Endless Path : Infinite Cosmos, อนันตวิถีจักรวาล – ตอนที่ 262

ตอนที่ 262

หลังจากที่ทางทาเคมิคาสึจิแฟมิเลียกลับกันไปแล้ว วาห์นก็แนะนำมิโคโตะกับฮารุฮิเมะให้มิลาน ริว และทีน่าได้รู้จัก

เพราะเป็นถึงรองกัปตันและพี่ใหญ่ของแฟมิเลีย ริวจึงให้การต้อนรับทั้งสองเป็นอย่างดี ส่วนทีน่านั้นออกจะรู้สึกขัดๆ เนื่องจากมีผู้หญิงมาอยู่ล้อมรอบวาห์นเพิ่มอีกถึง 2 คน

มิลานดูเหมือนจะไม่ติดใจอะไรนัก ส่วนหนึ่งก็เพราะเธอรู้สึกเป็นห่วงเพรเซียซึ่งบัดนี้ก็ยังไม่ฟื้นขึ้นมาเลย

วาห์นไปตรวจร่างกายให้เธออีกครั้งและสรุปออกมาว่าเพรเซียแค่รู้สึกเหนื่อยมากเท่านั้นเอง หนทางแก้ก็คือปล่อยให้นอนต่อไปเรื่อยๆ นั่นแหละ

เฟนเรียร์ก็เป็นอีกคนที่รู้สึกห่วงเพรเซียมาก วาห์นจึงปล่อยให้เธอเป็นคนดูแลหญิงสาวต่อ

มิลานนั้นคอยช่วยอยู่ห่างๆ โดยใช้เวลาที่เหลือไปกับการสอนคู่แฝดเรื่องงานบ้านงานเรือนรวมถึงการทำอาหารหลากหลายเมนู

เอมิรุกับมาเอมิเคยเป็นชนเผ่าเร่ร่อนมาก่อน ทักษะการทำอาหารของพวกเธอจึงไม่หลากหลายเท่าไหร่นัก อย่างมากก็แค่ปรุงรสและย่างเนื้อด้วยเครื่องเทศที่้เตรียมขึ้นมาเอง

ทีน่านั้นหันไปพูดคุยกับฮารุฮิเมะและมิโคโตะเพื่อเรียนรู้เกี่ยวกับอดีตของทั้งสอง เธอรู้แค่ว่าวาห์นออกไปตามหาฮารุฮิเมะ แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ได้ยินสาเหตุและที่มาที่ไปทั้งหมด

ไม่นานความขัดแย้งในใจของเด็กสาวก็มลายหายไปพร้อมกับที่เธอตัดสินใจว่าจะเป็นเพื่อนกับฮารุฮิเมะแทน

ในขณะนั้นเอง วาห์นได้ปลีกตัวออกมายืนอยู่บนระเบียงที่สูงที่สุดของตัวคฤหาสน์และเฝ้ามองบริเวณรอบๆ ด้วยสายตาครุ่นคิด

ริวเองก็มายืนอยู่ด้วยเพราะพวกเขาอยากลองหาวิธีจัดการกับอิชทาร์แฟมิเลียแบบพึ่งพากลุ่มพันธมิตรให้น้อยที่สุด

ตอนนี้โลกิเริ่มระดมกำลังพลบางส่วนแล้ว แถมเธอยังส่งสารไปทางทีมสำรวจให้รีบกลับมาโดยเร็วที่สุดอีกด้วย

ตอนนี้เฮสเทียกำลังเก็บตัวอยู่ในห้องเพื่อส่งข้อความผ่านทางเครือข่ายและอ่านสมุดบันทึกเพื่อดูว่ามีข่าวอะไรเพิ่มเติมหรือเปล่า

อากาศช่วงนี้ค่อนข้างเย็นแม้เวลาจะล่วงเลยมาจนถึงตอนบ่ายแล้ว ลมที่พัดผ่านระเบียงนั้นสามารถกัดผิวคนทั่วไปได้สบายๆ เลย

