วาห์นพยักหน้าและถามกลับ
“ฉันเองก็มีเรื่องจะถามเหมือนกัน ว่าแต่เธออยากจะคุยเรื่องอะไรเหรอ?”
ก่อนจะเอ่ยตอบ โลกิก็เปลี่ยนมานั่งไขว่ห้างและวางคางไว้บนมือที่แปะอยู่บนเข่า
วันนี้เธอสวมชุดที่มักใส่เป็นประจำซึ่งประกอบไปด้วย กางเกงขาสั้นรัดรูป เสื้อรัดรูปสีน้ำเงินตัวจิ๋ว แขนเสื้อแยกแบบมีฮู้ดด้านหลัง และถุงน่องสีดำยาวพร้อมรองเท้าบูทสีน้ำเงิน
เธอมักจะนั่งแบบตามใจตัวเอง และแม้จะไม่มีอะไรโผล่ออกมาเนื่องจากใส่กางเกงอยู่ แต่มันก็เรียกสายตาจากคนอื่นได้ทุกครั้ง
ว่ากันตามตรงแล้วกางเกงแนบเนื้อนั่นมันแย่ยิ่งกว่ากระโปรงเสียอีก เพราะคนมองแทบไม่ต้องจินตนาการสิ่งที่อยู่ข้างในเลย…
โลกิเห็นสายตาที่วาห์นใช้มองอยู่แวบหนึ่งแต่เธอก็แค่ยิ้มและพูดต่อ
“เราต้องคุยกันเรื่องงานเดนาตัสครั้งหน้า รวมถึงแผนที่จะใช้ในวันนั้น
เรื่องนี้ฉันคุยกับเทพคนอื่นมาบ้างแล้ว แต่ในฐานะผู้ที่ได้รับแต่งตั้งให้เป็น ‘ตัวแทน’ ของกลุ่ม ฉันเลยต้องมาคุยกับนายและทำการตัดสินใจเรื่องบางเรื่องโดยใช้ข้อมูลจากตรงนี้ด้วย
จากเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้น… อืมมม บอกตรงๆ เลยนะว่าถ้ามีอะไรผิดพลาด เราคงได้ตามแก้กันอีกยาวเลย
นอกจากนี้ยังมีเรื่องของอิชทาร์… แต่ฉันไม่คิดว่ารายนี้จะมีพิษสงอะไรนักหรอก
ฉันอุตส่าห์ท้าวอร์เกมไปแล้ว แต่ยัยนั่นยังคิดจะท้วงเรื่องนี้ในงานประชุมอยู่เลย… คอขาดไปแล้วยังไม่รู้ตัวอีก”
(TL: วอร์เกมจะถูกจัดหลังเดนาตัส หมายความว่าต่อให้อิชทาร์พูดยังไง จบการประชุมเมื่อไหร่ก็โดนโลกิแฟมิเลียเฉ่งอยู่ดี)
วาห์นมีสีหน้าจริงจังกว่าเดิมขณะถามต่อ
“งั้นที่สำคัญกว่าก็คงเป็นเรื่องการตั้งครรภ์ของเฮเฟสตัสผ่านการใช้ [เอ็นคิดู] ใช่หรือเปล่า?”
