หลังจากเฮสเทียสงบลงแล้ว เธอก็มานั่งอยู่หลังวาห์นและเฝ้าดูเขาใช้สกิล [พรแห่งอิกดราซิล] เพื่อเลียนแบบความสามารถในการอ่านค่าสถานะ
เขาหยดเลือดของตัวเองลงบนแผ่นหลังของฮารุฮิเมะ และแม้จะรู้อยู่แล้ว แต่เฮสเทียก็ต้องประหลาดใจที่เห็นตราสัญลักษณ์เปล่งแสงให้กับคนอื่นที่ไม่ใช่ตัวเธอเอง
เธอสังเกตเห็นว่ามันดูต่างจากพลังที่ตนและเทพคนอื่นๆ ใช้อยู่บ้าง
ลวดลายกับอักษรที่ปรากฏขึ้นมานั้นมีจำนวนและความซับซ้อนมากกว่าซึ่งแม้แต่เธอเองก็ไม่เคยเห็นมาก่อน
ถึงจะอ่านมันแทบไม่ออก แต่เฮสเทียก็ยืนยันได้แล้วว่าสิ่งที่วาห์นพูดนั้นเป็นความจริง
เธอนึกอยากจะให้เขาไล่ตรวจสอบพวกสาวๆ แต่ละคนขึ้นมาตะหงิดๆ… แต่ยังไม่ใช่ตอนนี้นะ
ฮารุฮิเมะขมวดคิ้วเล็กน้อยขณะที่กำลังหลับตาอยู่ ไม่ใช่เพราะว่ารู้สึกเจ็บปวด แต่เป็นเพราะเธอรู้สึกสับสนกับตัวเองเหลือเกิน
แม้จะนึกมาตลอดว่าตัวเองเป็นโรคกลัวผู้ชาย แต่คราวนี้มันกลับไม่แสดงอาการออกมาเลย ที่จริงแล้วมันออกจะเป็นความรู้สึกที่ดีปนหวั่นไหวนิดๆ ด้วยซ้ำ
ฮารุฮิเมะรู้สึกสับสนต่อไปเรื่อยๆ เป็นเวลา 5 นาทีก่อนที่วาห์นจะดึงสติของเธอกลับมา
“ขอบใจมากนะฮารุฮิเมะ จัดเสื้อผ้าได้แล้วล่ะ”
ฮารุฮิเมะดึงชุดกิโมโนสีแดงของเธอขึ้นก่อนจะจัดโอบิจนเข้าที่ท่ามกลางเสียงถอนหายใจเบาๆ
อย่างที่วาห์นคาดการณ์ไว้ ค่าสถานะของฮารุฮิเมะนั้นมีบางอย่างซ่อนอยู่จริงๆ ด้วย
ที่จริงแล้วมันออกจะน่าเหลือเชื่อมากจนเขารู้สึกสมเพชอิชทาร์เพราะเธอคงไม่มีวันรู้เรื่องนี้หรือใช้ประโยชน์จากมันได้อีกต่อไปแล้ว
เห็นได้ชัดว่าเธอเก็บฮารุฮิเมะไว้เพราะสกิลเวทมนตร์ 2 อย่างซึ่งก็ไม่ต่างไปจากที่เฮสเทียเห็น ทว่าเด็กสาวคนนี้กลับซ่อนบางอย่างที่ดีกว่านั้นเยอะ
ตอนนี้วาห์นเริ่มเข้าใจถึงความสำคัญของตัวละครที่เกี่ยวพันกับเนื้อเรื่องเดิมขึ้นมาบ้างแล้ว บอกได้เลยว่าเขาอยากตามไปตรวจสอบค่าสถานะของไอส์ซะเดี๋ยวนั้นเลย…
———————————————————————————–
[[ค่าสถานะ]]
ชื่อ: ซันโจวโนะ ฮารุฮิเมะ
เผ่าพันธุ์: เรนาร์ด
เลเวล 1
พลังโจมตี: I11