แม้ตัวเขาจะไม่ได้รับผลกระทบใดๆ แต่วาห์นสังเกตเห็นออร่าอันสั่นไหวของริวก็เลยเข้าใจว่าเธอคงรู้สึกหนาว

เขาถอนหายใจออกมาเป็นก้อนไอขนาดใหญ่ก่อนจะหันกลับมายิ้มให้เธอ

“ถ้าหนาวก็เข้าไปข้างในก่อนได้นะ ริว” พูดเสร็จวาห์นก็ยื่นเสื้อคลุมขนสัตว์แบบหนาพิเศษให้

ริวรับและสวมมันพร้อมรอยยิ้มแต่ก็ไม่ได้ตอบอะไรกลับไป

วาห์นเห็นว่าหูของเธอกลายเป็นสีแดงที่ไม่ได้เกิดจากความเขินแต่เป็นเพราะอากาศหนาวเย็นนี่แหละ

เขาจึงเริ่มใช้ [หัตถ์แห่งเนอร์วาน่า] ก่อนจะยื่นมือออกไปปิดหูเรียวยาวนั่นไว้

สิ่งแรกที่สัมผัสได้ก็คือมันเย็นมากจริงๆ ซะด้วย วาห์นยิ้มเมื่อเห็นออร่าของริวสว่างขึ้นพร้อมกับใบหน้าที่ติดสีแดงจางๆ

ทั้งสองยืนแบบนั้นต่อไปอีกสักพักโดยไม่พูดอะไรกันจนกระทั่งสีหน้าของเอลฟ์สาวดูดีขึ้น

เพราะมีเพียงคนรักหรือสมาชิกในครอบครัวเท่านั้นที่สามารถจับหูของเผ่าเอลฟ์ได้ ริวเลยรู้สึกร้อนวูบวาบมากเป็นเท่าตัว

แต่ยังไงนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่วาห์นสัมผัสมัน แถมตอนอาบน้ำด้วยกันนั้นเธอก็เผยทุกอย่างแบบหมดเปลือกไปแล้วด้วย

เพราะได้ตัดสินใจแน่วแน่ไปแล้ว ริวเลยเพลิดเพลินกับความอบอุ่นขณะจ้องมองดวงตาสีน้ำทะเลของวาห์น

หลังจากที่สมองเลิกคิดเรื่องฟุ้งซ่าน วาห์นก็ใช้ [หัวใจของเพลิงนิรันดร์] ผสานกับพลังเขตแดนเพื่อทำให้บรรยากาศอบอุ่นไปทั่วทั้งระเบียง

พอเห็นแบบนั้นริวจึงหัวเราะและเอ่ยถามแบบติดตลก

“นี่นายลืมเหรอว่าทำแบบนี้ได้?”

คราวนี้วาห์นเป็นฝ่ายหน้าขึ้นสีบ้างขณะค่อยๆ ลดมือลง

เขาจดจ่อไปกับเรื่องของอิชทาร์แฟมิเลียเพียงอย่างเดียวจนกระทั่งเห็นออร่าของเธอเนี่ยแหละ

ริวเอียงหัวเล็กน้อยขณะถามต่อ

“วาห์น นายชอบนอนหนุนตักหรือเปล่า?”

วาห์นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้ารับ

ในหมู่กิจกรรมที่ทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายนั้น การได้นอนตักถือว่าอยู่ในอันดับต้นๆ เลย แถมพอเจอแบบนั้นเข้าไปก็เป็นต้องหลับทุกที ถ้าบอกว่าไม่ชอบก็คงหลอกตัวเองแล้วล่ะ

ริวพยักหน้าราวกับกำลังยืนยันอะไรบางอย่าง จากนั้นเธอก็ถอดเสื้อคลุมออกและกางมันไว้บนพื้น