โลกิพยักหน้ารับ
“อาจจะไม่ใช่แค่เฮเฟสตัสด้วยนะ… ฉันรู้สึกเหมือนโอกาสของตัวเองกำลังหดเล็กลงยังไงไม่รู้สิช
นี่ก็เรียกให้ทีมสำรวจรีบกลับมากันแล้วด้วย… อืม เรื่องนั้นเอาไว้ก่อนละกัน
เดี๋ยวฉันจะอธิบายให้ฟังเป็นข้อๆ นะ
ตัวเลือกที่ดีที่สุดก็คือปล่อยให้เฮเฟสตัสท้องคนเดียวไปก่อน ส่วนสาเหตุก็บอกไปง่ายๆ เลยว่าเป็นแค่ ‘เรื่องบังเอิญ’…”
โลกิเงยหน้าขึ้นพลางถอนหายใจ
“แต่ต่อให้บอกไปแบบนั้น บางกลุ่มก็คงอยากเข้าหานายแบบไม่สนใจอะไรทั้งสิ้นอยู่ดี
ส่วนผลที่ตามมา… เรื่องนี้จะทำให้ชุมชนของทวยเทพและมนุษย์ปั่นป่วนกันยกใหญ่แน่นอน เพราะการตั้งครรภ์ของเฮเฟสตัสนั้นถือเป็นปรากฏการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นที่ไหนมาก่อน…”
โลกิที่แม้จะตาปิดเกือบตลอดถึงกับต้อง ‘หรี่ตา’ ก่อนพูดต่อ
“นอกจากมันจะทำให้พวกนายทั้งคู่ตกอยู่ในอันตรายแล้ว… ฉันยังเชื่อด้วยว่าเฮเฟสตัสคงไม่อยากเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับแน่นอน
ทางแก้ทางเดียวก็คือหาหลักฐานมายืนยันว่านี่มันไม่ใช่ ‘ความบังเอิญ’ และอาจต้องใช้ ‘หลักฐาน’ มากกว่าหนึ่งหรือตัวอย่างด้วย
ข้อเสียก็คือ แหม อันนี้น่าจะรู้ๆ กันอยู่นะ… รับรองว่าหัวกระไดบ้านนายคงไม่มีทางแห้งไปอีกนานเลยล่ะ
เราควรซ่อนเรื่อง [เอ็นคิดู] ไว้ก่อน จากนั้นก็ทำการคัดสรรเทพธิดาที่อยากเข้าหานาย ต่อด้วยการใช้พิธีสาบานเพื่อทุกอย่างไว้เก็บความลับ…”
โลกิเอียงศีรษะเล่นไปมาขณะพูดต่อ
“แต่เพราะพิธีสาบานเพื่อเก็บความลับมีช่องโหว่อยู่เยอะ นี่จึงไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาแบบถาวร…
อีกวิธีก็คือเก็บทุกอย่างไว้เป็นความลับและใช้มันแทนโล่ไปเลย
ข้อเสียของวิธีนี้คือนายจะเคลื่อนไหวอะไรมากไม่ได้ จะทำอะไรก็ไม่สะดวก…
นอกจากนี้ยังมีในกรณีที่นายไม่ต้องเป็นคนลงมือเอง… อืม ก็ ฉันฟังขั้นตอนจากเฮเฟสตัสมาแล้วล่ะ ประเด็นคือนายต้องอยู่แถวๆ นั้นด้วยใช่ไหม?”
เนื่องจากต้องใช้ทั้ง [เอ็นคิดู] [ดวงตาแห่งการรู้แจ้ง] และ [หัตถ์แห่งเนอร์วาน่า] ในระหว่างและหลังเสร็จกิจ วาห์นจึงต้องอยู่ในบริเวณใกล้เคียงตลอด
เขาพยักหน้ารับก่อนที่โลกิจะพูดต่อ
“ดังนั้นต่อให้เราปิดบังตัวตนของนายไว้ ไม่นานก็คงโป๊ะแตกอยู่ดี…”
โลกินิ่งเงียบไปหลายวินาทีก่อนจะเงยหน้าขึ้นมา ‘สบตา’ กับวาห์นแบบตรงๆ
“วาห์น บอกฉันมาตามตรงเลยนะ ว่านายยังคิดจะเข้าดันเจี้ยนหลังจากที่ความลับถูกเปิดเผยไปแล้วหรือเปล่า?
