื่อฮารุฮิเมะนั่นไง คนอย่างนายนี่น้า~ ให้ยืนดูจากข้างสนามอย่างเดียวคงได้ขาดใจตายซะก่อน”
เอน่าหัวเราะต่ออีกเล็กน้อยในขณะที่วาห์นพูดค้านอะไรไม่ได้สักอย่าง
จากมุมมองของตัวเอง วาห์นรู้สึกว่าเอน่านั้นเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่รู้จักเขาดีมากแถมยังช่วยสั่งสอนและชี้ทางให้เขามาโดยตลอด ราวกับเป็นพี่สาวแท้ๆ เลยก็ว่าได้
หลังจากหัวเราะจนพอใจแล้ว เอน่าก็เล่นกับมือของวาห์นเล็กน้อยจนกระทั่งเธอเอ่ยถามขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่มั่นใจ
“…วาห์น นายอยากให้ฉันมีลูกหรือเปล่า?”
เพราะกำลังคิดเรื่องที่พูดกันไปก่อนหน้านี้ วาห์นก็เลยเลยตั้งตัวไม่ทันและไม่ได้ตอบออกไปในทันที
แต่ก่อนจะได้ทำแบบนั้น เอน่าก็ปล่อยมือที่จับอยู่ออกและเปลี่ยนไปเล่นกับใบหูของเขาแทน
วาห์นกลืนน้ำลายไปหนึ่งอึกก่อนจะตอบกลับไป
“เมื่อไหร่ก็ตามที่เธอพร้อม… ฉันเชื่อว่าเธอต้องเป็นแม่ที่ดีได้อย่างแน่นอน”
เอน่าพูดต่อด้วยน้ำเสียงเรื่อยเปื่อย ราวกับไม่ได้คิดจริงจังขนาดนั้น
“ถ้าท้องพร้อมกันกับเฮเฟสตัสได้ก็ดีสินะ เพราะมาคิดดูแล้ว อีกเดี๋ยวโลกิคงพูดเรื่องนี้ขึ้นมาแน่ๆ…
เธออาจจะไปสู้กับอิชทาร์แทนนายแล้วเอาเรื่องนั้นมาใช้เป็นข้อต่อรองเลยด้วยซ้ำ
ต่อจากเธอก็ยังมีอนูบิสกับโคลอี้อีก… ถ้าไม่มีลูกแบบพวกเธอบ้าง ฉันอาจจะได้เป็นแค่ ‘ภรรยาคนแรก’ ที่คอยช่วยเลี้ยงลูกคนอื่นก็ได้นะ
อนาคตยิ่งไม่ค่อยจะแน่นอนแบบนี้ เผลอๆ อาจจะพลาดโอกาสมีลูกไปเลยก็ได้
นายรู้อยู่แล้วใช่ไหมว่าลูกครึ่งเอลฟ์น่ะมีลูกยากมาก ถึงนายจะใช้ไอ้วิธีซับซ้อนที่เฮเฟสตัสเล่าให้ฉันฟังก็เถอะ
สำหรับเผ่าพันธุ์ที่เป็นลูกครึ่ง ต่อให้ร่างกายของเราพร้อมขนาดไหนมันก็อาจไม่มีความหมายอยู่ดี…”
วาห์นรู้ว่าสิ่งที่เอน่าบอกนั้นคือความจริง เพราะเหล่าเทพธิดาแห่งความอุดมสมบูรณ์ได้มีการทดสอบเรื่องนี้มาหลายครั้งแล้ว
หากเผ่ามนุษย์ หรือมนุษย์แมวได้รับพรของพวกเธอเข้าไป อัตราท้องก็จะพุ่งสูงขึ้นอย่างน่าใจหาย เรียกได้ว่าท้อง 100 เปอร์เซ็นต์ก็คงไม่ใช่คำพูดเกินจริงไปนัก
