หลังจากที่โลกิหยุดหัวเราะ เธอก็มองดูอีกสองคนกอดกันก่อนจะหาววอดใหญ่และเริ่มคลานออกจากเตียง
วาห์นจูบหน้าผากของเฮสเทียก่อนจะหันไปถาม
“ไม่ค้างที่นี่เหรอ?”
โลกิที่กำลังคลานห่างออกไปเหลียวหลังกลับมาตอบพร้อมส่ายบั้นท้ายไปมา
“ช่วงนี้น่าจะมีคนคอยดูการเคลื่อนไหวของกลุ่มพันธมิตรกับเฮสเทียแฟมิเลียอยู่ตลอดนะ
ถ้าฉันนอนนี่ เราอาจจะเจอปัญหาเพิ่มทีหลัง” โลกิขึ้นมานั่งใส่เสื้อผ้าตรงขอบเตียงโดยเริ่มจากถุงน่องก่อน
วาห์นขมวดคิ้วเล็กน้อยเพราะรู้ว่าอีกฝ่ายพูดถูกต้องแล้ว แต่ก่อนจะได้พูดอะไรออกไป โลกิที่สวมถุงน่องเสร็จก็หันมาพูดต่อ
“ก็อย่างที่เคยบอก ฉันไม่อยากไปเหยียบเท้าเฮเฟสตัสเท่าไหร่หรอกนะ เดี๋ยวอีกสักอาทิตย์สองอาทิตย์ค่อยมาใหม่ละกัน
ตราบใดที่ฉันท้องก่อนเดนาตัส ทุกอย่างก็น่าจะราบรื่น” โลกิพูดพลางใช้มือลูบหน้าท้องด้วยสีหน้าหลงใหล
วาห์นถอนหายใจก่อนจะนำผ้าเช็ดตัวออกมาห่มให้กับเฮสเทียที่นอนสลบไสลไปแล้ว
เทพจอมเจ้าเล่ห์เฝ้ามอง ‘การดูแล’ แบบสุดๆ ของวาห์นสลับกับเฮสเทียด้วยความรู้สึก… อิจฉาเหรอ?
เธอกล้ำกลืนความรู้สึกนั้นทันทีและเริ่มกลับไปใส่เสื้อผ้าต่ออีกครั้ง
เมื่อใส่ชิ้นสุดท้ายเสร็จ โลกิก็หมุนคอไปมาก่อนจะเดินออกไปที่ประตู
เพราะอยู่ห่างออกไปแล้ว เธอจึงไม่ได้ยินเสียงของวาห์นที่เดินตามและเข้ามาคว้าเอวไว้
โลกิหันมามองอย่างสงสัยขณะที่วาห์นพูดขึ้น
“งั้นฉันขอออกไปส่งข้างหน้าก็แล้วกัน…”
วาห์นรู้สึกว่ามันไม่ถูกต้องเลยที่ปล่อยให้เธอกลับไปคนเดียวแบบนี้
โลกิหัวเราะเบาๆ พร้อมยกมือของตัวเองขึ้นมาซ้อนทับอีกที
เมื่อเดินมาถึงห้องโถง เธอก็แงะนิ้วของวาห์นออกก่อนจะหันมาจ้องตรงๆ
ทั้งคู่นั้นไม่จำเป็นต้องก้มหรือเงยหน้าแต่อย่างใดเพราะมีความสูงไล่เลี่ยกัน
จู่ๆ วาห์นก็เอื้อมมือไปสัมผัสกับแผ่นหลังของโลกิ ก่อนจะเข้ามาแนบชิดและจูบที่ริมฝีปาก
นี่ไม่ใช่การจูบอันเร่าร้อนแบบในห้องนอน แต่วาห์นรู้สึกว่ามันเป็นจูบที่มีความหมายยิ่งกว่านั้นอีก
พอเริ่มคิดว่าจะแกล้งอีกฝ่ายยังไงดี เขาก็โดนลวนลามเข้าที่บั้นท้ายเสียก่อน สุดท้ายก็เลยได้แต่หัวเราะเบาๆ ผ่านจมูก
แต่แน่นอนว่ามันยังไม่จบง่ายๆ แค่นี้หรอก
วาห์นลดมือทั้งลงไปช้อนบั้นท้ายและยกโลกิขึ้นจากพื้นเพื่อเป็นการเอาคืน
หลายอึดใจต่อมา เขาก็วางเธอลงพร้อมกับที่อีกฝ่ายใช้มือผลักเบาๆ ตรงแผงอก
ก่อนที่เธอจะออกไปพบกับอากาศหนาวเย็นด้านนอก วาห์นก็ยื่นผ้าคลุมอุ่นๆ ให้ แม้จะรู้ว่าเธอสามารถใช้พลังเพื่อต้านทานสภาพอากาศได้
โลกิสวมมันด้วยรอยยิ้มแฉ่งก่อนจะพูดขึ้น
“ครั้งหน้าขอเป็นแบบสองต่อสองละกัน อาจะมีไวน์สักนิด แล้วก็บรรยากาศอบอุ่นสักหน่อย~!