วาห์นขมวดคิ้วเพราะเขาเองก็พอเข้าใจว่าทำไมโลกิถึงถามแบบนี้
หลังจากทุกอย่างถูกเปิดเผย เขาก็จะกลายเป็น ‘ที่ต้องการ’ ของเทพธิดาแทบทุกองค์ ไม่ว่าจะเป็นการขอให้ทำกระบวนการแบบทางตรงหรือทางอ้อมก็ตาม
การจะปล่อยให้บุคคลมีค่าลงไปเสี่ยงตายในดันเจี้ยนนั้น… เผลอๆ เขาจะโดนสั่งแบนหรือไม่ก็โดดกักตัวด้วยซ้ำ
นอกจากเหล่าเทพธิดาที่อยาก ‘ปกป้อง’ จนเกิดเหตุแล้ว วาห์นยังต้องเจอกับพวกที่อยากฆ่าเขาด้วยเหตุผลต่างๆ นาๆ
แต่ต่อให้วาห์นไม่ได้สนใจเรื่องดันเจี้ยนมากนัก เขาก็ยังสัมผัสได้ลางๆ ว่าโชคชะตาของตัวเองนั้นถูกผูกติดอยู่กับมัน
ราวกับมีแรงดึงดูดเบาๆ พยายามผลักดันให้เขาเข้าไปในนั้น
โลกิเห็นความมุ่งมั่นในสายตาของวาห์นก็เลยพูดต่อโดยไม่รอฟังคำตอบ
“ถ้างั้นเราก็ต้องให้ข้อมูลออกไปว่านี่คือกระบวนการที่ซับซ้อนและไม่ได้ทำกันง่ายๆ
ขณะเดียวกันก็ต้องผูกผู้ที่ผ่าน ‘การรักษา’ ด้วยพิธีสาบานต่ออีกชั้น…
แถมยังต้องคิดเรื่องการกำหนดค่ารักษาและออกกฎเกณฑ์มากำกับดูแลด้วย… ที่พูดมานี่นายคงไม่ชอบเลยใช่ไหม?”
การได้ยินโลกิพูดเรื่อง ‘จ่ายเงินเพื่อซื้อสิทธิ์ในการมีลูก’ ทำให้วาห์นขมวดคิ้วเล็กน้อย ถึงเขาจะเข้าใจเหตุผลอยู่บ้างก็ตาม
เมื่อเห็นสีหน้านั่นแล้ว โลกิก็เลยพูดออกมาตรงๆ
“ไม่ว่าจะเลือกทางไหน เราก็ต้องมาคัดสรรกันอยู่ดีว่าจะให้ใครท้องบ้าง… นี่นาย คงไม่ได้คิดเรื่องทำลายโลกอะไรแบบนี้อยู่ใช่ไหม?”
วาห์นถึงกับทำหน้างงเมื่อได้ยินความจริงจังในน้ำเสียงของเธอ
“นี่เธอพูดเรื่องอะไรกัน? ก็น่ะใช่สิ ฉันไม่ได้คิดจะทำลายโลก…”
โลกิพยักหน้าก่อนจะอธิบาย
“วาห์น นายรู้ไหมว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าเทพธิดาทุกคนตั้งครรภ์ได้?”
วาห์นครุ่นคิดเรื่องนี้อย่างจริงจังจนกระทั่งพบกับคำตอบ
“จะมีลูกครึ่งเทพเพิ่มขึ้นมามากกว่าเมื่อก่อน…”
โลกิพยักหน้ารับ
“ถูกต้อง แล้วจะเกิดอะไรขึ้นถ้าลูกครึ่งเทพพวกนั้นมีลูกต่อไปอีก อาจจะกับเทพ หรือลูกครึ่งเทพด้วยกัน หรือไม่ก็กับมนุษย์…?”