ถึงวาห์นจะอุ่นอากาศโดยรอบไปแล้ว แต่พื้นหินของระเบียงก็ยังกัดผิวได้อยู่ดี

หลังจากที่เห็นเธอนั่งลง วาห์นก็รู้ทันทีว่าต้องทำยังไงต่อและรีบลงไปนั่งข้างๆ ริว

เธอมองเข้าไปในดวงตาของเขาเพียงชั่วครู่ก่อนจะกระชับชายเสื้อด้านหน้าและพยักหน้าให้

วาห์นไม่อิดออดและพิงหัวลงไปบนตักทันที

ริวเริ่มลูบหัววาห์นอย่างเอ็นดูซึ่งเป็นแบบเดียวกับที่เฮสเทียทำ ต้นขาของเธออาจจะนิ่มสู้เทพตัวเล็กไม่ได้ แต่วาห์นคิดว่าสัมผัสยืดหยุ่นจากกล้ามเนื้อที่มีอยู่เล็ฏน้อยนั้นก็ไม่เลวเหมือนกัน เขาไม่ได้หลับแต่แค่หลับตาและเพลิดเพลินไปกับช่วงเวลาที่ทั้งสองมีร่วมกัน…

แต่แล้วเฮสเทียก็ขึ้นมาที่ระเบียงและเห็นภาพนี้พอดี ดวงตาของสองสาวจ้องประสานราวกับกำลังหยั่งเชิงกันเล็กน้อย

สิ่งแรกที่เฮสเทียรู้สึกคือความอิจฉา แต่พอนึกถึงตอนที่อีกฝ่ายเข้ามาในห้องนอน เธอก็ต้องดับมันลง

ขณะกำลังครุ่นคิดว่าจะปล่อยให้ทั้งสองอยู่แบบนี้ต่อไปดีหรือเปล่า วาห์นก็ลืมตาตื่นขึ้นและหันมาหาเพราะเขาสัมผัสถึงเธอได้

ริวเองก็จัดเสื้อผ้าจนเข้าที่ก่อนจะยืนขึ้นและพับเสื้อคลุมที่ใช้รองนั่งขึ้นมาถือไว้

เฮสเทียรู้สึกอึดอัดหน่อยๆ เพราะนึกว่าตัวเองเป็นคนทำลายบรรยากาศ แต่รอยยิ้มของวาห์นก็ทำให้เธอกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง

ทั้งสามเดินกลับเข้าไปด้านในที่อุ่นกว่าและทิ้งระเบียงอันเงียบเหงาเอาไว้ข้างหลัง

ผู้จัดจำหน่ายเฟอร์นิเจอร์อย่างวาห์นนั้นย่อมต้องมีของดีพกติดตัวไว้อยู่แล้ว เขานำโซฟายาวออกมาตั้งไว้ทันทีที่เข้ามาข้างใน

ริวนั่งโดยรักษาระห่างจากวาห์นเล็กน้อยและยิ้มให้กับเฮสเทียเพื่อเป็นเชิงบอกว่า ‘ไม่ต้องเกรงใจ’

เฮสเทียค่อนข้างหนักใจเพราะจากเรื่องเมื่อกี้ก็ทีนึงแล้ว แต่เพื่อไม่ให้เป็นการเสียน้ำใจที่ริวมอบให้ เธอจึงยอมแต่โดยดีและขึ้นไปนั่งบนตักของวาห์น

แน่นอนว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอทำแบบนั้น ส่วนวาห์นเองก็ไม่ได้ว่าอะไรเพราะน้ำหนักของเฮสทียนั้นเบาหยองจนเรียกได้ว่าผิดธรรมชาติ

จากการตรวจสอบด้วย [ดวงตาแห่งการรู้แจ้ง] ทำให้วาห์นเชื่อว่าร่างกายของเฮสเทียประกอบไปด้วยคุณสมบัติพิเศษบางอย่างที่ทำให้เธอนุ่มและเบากว่าพวกสาวๆ หรือเทพธิดาคนอื่นๆ

พอนั่งจนได้ที่แล้วเฮสเทียจึงเริ่มอธิบาย

“เรื่องที่นายให้ข้อมูลเกี่ยวกับการค้าทาสผิดกฎหมายน่ะ ทางกิลด์กำลังสืบสวนต่ออยู่นะ

พวกเขากำลังตามล่ารายชื่อของผู้ประกอบการ ลูกค้า รวมไปถึงสถานที่ต่างๆ ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีนี้”