ความอดทน: I28
ความแม่นยำ: I12
ความว่องไว: I30
พลังเวท: F367
สกิล: [อินาริ: สกิลแฝง(ถูกผนึก)] (A/N: วาห์นไม่ได้บันทึกรายการที่ถูกผนึกนะครับ ดังนั้นตรงส่วนนี้เฮสเทียจะมองไม่เห็น)
เวทมนตร์: [อูจิเดะ โนะ โคซูจิ: B], [โคโคโนเอะ: D]
สกิลที่กำลังพัฒนา: [ธิดาเทพแห่งจันทรา: สกิลแฝง(ถูกผนึก)] (A/N: วาห์นไม่ได้บันทึกรายการที่ถูกผนึกนะครับ ดังนั้นตรงส่วนนี้เฮสเทียจะมองไม่เห็น)
[อูจิเดะ โนะ โคซูจิ]
ระดับ: B
เวทมนตร์เพิ่มเลเวลสำหรับเป้าหมายเดียว ต้องรอตามเวลาที่กำหนดจึงจะร่ายใหม่ได้อีกครั้ง ไม่สามารถใช้กับตัวผู้ร่ายเองได้ เสริมค่าสถานะทั้งหมดของเป้าหมายเป็นจำนวน 30% ของยอดรวมค่าสถานะทั้งหมด
บทร่าย: จงเติบโตขึ้น พลังและกายา อณูแห่งความมั่งคั่งและความปรารถนา จนกว่ากาลเวลาจะเคลื่อนผ่าน จงนำมาซึ่งความรุ่งโรจน์และภาพมายา จงเติบโตขึ้น จงนำพาอำนาจศักดิ์สิทธิ์มาสู่กายเนื้อนี้ จงนำพาแสงสีทองจากเบื้องบน ลงสู่ค้อนแห่งโลกา นำมาซึ่งโชคลาภอันประเสริฐแด่ตัวเจ้า จงเติบโตขึ้น
(TL: ‘อูจิเดะ โนะ โคซูจิ’ คือค้อนนำพาโชคลาภตามความเชื่อของคนญี่ปุ่นครับ)
[โคโคโนเอะ]
ระดับ: D
เวทมนตร์เสริมพลังพิเศษที่สามารถสร้างหางให้กับผู้ใช้ได้มากถึง 9 หาง จำนวนหางที่สร้างได้จริงจะขึ้นอยู่กับข้อจำกัดของตัวผู้ใช้เอง สามารถเพิ่มประสิทธิภาพหรือผลของเวทมนตร์ที่ใช้ตามจำนวนหางที่สร้างขึ้น (จำนวนหางที่สร้างได้ในปัจจุบัน: 4)
บทร่าย: โคโคโนเอะ หิมะอันเป็นที่รัก สีเลือดอันเป็นที่รัก แสงสีขาวอันเป็นที่รัก ขอให้ข้าได้อยู่เคียงข้างเจ้า – ความรักที่พบเจอท่ามกลางสองพันราตรี นามของข้าคือจิ้งจอกแสนกล อดีตผู้ทำลายล้าง นามของข้าคือบทบรรเลงโบราณ อดีตผู้ใฝ่ฝัน สำหรับเจ้าผู้สยายปีกดั่งปักษา ข้าขอนำพาวิญญาณทั้งเก้าเข้าสู่กายา เสียงสะท้อน บทเพลงทองคำ บทกวีอันศักดิ์สิทธิ์ของทามาโมะ ใบหน้าขาวนวล ขนทองอร่าม ราชันเก้าหาง โอ หางแห่งอสูร กลืนกินทุกชีวิต ให้พรแด่ทุกสรรพสิ่ง (ร่ายเวทที่ต้องการเสริมคุณสมบัติ) – จงเต้นระบำ!