วาห์นค่อนข้างสับสนในตอนแรก ทว่าสิ่งหนึ่งที่ผุดขึ้นมาในหัวก็คือภาพของผู้ที่มีพลังศักดิ์สิทธิ์เสมือนเดินกันอยู่ทั่วไปหมด…
สีหน้าของเขาดูเครียดกว่าเดิมเพราะเริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมโลกิถึงถามเรื่อง ‘ทำลายโลก’…
โลกิยิ้มและพยักหน้าอย่างพึงพอใจ
“ดีที่นายยังเป็นคนคิดรอบคอบอยู่บ้าง แบบนี้อนาคตยังพอมีหวังขึ้นมาหน่อย
อย่างที่นายคิดไว้นั่นแหละ จำนวนของลูกครึ่งเทพบนโลกจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
เพราะมีความเป็นเทพมากกว่ามนุษย์ นายคงจะอยู่ได้อีกเป็นร้อยๆ หรือไม่ก็หลายพันปี
ในระหว่างนั้น ต่อให้นายมีลูกแค่ปีละคน กี่พันปีก็คูณเข้าไปสิ แถมยังไม่รวมพวกเด็กที่นายไม่ได้ทำเองอีก
ถ้าเด็กที่เกิดออกมาไม่ได้ถูกพลังศักดิ์สิทธิ์ผูกมัดแบบพวกเทพหรือลูกครึ่งเทพที่มีอยู่ในปัจจุบัน สมดุลของโลกก็จะเปลี่ยนไปแบบถาวร ทุกอย่างจะไม่มีทางกลับมาเป็นเหมือนเดิมอีกเลย
ผ่านไปอีกสัก 4-5 รุ่น บางเผ่าพันธุ์อาจจะสูญพันธุ์ไปเลยก็ได้ ในขณะที่เลือดเนื้อเชื้อไขของนายกระจายออกไปทั่วทุกมุมโลก
นี่ไม่ใช่สิ่งที่นายตั้งใจเอาไว้หรอก แต่ทำไงได้ล่ะ เพราะเผ่าพันธุ์อื่นๆ แทบไม่มีทาง ‘แข่งขัน’ กับลูกๆ หลานๆ ของนายและลูกครึ่งเทพรุ่นใหม่ได้เลยนี่นะ”
มาถึงตรงนี้ สมองของเฮสเทียก็รับข้อมูลต่อไปไม่ไหวจนเริ่มมีควันออกมาให้เห็น
วาห์นกำลังทำท่าคิดหนักมากขณะพยายามนึกภาพตามที่โลกิเล่า
เขายังอธิบายให้ใครฟังไม่ได้เลยว่าหากต้องการ เขาสามารถอยู่ต่อไปได้เรื่อยๆ ไม่ต่างจากพวกเทพ
นี่เป็นเรื่องของอนาคตที่ยังอีกยาวไกลมาก แต่เอาเข้าจริงๆ เขายังนึกภาพที่ตัวเองออกมาห้ามนู่นห้ามนี่ใส่พวกลูกๆไม่ออกเลย
ผ่านไปอีกหน่อย พวกลูกๆ ก็จะมีลูกของตัวเอง ตามมาด้วยลูกของหลานและเหลน…
โลกิค่อยๆ อธิบายต่อแบบเน้นหนักทุกคำพูด
“เราต้องจำกัดจำนวนเทพธิดาที่นายเข้าช่วย… โดยเฉพาะพวกที่นายเข้าช่วยแบบตรงๆ
นายมีความเป็นเทพประมาณ 75 เปอร์เซ็นต์ ดังนั้นลูกของนายกับเทพธิดาก็จะมีความเป็นเทพราวๆ 87.5 เปอร์เซ็นต์
ถ้าโชคชะตารู้เห็นเป็นใจให้เด็กพวกนั้นมีลูกกับเทพหรือเทพธิดาต่อ… รุ่นต่อมาก็จะกลายเป็น 93.75 เปอร์เซ็นต์…
ต่อให้อยากปกป้องทุกคนมากแค่ไหน แต่นายก็คงหนีไม่พ้นพวกที่คิดจะผลักดันสายเลือดเทพแบบไม่เลือกวิธี