ฉันให้นายเป็นคนจัดการก็แล้วกัน อย่าลืมทำให้มันน่าสนใจด้วยล่ะ”
โลกิหรี่ตามองวาห์นเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะเปิดประตูและเดินออกไปสู่ความมืดด้านนอก
วาห์นถอนหายใจพลางส่ายหัวเพราะรู้สึกว่าตัวเองไม่เคยอ่านผู้หญิงคนนี้ออกเลย
เรื่องที่ผ่านมาทำให้เธอดูน่าเชื่อถือ แต่นิสัยชอบหลอกลวงนั่น… แม้แต่เจ้าตัวก็ยังไม่รู้ว่ามันจะโผล่หัวออกมาเมื่อไหร่
เรื่องจริงกับเรื่องโกหกนั้นคือสองสิ่งที่ผสมปนเปอยู่กับโลกิมาตั้งแต่แรกเริ่ม แต่เขาก็เชื่อว่าเธอคงไม่คิดที่จะทรยศหรอก
นั่นคือสิ่งที่วาห์นเห็นจาก [ความปรารถนาของหัวใจ] ของเธอ
ถึงจะถูกพลังศักดิ์สิทธิ์บังคับให้หลอกคนอื่น เขาก็ยังเชื่อว่าเธอไม่มีทางหลอกความปรารถนาที่แท้จริงของตัวเองแน่นอน
วาห์นสรุปได้ว่าคงทำอะไรมากไปกว่านี้ไม่ได้แล้วนอกจากระวังตัวเรื่อยๆ จากนั้นเขาก็เริ่มคิดเรื่องการพบกับโลกิในครั้งถัดไป…
เฮสเทียนั้นยังไม่ได้สติเหมือนเดิม ตอนนี้เธอกำลังอยู่ในสภาพหลับลึกขณะยิ้มอย่างมีความสุขและกอดหมอนที่อยู่ข้างๆ
แต่ทันทีที่เขาลงไปนอนด้วย เธอก็ยังอุตส่าห์ละเมอปีนขึ้นมาอยู่บนตัวในสภาพเปลือยเปล่าได้อีก
นี่ไม่รู้จริงๆ ว่าอีกฝ่ายหลับอยู่หรือแกล้งหลับกันแน่!?