แต่พอมาลองวิธีเดียวกันกับเผ่าลูกครึ่งเอลฟ์ และลูกครึ่งคนแคระ… อัตราสำเร็จอาจเหลือเพียงแค่เปอร์เซ็นต์เดียวเท่านั้น
ที่จริงสองเผ่าพันธุ์นี้ก็มีลูกยากอยู่แล้ว พอเป็นลูกครึ่งก็เลยยิ่งยากเข้าไปใหญ่
ไม่ใช่เรื่องแปลกที่ลูกครึ่งเอลฟ์บางคน (ทั้งเพศชายและหญิง ) อาจพยายามทั้งชีวิตเพื่อมีลูก แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ทายาทสืบสกุลแม้แต่คนเดียว
วาห์นเอื้อมมือไปประสานกับของเอน่าอีกครั้งพลางกระซิบเบาๆ
“ฉันจะแก้ปัญหาเรื่องนั้นเอง ยังไงเราก็ต้องมีลูกด้วยกันให้ได้… เมื่อไหร่ก็ตามที่เธอพร้อม ฉันก็จะลองต่อไปเรื่อยๆ ไม่ว่าจะต้องใช้ความพยายามมากแค่ไหนก็ตาม…”
พอบีบมือของเอน่า วาห์นก็สัมผัสได้ว่าว่ามันเย็นชืดจนผิดปกติ เขาก็เลยเอามันมาแนบอกและเริ่มใช้ [หัวใจของเพลิงนิรันดร์] เพื่อทำให้ร่างกายตัวเองอบอุ่น
เอน่าเริ่มยิ้มนิดๆ ซึ่งมันก็ดูดีขึ้นไปอีกเมื่อความร้อนจากร่างของวาห์นพุ่งผ่านมาที่ฝ่ามือของเธอ
นอกจากนี้ เธอยังสัมผัสได้ว่าร่างกายทุกส่วนของชายหนุ่มเริ่มร้อนขึ้นเรื่อยๆ ราวกับว่าเขากำลังปลอบเธออยู่
เอน่าดึงมือของเธอออกไปจากแผงอกกำยำ ก่อนจะจ้องมองเล็กน้อยและจูบเข้าที่ริมฝีปากของวาห์น
วาห์นเริ่มคว้าเอวบางแบบหลวมๆ แต่แล้วเธอก็ผละออกไปเสียก่อน
“ต้องรอให้ถึงคืนวันแต่งงานก่อนนะ… ฉันเคยสัญญาไว้ว่าจะรักษามันจนกว่าจะได้แต่งงาน
เป็นสัญญาที่ให้ไว้กับแม่… ยังไงก็อยากรักษามันไว้ให้ได้
เมื่อถึงตอนนั้น… อ่า ไว้ฉันจะไปปรึกษากับเฮเฟสตัสเองก็แล้วกัน”
‘…ตาสีเขียวมรกต ตาสีแดงทับทิบ ชุดแต่งงาน รออยู่บนเตียงพร้อมกันสองคน…’ นั่นคือทั้งหมดที่กำลังวิ่งเล่นอยู่ในหัวของวาห์น ณ ตอนนี้
สัญชาตญาณบางอย่างบังคับให้เขาต้องกลืนน้ำลายเสียงดังมากจนอีกฝ่ายได้ยิน
นั่นทำให้เอน่าหัวเราะออกมาขณะกอดหัวของเขาไว้กับส่วนคอของเธอ
“ถึงตอนนี้จะทำแบบนั้นไม่ได้… แต่เรามาทำอย่างอื่นแทนก็ได้นี่
วันนี้เหนื่อยมาทั้งวันเลยไม่ใช่เหรอ คงต้องให้รางวัลหน่อยแล้วล่ะ
ไหนๆ ก็ไม่ได้มาบ่อยๆ งั้นคืนนี้ฉันขอค้างที่นี่ละกันนะคะ… ที่รัก”