ในอีกไม่กี่ร้อยปีข้างหน้า จะมีคนที่สามารถเทียบเคียงเทพบนสวรรค์อยู่เต็มไปหมด… ลูกๆ ของนายอาจอยู่ต่อไปอีกเป็นล้านๆ ปีแล้วมีทายาทนับไม่ถ้วน…”
นับเป็นครั้งแรกเลยที่วาห์นรู้สึกกลัวเรื่องการมีลูกเป็นของตัวเองและไม่แน่ใจว่าจะตัดสินใจยังไงต่อดี
เขาไม่รู้สึกเสียใจกับสิ่งที่ทำลงไปแล้ว ทว่าอนาคตมันช่างมืดมนซะเหลือเกิน ไม่ใช่แค่สำหรับตัวเขาคนเดียว แต่ยังรวมถึงลูกๆ หลานๆ ในอนาคตด้วย…
ผ่านไปอีกครู่ใหญ่ๆ วาห์นก็กลับมาสบตากับโลกิอีกครั้ง
“เธอคิดว่าฉันควรจะทำยังไงดี? ฉันอยากจะช่วยถ้าทำได้… แต่ก็ไม่อยากทำลายสิ่งที่ริเริ่มไปแล้ว
ถึงจะรู้ว่าโลกิปรารถนาการ ‘ทำลายล้าง’ แต่เป้าหมายของเธอก็มีแค่แดนสวรรค์เท่านั้น ส่วนโลกมนุษย์น่ะไม่เกี่ยว
ถ้าพูดออกมาได้ขนาดนี้ เธอย่อมต้องคิดแผนรับมือไว้แล้วสิ…
โลกิตอบแบบจริงจังเหมือนเดิม
“เราจะจับเทพธิดาที่รู้เรื่อง [เอ็นคิดู] กับขั้นตอนต่างๆ เข้าร่วมกลุ่มพันธมิตรให้หมด
จากนั้นพวกเธอก็ต้องทำพิธีสาบานว่าจะเลี้ยงลูกภายใต้การสังเกตการณ์ของทางเราอย่างใกล้ชิด
นอกจากลูกๆ ของนายแล้ว เรายังต้องปกป้องเด็กๆ ทุกคนที่เกิดมาจากกระบวนการนี้จนกว่าจะได้รับข้อมูลเพิ่ม
เรายังต้องกำหนดเรื่องระยะเวลา ‘ฟื้นพลัง’ หลังจากที่นายใช้วิชานี้ รวมถึงการเพิ่มบางอย่างเข้าไปในกระบวนการ… ต้องเป็นบางอย่างที่นายเท่านั้นที่สามารถทำได้ด้วย… อืมมม ขั้นตอนส่วนใหญ่ พวกเทพกับเทพธิดาในกลุ่มพันธมิตรสามารถบริหารจัดการกันเองได้อยู่แล้ว
สิ่งที่นายต้องรับผิดชอบและจำใส่ใจให้ดีก็คือ… ต้องไม่ยอมอ่อนข้อให้ง่ายๆ เพียงเพราะว่านายรู้สึกเห็นใจใครเป็นพิเศษ
ขอยกเอาลาเวอร์น่ามาเป็นตัวอย่างละกันนะ นั่นคือเทพธิดาที่นายไม่ควรรู้สึกเห็นใจเด็ดขาด… ส่วนบางคนนั้นต่อให้มีลูกเป็นตัวเป็นตนขึ้นมาแล้ว เธอก็ไม่มีวันเป็นแม่ที่ดีได้ ฉันเองก็จัดอยู่ในกลุ่มหลังนี่แหละ ถ้าไม่จำกัดหรือผูกมัดตัวเองไว้กับอะไรสักอย่างล่ะก็ มีหวัง…”
วาห์นพยายามทบทวนสิ่งที่โลกิพูดออกมาอยู่หลายนาทีในขณะที่เฮสเทียใช้มือลูบหลังอย่างเป็นห่วง
เทพตัวเล็กไม่ใช่พวกที่คิดอะไรไกลขนาดนั้น คำอธิบายของโลกิจึงส่งผลกับเธอค่อนข้างมากเช่นกัน