หลังจากได้ทึ่งไปกับร่างกายที่เบาและนุ่มนิ่มของอีกฝ่าย วาห์นก็นำผ้าห่มขึ้นมาคลุมและหลับตาลงเช่นกัน…
—
เช้าวันถัดมา วาห์นตื่นขึ้นด้วยอาการงัวเงียเล็กน้อย ก่อนจะหันมาสบกับดวงตาสีฟ้าเปล่งประกายที่รออยู่ด้านหน้า
เฮสเทียเคลื่อนตัวเข้ามาประคองใบหน้าและจูบตรงริมฝีฝากก่อนที่เขาจะได้บอก ‘อรุณสวัสดิ์’ เสียอีก
วาห์นจับเอวบางแบบหลวมๆ ขณะที่ทั้งสองอยู่ต่อไปแบบนั้นเป็นเวลาหลายนาที จนกระทั่งเฮสเทียถอนปากออกไปเอง
“วาห์น ฉันรักๆๆ นายมากเลยย~”
นั่นเป็นคำพูดตื่นเต้นที่ทำให้เขายิ้มตามไปด้วย
“ฉันก็รักเธอนะเฮสเทีย ขอบคุณ…”
เฮสเทียคว้าศีรษะของเขาเข้ามากอดไว้ในอ้อมอกขณะที่ยังกรี๊ดไม่เลิก
วาห์นกะจะรอต่ออีกพักหนึ่งแต่แล้วก็ต้องเป็นฝ่ายพูดออกมาก่อน
“เดี๋ยวเราคงต้องไปอาบน้ำกันก่อนนะ
ฉันน่ะไม่ค่อยถือหรอก แต่แค่อายนิดๆ เวลาคนอื่นมองมาแบบแปลกๆ…”
ถึงจะไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ด้วย แต่เฮสเทียก็ทราบเรื่องมาบ้างแล้วและรู้สึกอับอายเช่นกัน
หลังจากนอนเล่นกันต่ออีกหน่อย ทั้งสองก็มุ่งหน้าไปที่ห้องอาบน้ำโดยเลือกใช้บ่อเดียวกัน
เฮสเทียสะดุ้งโหยงเมื่อร่างกายส่วนล่างต้องเจอกับน้ำร้อนๆ ทว่าเธอก็ยังส่ายหัวปฏิเสธการรักษาจากวาห์นเหมือนเดิม
ถึงจะไม่ได้เกรี้ยวกราดแบบเมื่อคืน แต่น้ำเสียงของเธอนั้นฟังดูจริงจังมาก
“ฉันอยากสัมผัสกับทุกๆ อย่างเลย… มันทำให้ฉันรู้สึกเหมือนเป็นผู้หญิงธรรมดาที่อุทิศทุกอย่างให้กับคนรัก…”
จากนั้นวาห์นก็ช่วยชำระล้างร่างกายของเธอท่ามกลางบรรยากาศสีชมพู
เฮสเทียไม่ได้มีท่าทางเกาะแกะแบบตอนก่อนๆ แล้วและเอาแต่เพลิดเพลินไปกับความเอาใจใส่ระดับพรีเมี่ยม
พออาบกันเสร็จ เธอก็กลับไปที่ห้องเพื่อนอนต่อ ส่วนวาห์นนั้นเดินไปที่ลานฝึกหลังคฤหาสน์
มิลานกับทีน่านั้นมาถึงลานฝึกก่อนแล้ว แต่หลังจากนี้พวกเธอจะต้องเดินทางกลับไปที่ ‘เจ้าของร้านผู้เพรียบพร้อม’ โดยมีริวและฟาฟเนียร์เป็นคนคอยคุ้มกัน
ทั้งสองยังมีห้องอยู่ในหอพักหญิงของร้านและมักจะทำงานในช่วงกะบ่ายเป็นประจำ
ที่จริงมิลานกับทีน่าไม่ต้องกลับไปทำงานที่นั่นแล้วก็ได้ แต่บางครั้งมันก็ทำให้ทั้งสองหยุดคิดเรื่องฟุ้งซ่านต่างๆ แถมบรรยากาศของร้านก็เป็นกันเองมากเลย สุดท้ายวาห์นจึงปล่อยให้พวกเธอทำตามใจชอบไปก่อน
หากไม่นับซีล ทุกคนที่อยู่ที่นั่นล้วนมีเลเวลตั้งแต่ 3 จนถึง 6 แถมก็ยังมีลูกค้าประจำส่วนใหญ่ที่ดูน่าเชื่อถือและพร้อมยื่นมือเข้าช่วยตลอด
เนื่องจากวาห์นไม่ต้องฝึกตามเมนูที่ริวเป็นคนจัดการ เขาเลยออกมาอยู่ด้านข้างและเริ่มฝึกในแบบของตัวเอง