วาห์นพยักหน้าเข้าใจและอยากถามเรื่องเจ้านายคนก่อนของเพรเซีย ทว่าเฮสเทียก็ยังคงพูดต่อไปอีก

“ฉันคุยเรื่องอิชทาร์กับเฮเฟสตัสและโลกิแล้ว โลกิบอกว่าเธอวางแผนที่จะท้าอิชทาร์แฟมิเลียแข่งวอร์เกมเพื่อไม่ให้ทางนั้นท้วงเรื่องที่เราลักพาตัวฮารุฮิเมะมา

ที่จริงฉันก็ไม่อยากบอกโลกิเท่าไหร่หรอกนะ แต่เฮเฟสตัสไม่อยากให้เรามีความลับต่อกัน นั่นรวมถึงข้อมูลเรื่องสกิลของฮารุฮิเมะด้วย

เพราะสุดท้ายเราก็คงได้ไปสำรวจดันเจี้ยนกับโลกิแฟมิเลียอยู่ดี

ทางนั้นก็ย้ำมาว่าจะเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับให้ถึงที่สุด หรืออย่างน้อยก็จนกว่าจะหมดช่วงที่เราโดนลงโทษ”

วาห์นเองก็คิดว่ามันไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไรนัก

“ไม่ต้องห่วง ฉันจะปกป้องฮารุฮิเมะจนกว่าเธอจะแข็งแกร่งกว่านี้เอง เรื่องนี้คนมีคนช่วยอยู่แล้วล่ะ…”

วาห์นหันไปยิ้มให้รับริวที่ยิ้มตอบและพยักหน้ากลับมา เฮสเทียกำลังพิงแผงอกของเขาอยู่ เธอก็เลยพลาดชอตเมื่อกี้นี้ไปและเริ่มพูดต่อ

“ทุกคนเห็นพ้องต้องกันว่านายไม่ควรออกไปนอกคฤหาสน์นับตั้งแต่ช่วงนี้จนถึงงานเดนาตัสครั้งหน้า

ส่วนเรื่องที่เฟนเรียร์อยากออกไปล่ามอนสเตอร์ ฉันว่าถ้าให้เธอคอยดูแลเพรเซียไปเรื่อยๆ ก็น่าจะทดแทนตรงส่วนนั้นได้

ปล่อยให้โลกิจัดการกับอิชทาร์แฟมิเลีย ทางเราก็คอยคุ้มครองสมาชิกกับคนในคฤหาสน์

ส่วนนาย… ไปหาเวลาพักจริงๆ จังๆ ซะบ้าง เพราะอีกเดี๋ยวก็คงมีเรื่องมาถามหาเองและ ไม่ต้องออกไปหามันให้เหนื่อยหรอก…”

ในช่วงท้ายนั้นเฮสเทียแหงนหน้าขึ้นมาเพื่อสบตากับเขาโดยตรง

มันคือสายตาที่เต็มไปด้วยความเป็นห่วง และแม้แต่ริวเองก็พยักหน้าเห็นด้วย

ผู้หญิงทุกคนที่รายล้อมวาห์น รวมไปถึงเอวาจากในลูกแก้วต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า ‘พักบ้างเถิด’

หากไม่ติดเรื่องช่วยฮารุฮิเมะเสียก่อน วาห์นก็คงทำตามนั้นอยู่แล้ว… จริงๆ นะ

ตอนนี้เรนาร์ดสาวอยู่ภายใต้การคุ้มครองของเขาโดยสมบูรณ์แล้ว ตราบใดที่วาห์นไม่ประมาทเรื่องความปลอดภัยในคฤหาสน์ ทุกอย่างก็น่าจะโอเค

ถึงฝั่งนั้นจะมีหน่วยลอบโจมตี แต่ก็คงไม่อาจหนีจมูกของเฟนเรียร์หรือพลังเขตแดนของวาห์นพ้นอยู่ดี