ถึงจะไม่ใช่ในเร็วๆ นี้ แต่เฮสเทียก็อยากมีลูกเป็นของตัวเองเข้าสักวัน… ตอนนี้เธอกลับรู้สึกลังเลไปหมด
บางทีธรรมชาติอาจจะสร้างข้อห้ามขึ้นมาด้วยเหตุผลเดียวกันล่ะมั้ง? ทุกอย่างก็เพื่อรักษาสมดุลและปกป้องกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ
ผ่านไปอีกพักหนึ่ง วาห์นก็ได้คำตอบในแบบของตัวเอง
“ฉันเห็นด้วยที่เราควรตั้งกฎเกณฑ์บางอย่าง… แต่งานวิจัยของฉันที่เกี่ยวกับวิธีเพิ่มอัตราการเกิดของเผ่าพันธุ์อื่นๆ ก็จะยังดำเนินต่อไป
เผ่ามนุษย์กับเทพ (เพศชาย) ไม่ควรจะเป็นกลุ่มเดียวที่มีลูกได้อย่างอิสระ ในขณะที่เทพธิดากับเผ่าลูกครึ่งต่างๆ ต้องแบกรับความผิดหวังอยู่ฝ่ายเดียว
ฉันไม่คิดว่าอนาคตที่เธอวาดไว้จะหมายถึงการทำลายล้างหรอกนะ แต่มันดูเหมือนวิวัฒนาการซะมากกว่า
มันอาจจะดูวุ่นวายไปหมด แต่ความวุ่นวายก็เป็นสิ่งที่อยู่คู่กับโลกมาช้านานแล้ว
ฉันเชื่อว่าเราสามารถเปลี่ยนอนาคตได้ ผ่านการนำและสร้างตัวอย่างที่ดี รวมไปถึงความพยายามที่จะปรับปรุงคุณภาพชีวิตของทุกคน”
วาห์นไม่มีทางทำนายหรือวางแผนรับมือกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอีกพันๆ ปีได้ถูกต้องร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่สิ่งที่เขาเห็นว่าผิดเต็มประตูเลยก็คือการห้ามคนอื่นไม่ให้มีลูกเพียงเพราะความกลัวในสิ่งที่ยังไม่ได้เกิดขึ้นจริง
นี่คือความเห็นแก่ตัวล้วนๆ และไม่มีทางเลยที่เขาจะออกมาห้ามไม่ให้ลูกมีครอบครัวเป็นของตัวเอง
จะให้เขาทำเรื่องโหดร้ายแบบนั้นกับคนที่อยากปกป้องได้ยังไงกัน?
วาห์นไม่รู้ตัวเลยว่าตอนนี้เขากำลังโอบเฮสเทียแน่นกว่าเดิมจนไม่เหลือช่องว่างระหว่างทั้งสอง
เทพตัวเล็กแหงนหน้าขึ้นไปและเห็นสีหน้าที่ดูจริงจังมาก มากเสียจนเธอกล้าคิดที่จะมีลูกอีกครั้ง
หลังจากได้ยินคำตอบนั่นแล้ว โลกิก็เริ่มหัวเราะเสียงดังแถมยังใช้มือตีเข่าตัวเองด้วย
“นั่นแหละ คือคำตอบที่ถูกต้องงงง~!
นี่สิคือความงดงามของการเป็นมนุษย์ ตัดสินใจทำโดยไม่สนผลที่ตามมาและสนุกไปกับชีวิต!”
เสียงหัวเราะของโลกิยิ่งฟังดูเฮี้ยนขึ้นเรื่อยๆ จนเจ้าตัวต้องยกมือขึ้นมาป้องปากก่อนจะพูดต่อ
“การเปลี่ยนแปลงคือความงดงามของชีวิต! ช่างหัวความซ้ำซาก ช่างแม่งกับความคาดหวัง เกิดมาทั้งทีก็ต้องใช้ชีวิตให้มันสุดเหวี่ยงสิเฟ้ย~!”