จุดประสงค์ของการฝึกนั้นคือการพัฒนาและปรับปรุงสกิลต่างๆ รวมไปถึงเวทมนตร์และทักษะติดตัว เนื่องจากการเพิ่มค่าสถานะโดยปราศจากเอ็กซีเลียนั้นเป็นเรื่องที่ยากมาก
(TL: เตือนความจำ – จะคิดว่าเอ็กซีเลียคือค่าประสบการณ์หรือ Exp ที่ได้จากมอนสเตอร์ก็ได้ครับ)
มันยังเป็นโอกาศดีที่จะได้ฝึกสู้กับคนอื่นและพัฒนาประสาทการรับรู้ต่างๆ ไปด้วย
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนเลยก็คือมิโคโตะที่กำลังฝึกอยู่ด้านข้างคนเดียว
เธอมักจะถือดาบคาตานะในท่าร่างที่ดูมั่นคงขณะปรับลมหายใจและเข้าสู่สมาธิขั้นสูง
ทันทีที่รู้สึกว่าสมาธิขึ้นสู่จุดสูงสุด เธอก็จะโจมตีออกมาอย่างรวดเร็วและผ่าเสาไม้ที่อยู่ด้านหน้าออกเป็นสองเสี่ยง
วาห์นคิดว่ามันเป็นวิชาที่ได้ผลลัพธ์น่าทึ่งมาก แต่กว่ามิโคโตะจะทำสมาธิได้ก็กินเวลานาน แถมบ้างครั้งสมาธิของเธอก็ดันมาแตกเอาตอนโจมตีอีก
ดูแล้วเธอน่าจะฝึกแบบนี้มานานมากๆ แต่ทำไมถึงยังเกิด ‘ความลังเล’ ตอนตวัดดาบอยู่อีกล่ะ?
วาห์นเริ่มนึกอยากจะพัฒนาวิชาดาบของตัวเองขึ้นมานิดๆ หลังจากดูเธอฝึกอยู่นานสองนาน
ถึงจะไม่มีเทคนิคหรือวิธีทำสมาธิแบบมิโคโตะ แต่สกิล [นักดาบ] ของวาห์นก็อยู่ในระดับ A และสามารถนำไปปรับใช้ในการต่อสู้จริงได้
เพราะใช้สัญชาตญาณบวกกับสกิลแฝงมาตลอด วาห์นเลยไม่มีเพลงดาบประจำตัวอยู่เลย
ส่วนการฝึกของสึบากินั้นก็เน้นหนักไปที่เรื่อง ‘ปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์’ หรือก็คือไปเสริมไอ้ที่พูดมาเมื่อกี้นั่นแหละ
การพัฒนาวิชาดาบนั้นจำเป็นต้องใช้พรสวรรค์เป็นอย่างมาก แต่ไม่ใช่ว่ามันจะไม่มีข้อเสีย
ในกรณีที่ต้องสู้กับศัตรูบางประเภท วิชาดาบอาจทำให้การต่อสู้ดูไม่ลื่นไหลเท่าที่ควร
วาห์นอยากให้มิโคโตะฝึกโดยการต่อสู้จริงมากกว่าการฝึกด้วย ‘ทฤษฎี’ แบบนี้ เพราะนอกจากจะมีช่องโหว่แล้วการโจมตีของเธอก็ดูอ่านออกได้ง่ายมาก
อาจเป็นการเทียบแบบไม่ยุติธรรมนัก แต่วาห์นมองว่าการรำดาบของสึบากินั้นคือ ‘คลื่นที่โหมกระหน่ำเรื่อยๆ’ ส่วนของมิโคโตะคือ ‘ความแม่นยำที่ปราศจากความยืดหยุ่น’
ต้องไม่ลืมว่าสึบากินั้นเป็นนักผจญภัยเลเวล 5 ที่มากด้วยประสบการณ์ ในขณะที่มิโคโตะเป็นแค่นักผจญภัยเลเวล 2 อายุน้อย
ร่างกายในวัย 14 ปีคงจะเอาไปเทียบกับร่างกายวัย 36 ปีไม่ได้… แต่เดี๋ยวก่อนสิ
เพราะทีโอน่า ทีโอเน่ และไอส์นั้นแข็งแกร่งกว่ามิโคโตะมาก วาห์นเลยต้องคิดเรื่องนี้ใหม่และสรุปออกมาว่า ‘อายุ’ นั้นไม่เกี่ยวข้องกับ ‘ความแข็งแกร่ง’
หลังจากมองต่ออีกหน่อย วาห์นก็ดึงคาตานะเล่มใหญ่ที่เคยซื้อไว้นานแล้วออกมา
เพราะมีพลังโจมตีที่ต่ำมาก เขาจึงไม่เคยนำมันออกมาใช้สู้จริงเลยสักครั้ง