วาห์นบีบมือของเฮสเทียเพื่อแสดงว่าเขาไม่ขัดข้องแต่อย่างใด

“เป็นแบบนั้นก็ดี… ฉันอาจฝึกวิชาบ้างนิดหน่อย แต่เวลาส่วนใหญ่คงเอาไปทุ่มให้งานอดิเรกแทน

ฉันอยากลองสร้างเครือข่ายของพวกผู้ชายดู หรือบางทีอาจจะเอาเวลาไปศึกษาเรื่องอื่นๆ…”

คำพูดของนั่นทำให้เฮสเทียถอนหายใจเล็กน้อยเนื่องจาก ‘การพักผ่อน’ ที่วาห์นสาธยายออกมานั้นดูไม่ค่อยเหมือนการพักผ่อนเลย

ถ้าเธอกับคนอื่นๆ ไม่เล่นไม้แข็ง เขาก็คงกลับไปทำเรื่องหนักๆ และทุ่มเทไปกับมันแทน

อย่างน้อยความคิดที่จะหาเพื่อนผู้ชายนี่ก็ยังพอผ่าน แถมเป็นเรื่องที่ทางเครือข่ายพูดถึงอยู่พอดี

เฮเฟสตัสกับเอน่าอยากให้วาห์นคุยกับผู้ชายคนอื่นดูบ้าง เขาจะได้แยกแยะความสัมพันธ์ระหว่างผู้ชายและผู้หญิงออก

ด้วยนิสัยส่วนตัวของวาห์น เป็นเรื่องยากที่เขาจะมี ‘เพื่อนผู้หญิงจริงๆ’ เพราะต่างได้รับการปรนนิบัติและเอาใจใส่เป็นอย่างดี… ดีจนเกินเพื่อน

พอไม่มีการรักษาระยะห่างระหว่างกัน ความสัมพันธ์ของวาห์นกับพวกผู้หญิงก็เลยพัฒนาและเบ่งบานจนกลายเป็นแบบทุกวันนี้

พวกเธอหวังว่าวาห์นจะได้เฮฮากับผู้ชายด้วยกันบ้าง ได้เห็นปฏิสัมพันธ์ชาย-หญิงที่ไม่ใช่ของตัวเอง ต่อไปเขาจะได้ไม่โดนผู้หญิงจูงจมูกเอาง่ายๆ

แน่นอนว่าไม่ใช่ทุกคนที่เห็นด้วยกับเรื่องนี้ไปเสียหมด หรืออย่างน้อยก็ไม่คิดว่ามันจะดีเท่ากับที่เฮเฟสตัสและเอน่าหวังไว้

เฮสเทียถือว่าตัวเองเป็นพวก ‘ไม่ฝักฝ่ายใด’ แต่ครั้งนี้เธอค่อนข้างเห็นด้วยกับซีลและสาวๆ จากเจ้าของร้านผู้เพียบพร้อม

วาห์นมีเพื่อนผู้ชายนั้นนับเป็นเรื่องดี แต่ถ้าสนิทกันจนขอเข้าร่วมแฟมิเลียด้วยคงจะไม่ดีแน่

เป็นที่รู้กันว่าผู้หญิงส่วนใหญ่ในกลุ่มนั้นเป็นโรคกลัวผู้ชาย การจะให้มาอยู่บ้านหลังเดียวกันคงไม่ใช่เรื่องง่ายเลย

ซีลยังหยิบยกสถานการณ์แปลกๆ อย่างเช่น จะเกิดอะไรขึ้นถ้าหากชายคนอื่นรู้สึกอิจฉาและเริ่มเข้าหาผู้หญิงในเครือข่าย?

ถ้าความรู้สึกนั้นได้รับการตอบรับก็ดีไป แต่ถ้าไม่เป็นแบบนั้นแล้วมันเกิดลุกลามไปกันใหญ่ล่ะ?