ดูเหมือนโลกิเริ่มจะนอตหลุดไปตัวสองตัวแล้ว
เธอลุกขึ้นจากโซฟาด้วยดวงตาลุกวาว ราวกับว่าได้เห็นอนาคตคตแบบใหม่ของโลกใบนี้
จากความตื่นเต้น (ที่น้อยกว่าอีกฝ่าย) วาห์นเองก็ลุกขึ้นด้วยสายตาที่เปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ
อนาคตไม่ใช่สิ่งแปลกปลอมที่อยู่เหนือการควบคุมไปซะหมด แต่เป็นสิ่งที่เขาต้องสัมผัสด้วยตัวเอง
หากพยายามให้ถึงที่สุด วาห์นเชื่อว่าอนาคตคงจะไม่แย่เหมือนที่คุยกันในตอนแรกหรอก
อย่างน้อยๆ เขากับพวกผู้หญิงก็จะเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับพวกเด็กๆ เอง
การสั่งสอนอย่างเหมาะสมโดยไม่คาดหวังว่าพวกเขาจะต้องกลายเป็นคนที่เก่งกล้าสามารถ นี่คือความคิดขั้นต้นที่วาห์นวางเอาไว้
เขาต้องทำให้เด็กๆ เข้าใจว่าความสุขคือสิ่งที่เราสร้างขึ้นมาและนำไปแบ่งปันกับคนอื่น ผ่านทางสายสัมพันธ์ที่ถูกหล่อหลอมจากเวลากับตัวเลือกที่เราเลือกเอง
เฮสเทียที่กำลังคลำทางตามกันมาเองก็รู้สึกตื่นเต้นไปกับคนอื่นเหมือนกัน
สิ่งที่เธอพอสรุปได้ในตอนนี้ก็คือวาห์นจะพยายามต่อไป เพื่อความสุขของสมาชิกในแฟเมิเลีย ในขณะเดียวกันเขาก็จะทำเพื่อยกระดับชีวิตของคนอื่นด้วย
โลกิมองภาพตรงหน้าด้วยดวงตาแวววาวก่อนจะถามขึ้น
“นี่ๆ จะตามเอาใจเฮสเทียคนเดียวเลยเหรอ~?
รู้ไหมว่าช่วงนี้ฉันต้องทำงานเยอะขนาดไหน… แถมพอทำเสร็จแล้วก็มีของใหม่มาเพิ่มเฉยเลย?” ขณะพูด เธอก็ใช้สองมือนวดบั้นท้ายของตัวเองไปด้วย
“ดูสิ ต้องเดินไปนู่นไปนี่จนกล้ามเนื้อเกร็งไปหมดแล้วเนี่ย~?”
เพราะอยู่ห่างกันไม่มาก วาห์นที่แสดงสีหน้าสงสัยจึงยื่นนิ้วออกไปจิ้มเพื่อทดสอบว่ามันจริงหรือเปล่า
ดวงตาสีแดงเบิกกว้างขึ้นอีกนิดพร้อมกับรอยยิ้มที่ผุดขึ้นบนใบหน้า
เทพธิดาจอมเจ้าเล่ห์หันมาสบตากับเฮสเทียเพียงแวบเดียว ก่อนจะเดินข้ามโต๊ะเตี้ยและเอื้อมแขนไปกอดวาห์นไว้
วาห์นเองก็กำลังทำแบบเดียวกันแต่ด้วยสีหน้าที่อ่อนโยนกว่ามาก จนกระทั่งเขาก็ได้ยินเสียงกรี๊ดกร๊าดก่อนที่เฮสเทียจะหงายหลังลงไปกับโซฟาเพราะโดนโลกิหยิกเอาที่ก้น
แต่ก่อนที่วาห์นจะได้หันไปดูเทพตัวเล็ก โลกิก็โน้มตัวมาข้างหน้าและมอบจูบที่ล้ำลึกและมากด้วยประสบการณ์ให้กับเขาเสียก่อน