หากเพ่งสมาธิแบบจริงจัง เขาก็จะมองเห็นมวลกล้ามเนื้อที่มิโคโตะใช้ได้อย่างชัดเจน การเลียนแบบท่าร่างจึงไม่ใช่เรื่องที่ยากเกินความสามารถ
จากนั้นเขาก็ลองเลียนแบบการหายใจและพบว่ามันช่วยทำให้จิตใจสงบขึ้นได้จริงๆ
วาห์นพยายามเลียนแบบต่อไปอีกและพบว่ามีบางจุดที่ควรได้รับการแก้ไข
อย่างแรกเลยก็คือนี่เป็นท่าที่ไม่รองรับการเคลื่อนไหวไปด้านข้าง เพราะเขาต้องทิ้งน้ำหนักลงไปที่เท้าซ้าย ส่วนเท้าขวาที่อยู่ด้านหลังจะทำหน้าที่เป็นแกนหมุน
นี่เป็นท่าที่ควรนำมาใช้สู้กับนักดาบด้วยกัน แต่ไม่เหมาะกับการต่อสู้แบบอื่นๆ เลย
นั่นนำมันมาสู่จุดอ่อนที่สอง ซึ่งก็คือไม่เหมาะที่จะใช้โจมตีก่อน แต่จะออกไปทางแนวโจมตีสวนกลับซะมากกว่า
จริงอยู่ที่เพลงดาบนี้มีพลังโจมตีที่รุนแรงมาก แต่ถ้าไม่เปลี่ยนตำแหน่งของเท้าเสียก่อน เขาก็จะโจมตีต่อเนื่องไม่ได้เลย
หากคู่ต่อสู้มีความเร็วมากกว่า การเคลื่อนไหวนี้ก็จะเป็นช่องโหว่ที่สามารถตัดสินแพ้ชนะได้ทันที
ตอนแรกวาห์นก็ไม่ได้สังเกต แต่เขาเพิ่งจะรู้ตัวว่ามิโคโตะนั้นเก็บดาบเข้าฝักไปแล้วและกำลังเฝ้ามองมาทางนี้ด้วยสีหน้าจริงจัง
วาห์นเริ่มหายใจช้าๆ หลายครั้ง แต่แทนที่จะใช้สองมือถือคาตานะไว้ด้านหน้า เขากลับใช้ท่าร่างแบบหลวมๆ ขณะลดปลายดาบลงจนเกือบติดพื้น
เขาเปลี่ยนการทิ้งน้ำหนักของเท้าข้างใดข้างหนึ่งไปเป็นแบบเฉลี่ยให้เท่ากันแทน
ด้วยการเอียงตัวเล็กน้อย วาห์นสามารถเปลี่ยนให้เท้าข้างใดเป็นแกนหมุนแทนก็ได้ และหลังจากทำจนคล่องแล้ว เขาก็เคลื่อนที่เข้าไปหาเสาไม้ต้นหนึ่ง
เพราะวาห์นพุ่งแบบ ‘ตัวไปก่อนดาบ’ มันก็เลยดูเหมือนมีช่องว่างเต็มไปหมด แต่ในกรณีนี้ เขาสามารถเปลี่ยนทิศทางเมื่อไหร่ก็ได้หากจำเป็น
วาห์นปรับน้ำหนักอีกครั้งโดยพิงตัวไปกับไหล่ในขณะที่มีตัวดาบตามมาติดๆ
เขาปล่อยให้ปลายดาบขยับอย่างเป็นธรรมชาติอยู่ในมือขวา ก่อนจะนำมันออกมาข้างหน้าโดยทำมุมกับพื้น
วาห์นใช้หัวไหล่เป็นตัวควบคุมแรงหมุนขณะวาดมันออกไปด้านหน้า
แรงจากหัวไหล่พุ่งผ่านต้นแขน ข้อศอก ไปจนถึงข้อมือที่รออยู่ และเป็นจังหวะเดียวกับที่เสาไม้ถูกผ่าออกเป็นสองซีก
หลังจากเก็บดาบกลับเข้าช่้องเก็บของ วาห์นก็พยักหน้าไปทางมิโคโตะและพูดเรียบๆ
“การโจมตีควรจะไล่ลื่นเหมือนน้ำหรือไม่ก็เป็นอิสระเหมือนกับสายลม
ถ้าเน้นฝึกการเคลื่อนไหวแบบเดิมๆ ตลอด เธอก็จะไม่สามารถปรับตัวตามศัตรูที่เร็วกว่าหรือแข็งแกร่งกว่าได้ทัน
ในดันเจี้ยนยังมีมอนสเตอร์อีกหลายชนิดที่มีความทนทานและพลังกำลังมหาศาล
พวกมันคงไม่รอให้เธอปรับตัวได้ก่อนหรือใช้วิชาจนครบกระบวนท่าหรอก…”
มิโคโตะโค้งต่ำทันทีที่วาห์นพูดจบ
“ขอบคุณสำหรับคำชี้แนะค่ะ!”