ความสามัคคีในกลุ่มจะเกิดการแตกหักทันที และคนที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดก็คือวาห์นนั่นเอง

แม้แต่เอน่าก็ค้านหรือรับประกันเรื่องนี้ไม่ได้เพราะเธอรู้ดีว่าสถานการณ์ของหลายๆ คนนั้นเป็นแบบไหน

ทุกคนดูเข้มแข็งและใจกล้าขึ้นเมื่ออยู่กับวาห์นไปนานๆ แต่ถ้าเพิ่มผู้ชายคนอื่นเข้าไปในนั้นล่ะ?

พอวาห์นพูดเรื่องนี้ขึ้นมา เฮสเทียก็เลยถามต่อ

“เพื่อนผู้ชายที่ว่านี่ใครบ้างเหรอ? นายคิดไว้หรือยัง?”

เขาเพิ่งไตร่ตรองเมื่อไม่นานมานี้ก็เลยตอบได้ทันที

“โอวกะก็ดูเป็นคนดีนะ แรงผลักดันเพื่อพัฒนาฝีมือของหมอนั่นไม่ธรรมดาเลย…

ทาเคมิคาสึจิอาจจะมีข้อเสียอยู่บ้าง แต่โดยรวมก็ไม่ได้แย่ไปหมด…

ส่วนเวลฟ์ก็รู้จักกันดีอยู่แล้ว เดี๋ยวคงได้ทำงานวิจัยด้วยกันบ้างล่ะ…

แกเร็ธน่าจะเป็นแบบอย่างที่ดี เพราะอีกเดี๋ยวฉันก็จะได้เป็นพ่อคนเหมือนกันแล้ว…”

(TL: แกเร็ธมีครอบครัวแล้วครับ)

เฮสเทียนั่งฟังและพยายามวิเคราะห์ตามชื่อที่วาห์นพูดออกมา

เธอรู้สึกวิตกนิดๆ เมื่อได้ยินชื่อของทาเคมิคาสึจิ เพราะหมอนี่ชอบหว่านเสน่ห์อย่างเป็นธรรมชาติและพูดจีบหญิงไปเรื่อยแบบไม่คิดอะไรมาก

แค่นี้ก็น่าจะสรุปได้เลยว่า ‘ไม่ผ่าน’ แต่อีกใจหนึ่ง เฮสเทียก็หวังลึกๆ ว่าทาเคมิคาสึจิอาจจะช่วยดึงผู้หญิงบางส่วนออกไปจากชีวิตของวาห์นได้บ้าง

ขณะที่กำลังตกอยู่ในห้วงความคิด ทันใดนั้นเธอก็รู้สึกเหมือนได้ยินเสียง ‘ก๊อง’ ดังขึ้นในใจเมื่อวาห์นพูดถึงแกเร็ธและเรื่องที่จะเป็นพ่อคนในอนาคต

ริวเองก็เบิกตากว้างเช่นกันแม้จะรู้เรื่องที่เฮเฟสตัสท้องไปแล้ว

ตอนนี้สภาพร่างกายของเธอยังดูเหมือนปกติ แต่เฮเฟสตัสได้ขอให้เทพธิดาแห่งความอุดมสมบูรณ์ที่พอเชื่อใจได้เข้าตรวจสอบอีกรอบหนึ่ง

ไม่ใช่ว่าเทพสาวไม่เชื่อคำพูดของวาห์น แต่มันเป็นเรื่องเหลือเชื่อมากเสียจนเธออยากได้ความเห็นที่สองจากเทพด้วยกันเอง ซึ่งผลตรวจก็เป็นที่น่าพึงพอใจมาก

การได้ยินเรื่องนี้จากปากของวาห์นเองนั้นส่งผลต่อริวมากยิ่งกว่าตอนรู้รอบแรกเสียอีก

เอลฟ์เป็นเผ่าพันธุ์ที่มีอายุยืนยาว การมีลูกนั้นเปรียบเสมือนเรื่องที่อยู่ไกลตัวมาตลอด แต่พอจินตนาการภาพที่วาห์นกลายเป็นพ่อของลูกตัวเอง…

เฮสเทียยิ่งรู้สึกกังวลมากขึ้นเพราะเริ่มตระหนักแล้วว่าสภาพจิตใจของวาห์นกำลังเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว พูดง่ายๆ ก็คือจากวัยรุ่นไปเป็นคุณพ่อมือใหม่