———————————————————————————–
มันต่างไปจากของลิลลี่ที่เป็นซัพพอร์ตเตอร์ในมังงะ ฮารุฮิเมะนั้นมีสกิลแฝงถึง 2 สกิลด้วยกัน
หากดูตามชื่อที่ระบุ วาห์นเชื่อว่ามันน่าจะเกี่ยวข้องกับเวทมนตร์สนับสนุนบางแขนง
เรื่องต่อไปก็คือค่าพลังเวทที่สูงจนผิดปกติทั้งๆ ที่ฮารุฮิเมะไม่เคยออกไปล่ามอนสเตอร์มาก่อน ตรงส่วนนี้น่าจะเป็นเพราะอิทธิพลจากสกิลแฝงเช่นกัน
เขารู้ว่าสกิลแฝงนั้นเป็นสิ่งที่ติดตัวบางคนมาตั้งแต่เกิด ทว่าการปลดผนึกมันออกนั้นไม่ใช่เรื่องที่ใครก็ทำได้
แน่นอนว่าวาห์นไม่ได้มองข้ามเรื่องเวทมนตร์พิเศษของเธอเช่นกัน และเขาก็เพิ่งมานึกได้ทีหลังว่ามันเหมาะกับตัวเองมากขนาดไหน
ค่าสถานะของวาห์นนั้นสูงเกินเลเวลปัจจุบันอยู่แล้ว หากเพิ่มเวทมนตร์ของฮารุฮิเมะเข้าไปอีก เขาก็จะมีพลังใกล้เคียงกับนักผจญภัยเลเวล 4 ขั้นปลาย
พอรวมเรื่องสกิลแฝง อาวุธ เครื่องป้องกัน และอุปกรณ์ต่างๆ เข้าไปด้วย การต่อสู้แบบสูสีกับพวกเลเวล 6 ก็ไม่ใช่เรื่องเพ้อฝันอีกต่อไป…
หลังจากอธิบายสกิลต่างๆ ให้ทั้งสองฟัง เฮสเทียก็รู้สึกช็อคมากจนต้องกลับไปดูสิ่งที่ตัวเองบันทึกไว้อีกครั้ง
กระดานค่าสถานะของเธอนั้นระบุไว้แค่ชื่อเวทมนตร์ แต่ของวาห์นกลับมีข้อมูลและบทร่ายเพิ่มขึ้นมาด้วย
ดูจากสีหน้าในตอนแรกของวาห์นแล้ว มันคงมีอะไรมากกว่านั้นอยู่อีก
การที่เขาไม่พูดมันออกมาน่าจะเพื่อประโยชน์ของตัวฮารุฮิเมะเอง ดังนั้นเฮสเทียจึงตัดสินใจเก็บเรื่องนี้ไว้ถามทีหลัง
แม้จะรู้เรื่อง [โคโคโนเอะ] อยู่แล้ว แต่ฮารุฮิเมะก็รู้สึกประหลาดใจมากที่ได้ยินเรื่องเวทมนตร์อีกบท
ไอช่าเป็นคนบอกเรื่องนี้ให้ฮารุฮิเมะทราบมาบ้าง แต่เธอไม่รู้มาก่อนเลยว่ามันพิเศษมากแค่ไหน
นอกเหนือจากนั้นแล้วก็ไม่มีใครพูดหรือสอนอะไรเธออีกเลย อย่างมากก็มีคนมาให้ความรู้ในเรื่องของการเป็น ‘สาวบริการฝึกหัดที่ดี’ เท่านั้นเอง
พอรู้แบบนี้แล้วไฟในใจของเธอก็ยิ่งลุกโชนขึ้นเพราะคิดว่าตัวเองต้องเป็นประโยชน์แก่วาห์นและเฮสเทียแฟมิเลียในอนาคตได้อย่างแน่นอน
เธออาจจะไม่ได้แข็งแกร่งอะไรขนาดนั้น แต่ถ้าเป็นเรื่องเวทมนตร์สนับสนุนล่ะก็สบายหายห่วง
ฮารุฮิเมะกำหมัดเล็กน้อยและพูดด้วยสีหน้ามั่นใจ
“รู้แล้วค่ะว่าตอนนี้ฉันอยากทำหน้าที่อะไร!
ฉันอยากเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านเวทสนับสนุนและเรียนรู้เวทมนตร์ฟื้นฟูกับเสริมพลังเพิ่มเติมค่ะ~!”
วาห์นที่กำลังคิดเรื่องนี้อยู่พอดีก็อดยิ้มออกมาไม่ได้
งานนี้เฮสเทียเองก็แย้งอะไรไม่ได้เช่นกัน เพราะศักยภาพและสกิลของฮารุฮิเมะนั้นเหมาะสมกับหน้าที่นี้จริงๆ
หากฮารุฮิเมะฝึกและพัฒนาตัวเองต่อไปเรื่อยๆ เธอก็จะกลายมาเป็นหนึ่งในสมาชิกอันดับต้นๆ ของแฟมิเลียได้อย่างแน่นอน
วาห์นยื่นมือออกไปลูบหัวของฮารุฮิเมะอย่างเอ็นดูโดยที่เจ้าตัวเองก็ไม่ได้รู้สึกขัดข้องแต่อย่างใด มีแต่เฮสเทียที่แหละดูอึดอัดเล็กน้อย
เธออยากปกป้องวาห์นและพวกเด็กๆ ทุกคนที่จะมาเข้าร่วมแฟมิเลียในอนาคต ดังนั้นเรื่องที่จะผลักไสไล่ส่งฮารุฮิเมะออกไปนั้นคงไม่มีทางเกิดขึ้นแน่นอน
จิ้งจอกสาวไม่ใช่คนแรกที่ทำให้เธอรู้สึกแบบนี้และย่อมไม่ใช่คนสุดท้ายเช่นกัน ทางเดียวที่ทำได้ก็คือลดทิฐิของตัวเองลง ประนีประนอม และอยู่ร่วมกับทุกคนอย่างสงบสุข
หลังจากคิดได้แบบนั้นแล้ว เฮสเทียก็ถอนหายใจและจัดสีหน้าของตัวเองใหม่
“เวทมนตร์ของเธอดูเหลือเชื่อมากเลยนะฮารุฮิเมะ ฉันดีใจที่เราได้เธอมาอยู่ด้วย
เมื้อกี้ฉันแสดงกิริยาไม่เหมาะสมออกไป ต้องขอโทษจริงๆ นะ… ฉันต้องขอโทษนายอีกคนนะวาห์น
ฉันรู้แล้วว่าบางทีตัวเองก็รู้สึกอิจฉาไม่เข้าเรื่องไปหน่อย…”
ฮารุฮิเมะยิ้มกว้างขึ้นก่อนจะโค้งคำนับให้กับเฮสเทีย
“ฉันเองก็ต้องขอโทษที่ทำให้ท่านเฮสเทียลำบากใจนะคะ
ฉันรู้ว่าท่านคงเป็นห่วงวาห์นมาก และขอบอกไว้ก่อนนะคะว่าฉันไม่ได้มีเจตนาจะแย่งเขาไปจากท่านหรือคนอื่นๆ เลย… เรามาร่วมมือกันและสนิทกันไว้จะเป็นการดีที่สุดค่ะ”
ฮารุฮิเมะนั้นพูดจาและใช้ท่าทางที่สุภาพมากแม้ว่าอีกฝ่ายจะกำลังขอโทษเธออยู่ก็ตาม
วาห์นพยักหน้าเล็กน้อยและคิดว่านี่เป็นพฤติกรรมที่น่ายกย่องมาก พอหันไปหาเฮสเทีย เขาก็ยิ้มให้ก่อนจะพูดขึ้นบ้าง
“ถ้าทุกคนดีกันแล้ว ฉันเองก็ไม่มีอะไรจะเสริม
ที่จริงฉันกลัวว่าต่อไปเธอจะงานยุ่งมากจนไม่มีเวลามาสนใจเรื่องแบบนี้หรอกนะเฮสเทีย”
เฮสเทียถอนหายใจแรงๆ ขณะหันข้างมาหาเขาแบบเอาเรื่อง
“กล้ามากนะที่พูดเรื่อง ‘งานยุ่ง’ กับคนอื่น คุณกัปตันควรห่วงตัวเองก่อนที่กว่าไหม~!?
(พึมพำ) ช่วงนี้ก็ไม่มีเวลาอยู่ด้วยกันเลย ยิ่งคิดก็ยิ่งหงุดหงิด…”
ช่วงประโยคหลังนั้นเฮสเทียพูดเสียงเบามากจนแม้แต่วาห์นเองก็ฟังไม่ทัน แต่แน่นอนว่าหูจิ้งจอกของฮารุฮิเมะนั้นไม่ได้มีไว้ประดับหัวเล่นๆ
เธอเดินเข้ามาหาเทพธิดาของตัวเองและกระซิบข้างหูด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“ท่านเฮสเทียคะ เรื่องนี้ฉันอาจพอช่วยได้ค่ะ… จริงอยู่ที่ตัวฉันเองก็มีประสบการณ์ไม่มาก แต่อย่างน้อยก็เคยได้รับการศึกษาเกี่ยวกับ… เรื่องบางเรื่องมาบ้างแล้วนะคะ”
ตาของเฮสเทียพลันเบิกกว้างก่อนจะหันขวับไปหาฮารุฮิเมะและลากเรนาร์ดสาวกลับไปคุยต่อที่ห้องของตัวเองเป็นการด่วน
เพื่อป้องกันไม่ให้วาห์นถามอะไรต่อ เฮสเทียก็ตะโกนข้ามไหล่กลับมา
“ไปใช้เวลาอยู่กับเฟนเรียร์และคนอื่นๆ ซะบ้างไป~!
อีกเดี๋ยวที่นี่คงมีคนแวะมาเพียบเลย ไปบอกและให้พวกเธอเตรียมตัวรับแขกไว้ด้วย นายจะได้ไม่ต้องมาเหนื่อยทีหลัง!”
ขณะที่พวกเธอก้าวเข้าไปในห้องนอนฝั่งตรงข้าม ฮารุฮิเมะก็หันกลับมามองวาห์นด้วยประกายตาที่ทำให้เขารู้สึกยังไงๆ ชอบกล
เขาตัดสินใจทำตาม ‘คำแนะนำ’ ของเฮสเทียและเดินลงไปชั้นล่างจนกระทั่งมาถึงห้องที่พวกเธอใช้เรียนหนังสือกันอยู่
หนึ่งในข้อดีของการจับสัมผัสและออร่าของคนอื่นได้ก็คือการที่เขาไม่ต้องออกตามหาใครสักคนแบบห้องต่อห้องนี่แหละ
วาห์นเห็นว่าเฟนเรียร์นั้นนั่งถัดจากเพรเซียขณะกำลังอ่านหนังสือสำหรับเด็กให้เธอฟังไปด้วย
พวกคู่แฝดเองก็กำลังง่วนอยู่กับการจดจำตัวอักษรต่างๆ จนวาห์นต้องอมยิ้ม
หลังจากเห็นว่าใครเข้ามา มาเอมิก็วางตำราลงขณะยืนขึ้นและโค้งคำนับพร้อมกับเอมิรุ จากนั้นก็ตามมาด้วยการพูดแบบคูณสอง
“มีอะไรให้ช่วยหรือเปล่าคะ นายท่าน” x2
วาห์นยักไหล่และเริ่มอธิบาย
“ไม่ต้องเรียกฉันแบบนั้นหรอก แค่วาห์นเฉยๆ ก็พอแล้ว
เรียกแบบนี้แล้วฉันรู้สึกตื่นเต้นแปลกๆ… เฮ้อ เอาเป็นว่าเรียกกัปตันแทนก็ได้มั้ง?”
สองสาวหันไปสบตากันเองเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้าให้กันและเริ่มพูดใหม่อีกครั้ง
“ท่านวาห์นคะ” x2
แววตาของทั้งคู่ทำให้เขายิ้มแบบปลงๆ ก่อนจะเดินมาหยิบหนังสือภาพเล่มหนึ่งที่อยู่บนโต๊ะแทน
‘สองคนนี้จัดการลำบากแฮะ แถมทำอะไรก็เป็นแบบคูณสองอีก แบบนี้ต้องเหนื่อยสองเท่าเลยสิเรา…’
วาห์นยกหนังสือภาพขึ้นมาดูและเห็นว่าว่ามันเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับวีรบุรุษที่ช่วยเจ้าหญิงให้รอดพ้นจากมังกร (TL: เชร็คมั้ง ^0^)
สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกสนใจก็คือการที่สีผมของตัวเอกนั้นเกือบจะมีสีเดียวกับเส้นผมของเขาเอง (TL: ไม่ใช่เชร็คละ)
“วาห์นอ่านให้เราฟัง!?” เฟนเรียร์รู้สึกตื่นเต้นและถามขึ้นทันที
ก่อนที่เขาจะได้ตอบอะไร เฟนเรียร์ก็ตบไหล่ของเพรเซียซึ่งทำให้เธอยืนขึ้น
วาห์นรู้สึกกังวลกับวิธีสื่อสารของทั้งคู่เล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา
เขาจะเดินไปนั่งที่โซฟาตัวใหญ่พร้อมกับนำหมอนรองนั่ง 4 ใบออกมาวางไว้ด้านหน้าแบบพร้อมสรรพ
เกิดเรื่องเหนือความคาดหมายขึ้นเมื่อเพรเซียลงมานั่งตรงด้านหน้าของวาห์นโดยไม่สนใจหมอนเลยแม้แต่น้อย
‘หืม?’
ก่อนที่เขาจะได้เอ่ยถาม เพรเซียก็ค่อยๆ ยื่นมือออกมาข้างหน้าจนวาห์นต้องรีบลุกขึ้นมาจับมันไว้ด้วยมือซ้าย
“เพรเซีย… เธอไม่จำเป็นต้องทำอะไรแบบนั้นอีกแล้วนะ… เฟนเรียร์ เอมิรุ มาเอมิ…”
ราวกับอ่านใจออกว่าวาห์นต้องการอะไร สองฝาแฝดเดินมาดึงตัวเพรเซียออกเบาๆ และจัดให้เธอนั่งลงกับหมอนแทน
เฟนเรียร์เองก็ไม่ยอมน้อยหน้า เด็กสาวเปลี่ยนมานั่งกอดเพรเซียจากด้านหลังพลางลูบหัวปลอบไปด้วย
“โอ๋ๆ เป็นเด็กดีนะ ไม่ดื้อไม่ซน….”
หลังจากโดนพาตัวออกมา ดวงตาสีเทาซีดของเพรเซียก็ยังคงจับจ้องมาที่วาห์นอย่างเหม่อลอย…
เพราะวาห์นไม่ได้ใช้ [จิตแห่งราชัน] อยู่ในขณะนั้น เขาเลยรู้สึก ‘แย่’ แบบเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์
มันเป็นความรู้สึกวิตกกังวลที่ผสมผสานกับความเกลียดชังขั้นรุนแรงจนเขาต้องกัดฟันแน่น
หากไม่นับตอนที่ไปพบมิลานในสภาพดูไม่ได้แล้ว นี่คงเป็นครั้งที่วาห์นรู้สึกโกรธมากที่สุด
ตอนนี้เขาไม่ได้พยายามระงับหรือใช้สกิลเพื่อหยุดมันไว้แต่อย่างใด วาห์นปล่อยให้อารมณ์แง่ลบของตัวเองโลดแล่นได้อย่างเต็มที่จนพวกสาวๆ เริ่มแสดงสีหน้าเป็นห่วง
เฟนเรียร์ดูเหมือนจะโดนผลกระทบเข้าไปเต็มๆ จนดวงตาเริ่มฉายแสงสีแดงสด แต่เธอก็พยายามหยุดมันไว้โดยเปลี่ยนไปให้ความสนใจกับเพรเซียแทน
แต่พอจะหยุดก็หยุดมันเองไม่ได้ วาห์นจึงเริ่มขยายพลังเขตแดนเพื่อสงบจิตใจลงขณะนั่งพักโดยยกมือขึ้นมาปิดตาทั้งสองข้างเอาไว้
วาห์นในตอนนี้นั้นปรารถนาเพียงอย่างเดียว นั่นก็คือชื่อของปีศาจที่เคยทำร้ายเพรเซีย
เขาอยากให้มันได้ชดใช้ในสิ่งที่ตัวเองทำไว้ และอย่างน้อยๆ เรื่องนี้ก็อาจทำให้อาการของเด็กสาวดีขึ้นมาบ้าง
วาห์นนึกไม่ออกจริงๆ ว่าคนเราสามารถทำเรื่องแบบนี้ลงคอได้ยังไงกัน…
ในขณะที่ตัวเองกำลังหัวเสียแบบสุดๆ เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นท่ามกลางความเงียบ เป็นเสียงพูดที่เขาไม่เคยได้ยินมาก่อน…
วาห์นไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม แต่เสียงนั่นทำให้จิตใจของเขาแจ่มชัดขึ้นเล็กน้อยจนต้องเงี่ยหูฟังต่อไป
ผ่านไปอีกหลายวินาที วาห์นก็ได้ยินเสียงนั่นอีกครั้งก่อนจะเงยดวงตาที่เปียกชื้นขึ้นมามองเด็กสาวตรงหน้า
สามสาวที่เหลือต่างปิดปากเงียบสนิทในขณะที่เพรเซียพูดขึ้นเป็นครั้งแรก
“คุณ… ร้องไห้… เพื่อฉันเหรอ?”