ท่าทางจริงจังนั้นทำให้วาหน์ส่ายหัวและพูดต่อ
“ดาบจะเคลื่อนไหวไม่ได้หากไม่มีนักดาบ
ถ้านักดาบเถรตรงจนเกินไป ความเถรตรงนั่นก็จะส่งผลกับเพลงดาบที่ใช้ด้วย…”
วาห์นสูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะนำดาบออกมาชูขึ้นฟ้าราวกับไม่ได้จดจ่อเรื่องอะไรเป็นพิเศษ
เขาปรับน้ำหนักอย่างรวดเร็วก่อนจะเริ่มใช้ [เคลื่อนย้ายในพริบตา] และหายไปจากตรงนั้น
มิโคโตะมองการเคลื่อนไหวของวาห์นด้วยสีหน้าตื่นๆ ขณะที่คนอื่นเองก็เริ่มมองมาทางนี้แล้ว
หลังจากที่วาห์นโจมตีออกไปอีก 8 ครั้ง เขาก็เก็บดาบก่อนจะหันไปมองทุกคนแบบยิ้มๆ
เขาเริ่มลงไปนั่งสมาธิอย่างสงบ ทั้งๆ ที่ในใจกลับรู้สึกดีมากที่ได้โชว์ความเทพออกมาให้ทุกคนได้เห็น… นานๆ ทีก็ขอสักทีละกัน
การโจมตีของวาห์นนั้นดูน่าประทับใจจริงๆ ทว่าสิ่งที่มิโคโตะติดใจมากที่สุดกลับเป็นเสาไม้ที่วาห์นโจมตีเมื่อกี้นี้
ดูผิวเผินมันก็ยังอยู่ดี แต่พอมิโคโตะเอามือไปแตะ… มันก็ขาดออกทันที
หากเทียบกับการโจมตีของเธอซึ่งมีรอยตัดที่ใหญ่และไม่เรียบเนียนเท่า รอยตัดของวาห์นนั้นดูแม่นยำและไร้ความ ‘ลังเล’ ใดๆ ทั้งสิ้น
มิโคโตะไม่เคยวัดพลังกับวาห์นมาก่อน แต่ตอนนี้เธอก็รู้แล้วว่าอีกฝ่ายนั้นยังมีทักษะ วิชา และสมาธิที่เหนือกว่าตนเองอยู่หลายขุม
เรื่องที่แย่ที่สุดก็คือ มิโคโตะตามการเคลื่อนไหวและท่าทางของวาห์นได้ทัน… อย่างน้อยก็ก่อนที่เขาจะเริ่มใช้วิชา ‘หายตัว’ น่ะนะ
นั่นหมายความว่าการโจมตีในช่วงแรกของวาห์นนั้นไม่ได้ของที่อยู่เหนือความสามารถหรือค่าสถานะของเธอเลย… จะทำตามก็ทำได้ แต่ทำไมเธอถึงไม่เคยคิดพัฒนาหรือปรับปรุงมันมาก่อนเลยล่ะ?