บางอย่างกำลังบอกเธอว่าโอกาสใกล้ชิดกำลังหดเล็กลงหากปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ

เธอย้ำกับตัวเองว่าจะไปพบกับเฮเฟสตัสให้บ่อยกว่านี้ และถึงจะไม่ชอบขี้หน้า ‘อดีตคู่กัด’ มากแค่ไหน การไปปรึกษาโลกิก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ไม่ควรมองข้าม

ส่วนเรื่องแกเร็ธนั้น เธอรู้แต่เพียงว่าเขาเป็นสมาชิกของโลกิแฟมิเลียแต่ก็ไม่เจอกันมาก่อน

นี่เป็นอีกเรื่องที่ควรเอาไปให้โลกิวิเคราะห์ว่าเขาจะเป็นแบบอย่างที่ดีของวาห์นได้หรือเปล่า

อย่างน้อยวาห์นก็เริ่มคิดเรื่องผ่อนคลายบ้างแล้ว ตอนนี้ถึงตาที่เธอต้องเริ่ม ‘ทำงานหนัก’ เพื่ออนาคตของตัวเองบ้างล่ะ

ยิ่งคิดเฮสเทียก็ยิ่งตื่นเต้นไปกับเรื่องที่อยากทำกับวาห์นนับต่อจากนี้…

Endless Path : Infinite Cosmos, อนันตวิถีจักรวาล

Endless Path : Infinite Cosmos, อนันตวิถีจักรวาล

Status: Ongoing

เรื่องย่อโดยผู้แต่ง

วาห์นชายหนุ่มผู้ที่มีความผิดปกติ เนื่องจากการกลายพันธุ์ที่หายาก เลือดของเขาจึงมีความสามารถซ่อนเร้นที่ทำให้เป้าหมายและความเสียหายที่เกิดจากโรคร้ายที่อยู่ภายในร่างกายมนุษย์

ถูกขจัดออกไปในโดยการรักษาครอบจักรวาล เหล่าผู้คนจึงต่างเชิดชูบูชาสถานะของเด็กหนุ่มเหนือกว่าผู้ใดทั้งสิ้นและมอบชื่อให้เขาว่า “ยารักษาสารพัดโรค” ในข่าว

เขาได้รับการยกย่องเป็นเหมือนกับวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ที่จะนำพายุคสมัยแห่งใหม่หรือคุณภาพชีวิตมนุษย์ที่ดีมาถึง อย่างไรก็ตาม ฉากที่อยู่เบื้องหลังไม่ได้สดใสเลย

เนื่องจากปัจจัยเฉพาะบางอย่าง วาห์นจึงใช้เวลาช่วงวัยรุ่นทั้งหมดถูกกักขังอยู่ในห้องทดลองกับนักวิทยาศาสตร์ทั้งหลาย และทีมวิจัยที่ใช้ร่างกายและเลือดของเขาเพื่อทำการทดลองที่ไม่มีที่สิ้นสุด

สิ่งปลอบใจความทุกข์ทรมานเพียงอย่างเดียวของเขาคืออนิเมะทั้งหลายและหนังสือการ์ตูนที่มีให้เขาดูในระหว่างการทดลอง เขามักจะจินตนาการว่าตนเองเป็นตัวเองที่อยู่ในโลกของตนเอง

dและสุดท้ายเขาก็สามารถควบคุมโชคชะตาของตัวเองได้ เป็นเวลาหลายปีที่เขาเก็บรักษาความปราถนานี้เอาไว้ จนกระทั่งเขาเสียชีวิตในวัย 14 ปีขณะที่มีองค์กรพยายามลักพาตัวเขาออกจากห้องทดลอง…

“ในที่สุด ผมก็ไม่ต้องทนทรมานอีกต่อไปแล้ว…”

นี่เป็นความคิดสุดท้ายของวาห์นในขณะที่เขาค่อยๆจางหายไปในห้วงแห่งความมืดอันไร้สิ้นสุด…

“ดวงวิญญาณที่น่าสงสาร”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท