หลังจากมาถึงห้องสมุด วาห์นก็ปีนบันไดไม้ขึ้นไปบนชั้นวางหนังสือและเอื้อมไปหยิบเล่มที่อยู่สูงที่สุด
ที่จริงวาห์นจะเก็บหนังสือเข้าช่องเก็บของและอ่านมันผ่านระบบก็ได้ แต่เขาชอบวิธีอ่านแบบดั้งเดิมมากกว่า เว้นแต่ว่ามันจะเป็นหนังสือเรียน
หนังสือที่เขาเลือกออกมานั้นดูเหมือนจะเป็นนิยายรักที่เหล่าสตรีชอบอ่านกัน
วาห์นเหน็บมันไว้ที่แขนก่อนจะปีนบันไดลงมาและหาที่นั่งที่สบายที่สุด
หนังสือเล่มนี้มีชื่อว่า ‘ห้วงฝันใต้แสงจันทร์’ แต่งโดย ‘เวนทัส วาลิม’
ตัวหนังสืออยู่ในสภาพใหม่แกะกล่องเพราะเพิ่งถูกสร้างผ่านระบบเมื่อไม่นานมานี้เอง ดูๆ ไปก็ไม่เข้ากับรูปเล่มและตัวหนังสือที่เก่าแก่ของมันเลยแม้แต่น้อย
วาห์นสามารถอ่านเขียนได้ทุกภาษา ดังนั้นตัวหนังสือแปลกๆ นี่จึงไม่ใช่อุปสรรคแต่อย่างใด
2-3 ชั่วโมงต่อมา เขาก็ยังคงพลิกสู่หน้าต่อไปและอ่านมันด้วยความสนใจ…
นี่เป็นเรื่องราวของหญิงสาวผู้มีนามว่าแองเจลิก้า
บิดาของแองเจลิก้านั้นได้หมั้นหมายเธอไว้กับสมาชิกของตระกูลคู่อริที่แข่งขันห้ำหั่นกันมานาน
ช่วงหลังมานี้ทั้งสองตระกูลรู้สึกเบื่อหน่ายกับการต่อสู้และพยายามหาทางประนีประนอมด้วยการแต่งงาน
วิธีนี้จะทำให้ความสัมพันธ์ของพวกเขาแน่นแฟ้นยิ่งขึ้นและเปิดโอกาสใหม่ๆ ในอนาคต เช่นการหันไปไล่บี้ตระกูลอื่นในละแวกเดียวกันแทน
แองเจลิก้ารู้สึกท้อไปกับโชคชะตาของตัวเอง ไม่ใช่เพราะต้องแต่งเข้าตระกูลดังกล่าว แต่เป็นเพราะเธอหลงรักชายหนุ่มผู้เป็นน้องของคู่หมั้นตัวเอง
ทั้งสองเคยแอบพบกันหลายครั้งแล้วและให้สาบานกันไว้ว่าสักวันจะหนีตามกันไปอยู่ดินแดนอันห่างไกล ห่างจากอิทธิพลและความขัดแย้งของตระกูล
แต่ตอนนี้เธอกลับต้องมาแต่งงานกับทายาทผู้ที่ใครๆ ก็ลือกันว่าเป็นคนโหดร้าย ทารุณ แถมยังชอบจับสาวชาวบ้านมาปู้ยี่ปู้ยำ
พอชายหนุ่มคนรักพยายามขัดขวางการแต่งงานครั้งนี้ เขาก็ถูกบิดาลงโทษอย่างหนักในฐานะผผู้ที่ขัดความเจริญของตระกูล
ด้วยความรู้สึกจนตรอก ชายหนุ่มได้สารภาพออกมาว่าตัวเองนั้นมีใจให้แองเจลิก้า
ทว่าสุดท้ายเขาก็ถูกจับขังคุกใต้ดินจนกว่าวันวิวาห์จะผ่านพ้นไป
ส่วนพี่ชายคนโตนั้น ด้วยนิสัยโหดร้ายเป็นทุนเดิม เขายิ่งรู้สึกสนใจการแต่งงานครั้งนี้มากกว่าแต่ก่อน มากจนถึงขั้นอดไม่ได้ ต้องลงมาพูดจาเสียดสีเยาะเย้ยใส่น้องชายหลายต่อหลายหน
เขายังไปพูดกับแองเจลิก้าว่าหากไม่ยอมแต่งงานด้วย เขาก็จะไม่มีทางปล่อย ‘คนรักเก่า’ ของเธอให้เป็นอิสระเด็ดขาด
ในฐานะผู้นำตระกูลคนถัดไป ทายามหนุ่มย่อมมีอำนาจเหนือน้องชายที่เป็นเพียงบุตรคนที่ 5 อยู่แล้ว
ถึงจะรู้สึกเศร้ามากแค่ไหน แองเจลิก้าก็ตกลงปลงใจยอมแต่งงานกับปีศาจในคราบมนุษย์เพื่อช่วยเหลือคนรัก
ต่อให้ต้องทนทุกข์จากน้ำมือของสามี แต่ถ้าคนรักอยู่รอดปลอดภัย เธอก็ดีใจแล้ว
—
หลายสัปดาห์ที่ต้องทนอยู่กับคู่หมั้นผู้โหดร้าย แองเจลิก้าพยายามแข็งขืนมาตลอดจนกระทั่งอีกฝ่านทนไม่ไหวและพยายามขืนใจเธอ
การใช้น้ำตาและกำลังเข้าต่อต้านนั้นไม่เป็นผล สุดท้ายเขาก็ขู่ให้เธอเงียบและพรากเอาความบริสุทธิ์ของเธอไป
ความหวังเพียงหนึ่งเดียวที่หลงเหลืออยู่ในใจก็คือการเห็นคนรักได้รับอิสระหลังจบพิธีแต่งงาน
เรื่องราวยิ่งดูเลวร้ายเมื่อย่างเข้ายามราตรี คู่หมั้นหนุ่มพยายามบังคับให้เธอทำเรื่องไร้ยางอายหลายต่อหลายอย่าง
ในแต่ละครั้ง เขาก็จะใช้คำคู่แบบเดิมๆ เพื่อให้เธอสมยอม
เพราะเสียความบริสุทธิ์ไปก่อนหน้านี้แล้ว แองเจลิก้าจึงยอมทำตามโดยให้ชายหนุ่มสาบานว่าเขาจะต้องปฏิบัติกับน้องชายอย่างดี
ชายหนุ่มให้สัญญาว่าน้องชายจะปลอดภัย ตราบเท่าที่เธอยังคงเชื่อฟังเขาทุกอย่าง
แองเจลิก้ากล้ำกลืนความปวดร้าวไว้ข้างในและยอมฉีกศักด์ศรีของตัวเองทิ้งเพื่อคนรัก
เมื่อถึงวันวิวาห์ แองเจลิก้าก็เข้าพิธีแต่งงานพร้อมรอยยิ้มปลอมๆ ที่แปะอยู่บนใบหน้า
เธอเห็นว่าแขกที่มาร่วมงานในวันนั้นต่างมีรอยยิ้มแบบเดียวกับตัวเองไม่เว้นแม้กระทั่งครอบครัวของเธอ
พวกเขาไม่ใช่ว่าจะไม่รู้เรื่องที่เธอต้องทนทุกข์ แต่ทุกอย่างก็เพื่อสนธิสัญญาที่ยังคงค้ำคออยู่
มารดาของแองเจลิก้าได้แอบมอบขวดใส่เม็ดยาให้เธอ 2 กระปุก
ขวดแรกคือยาปลุกอารมณ์ ส่วนขวดที่สองนั้นก็คือยาแก้ปวด
พวกเขาต่างรู้ดีว่าทายาทหนุ่มเป็นคนแบบไหน และรู้ด้วยว่าต่อไปบุตรสาวคงต้องใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก
พิธีแต่งงานล่วงเลยมาถึงช่วงกลางคืน แองเจลิก้านั้นอยู่ในอ้อมแขนของสามีโดยมีเหล่าสมาชิกครอบครัวทั้งสองฝั่งคอยร้องเชียร์ก่อนที่เขาจะพาเธอเข้าสู่เรือนหอ
พอได้อยู่กันตามลำพังแล้ว แองเจลิก้าก็ร้องขอให้ปล่อยคนรักเก่าของเธอไป ทว่าชายหนุ่มกลับแสยะยิ้มขณะจับเธอกดลงกับเตียง
เขาตอบกลับไปว่าจะทำตามเงื่อนไขก็ต่อเมื่อพ้นคืนนี้ไปแล้วเท่านั้น
เป็นเรื่องปกติที่สามีและภรรยาจะต้อง ‘อยู่ด้วยกัน’ ในคืนวันแต่งงานในขณะที่สมาชิกตระกูลคนอื่นๆ ดื่มฉลองร่วมกัน
เป็นอีกครั้งที่แองเจลิก้าต้องยอมทำตามและคอย ‘บริการ’ ให้สามีใหม่จนถึงเช้า
เมื่อยามเช้ามาถึง แองเจลิก้าก็ไม่เหลือทั้งแรงกายและแรงใจเพราะสามีนั้นหนักมือกับเธอมาก
เพราะรู้ว่าเธอต้องพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้เขาพอใจ ชายหนุ่มจึงบังคับเธอสารพัดและลงโทษทุกครั้งที่เธอทำผิดพลาด
ยิ่งเขาลงโทษ เธอก็ยิ่งทำผิดพลาดได้ง่ายขึ้น สถานการณ์ของเธอจึงไม่ค่อยสู้ดีเท่าไหร่นัก
ตอนนี้ร่างกายของแองเจลิก้าเต็มไปด้วยบาดแผลฟกช้ำมากมาย นี่เป็นเครื่องบ่งชี้ว่าโชคชะตานั้นโหดร้ายกับเธอมากแค่ไหน
แองเจลิก้าถอนหายใจเมื่อเห็นแสงตะวันลอดผ่านเข้ามาทางหน้าต่างและพยายามขอร้องสามีอีกครั้ง
ปีศาจร้ายยิ้มตอบก่อนจะส่งคนรับใช้ให้ไปนำตัวน้องชายมาที่ห้อง
แองเจลิก้าที่แม้จะเหนื่อยล้าจนใจแทบขาดกลับรู้สึกมีชีวิตชีวาขึ้นมาทันทีที่จะได้เห็นคนรักอีกครั้งหลังจากต้องแยกจากกันมานาน
เธอยกตัวขึ้นจากเตียงในขณะที่สามีหัวเราะอย่างบ้าคลั่งจากด้านข้าง
ก่อนจะเข้าใจว่าเสียงหัวเราะนั่นหมายถึงอะไร เขาก็ตบเข้าที่บั้นท้ายอย่างแรกจนใบหน้าของเธอฟุบลงกับเตียงอีกครั้ง
ชายหนุ่มจับแองเจลิก้าจากด้านหลังและเริ่มขืนใจเธอต่อ ทั้งๆ ที่คนรับใช้เดินกลับเข้ามาแล้วพร้อมกับโถใบหนึ่ง
—————
ผลงาน.ถูกขโมยมาจาก: EP:IC Translation และ Thai Novel : https://bit.ly/34ApcTP
—————
แองเจลิก้าไม่เข้าใจความหมายของโถใบนั้นจนกระทั่ง ‘สามี’ เริ่มอธิบายให้ฟังว่าผู้เป็นน้องได้เสียชีวิตไปไม่นานหลังจากที่ถูกคุมขัง ส่วนสาเหตุก็คือโรคปวดบวมและทนพิษแผลไม่ไหว
ตลอดเวลาที่เธอต้องตกเป็นทาสและพยายามเอาอกเอาใจปีศาจร้าย… เลือดและน้ำตาทุกหยดกลับหมดไปกับความพยายามที่จะช่วยปลอดปล่อยชายหนุ่มที่จากไปแล้ว…
เจ้าปีศาจโบกมือไปทางคนรับใช้อีกครั้ง นั่นเป็นสัญญาณให้เด็กหนุ่มเทอัฐิลงกับพื้นและทำให้มันไปกองอยู่ตรงหน้าแองเจลิก้าพอดี
หญิงสาวได้แต่มองเถ้ากระดูกด้วยสีหน้าว่างเปล่าขณะปล่อยให้ตัวเองถูกสิ่งที่เรียกว่า ‘สามี’ กระทำชำเราต่อไปเรื่อยๆ…
—
วาห์นรีบปิดหนังสือเสียงดังก่อนจะเปลี่ยนมันเป็นขี้เถ้าและโปรยส่วนที่เหลือออกไปนอกหน้าต่างทันที
เขาทนอ่านมันต่อไปเรื่อยๆ โดยเชื่อว่าทุกอย่างจะต้องดีขึ้น ว่าคนรักของเธอจะได้รับอิสระและทั้งสองอาจได้อยู่ด้วยกันอีกครั้งเพราะโชคชะตารู้สึกเห็นใจ
แต่ยิ่งอ่านไปไกลเท่าไหร่ สำหรับแองเจลิก้านั้นทุกอย่างกลับดูแย่ลงเรื่อยๆ
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่วาห์นอ่านอะไรเศร้าๆ แบบนี้ แต่เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกปวดใจแทนหญิงสาวคนนั้น แถมเป็นหญิงสาวที่ไม่มีอยู่จริงด้วยซ้ำ
“เห้อ…”
วาห์นกลับไปนั่งโซฟาตามเดิมพลางมองขึ้นไปข้างบนและตั้งคำถามในใจว่าตัวเองรู้สึกเห็นใจคนอื่นมากเกินไปหรือเปล่า
เพราะได้มาอยู่ในเรคคอร์ดที่เคยเป็นแค่มังงะมาก่อน ตามทฤษฎีแล้ว วาห์นเชื่อว่าการเดินทางไปยังเรคคอร์ดของแองเจลิก้านั้นมีความเป็นไปได้สูง แต่อีกใจหนึ่ง วาห์นกลับพบว่ามันฟังดูไม่สมเหตุสมผลที่เขาจะต้องออกไปไล่ช่วยทุกคนเพียงเพราะมาอ่านเจอเรื่องเศร้าในนิยาย
การเดินทางของเขาคงไม่มีวันจบลงแน่นอนหากต้องไปแวะเวียนเปลี่ยนโชคชะตาและพยายามทำให้ทุกคนมีความสุข
ทุกเรคคอร์ดที่เขาเดินทางผ่านนั้น แต่ละชีวิตก็จะมีเรื่องราวเป็นของตัวเอง เรื่องเศร้าอีกมากมาย และรวมไปถึงโชคชะตาที่เขาสามารถเปลี่ยนมันได้ตามการกระทำ… ทุกอย่างมันมากเกินไป
“เห้อออ…”
วาห์นถอนหายใจออกมาเป็นครั้งที่สองและพยายามหยุดคิดเรื่องในหนังสือ
ตอนนี้เขาได้เข้ามาพัวพันกับอีกหลายชีวิตและแปรเปลี่ยนโชคชะตาต่างๆ ไปหมดแล้ว
หากไม่สามารถรับประกันความสุขของตัวเองและของคนรอบตัวได้ เขาจะยังมีหน้าไปเปลี่ยนชะตาของของอื่นได้อีกเหรอ? โดยเฉพาะคนที่ในขณะนี้ยังไม่มีอยู่จริง…
หากเลือกไปที่เรคคอร์ดังกล่าว เขาก็จะทำให้มันกลายเป็นความจริงขึ้นมา
ส่วนคนที่ต้องทนทุกข์แน่นอนว่าไม่ได้มีเพียงแองเจลิก้าเท่านั้น ยังมีโลกอีกทั้งใบและคนนับล้านหรือพันล้านที่ต้องการความช่วยเหลืออยู่อีก
วาห์นปิดตาลงเพื่อสงบจิตใจขณะปล่อยให้สัมผัสรับรู้ล่องลอยออกไปรอบๆ
เขา ‘เห็น’ พวกสาวๆ ที่เพิ่งกลับมาจากชอปปิ้งและกำลังแยกออกเป็นสามกลุ่ม
พวกเธอแต่ละคนนั้นมีชีวิตเป็นของตัวเอง บางครั้งอาจดูเหมือนถูกผูกติดกับเขา แต่สุดท้ายก็ต้องแยกจากกัน
วาห์นอาจรู้สึกเห็นใจและเข้าใจพวกเธอ แต่เขาคงทำแบบนั้นไม่ได้แน่นอน หากไม่ใช่เพราะมีระบบกับ [ความปรารถนาของหัวใจ] คอยช่วย
วาห์นเพิ่งตระหนักว่า หากต้องการ เขาก็สามารถเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของแต่ละคนได้ไม่ยาก…
ถ้าเขาหยุดให้ความสนใจ หยุดตั้งข้อห้ามนู่นนี่นั่นขึ้นมา เขาก็คงจะสนุกกับชีวิตมากกว่านี้
เขาจะทำอะไรก็ได้ เลือกนอนกับใครก็ได้ที่อยากนอนด้วย
เขาสามารถวิจัยในสิ่งที่ตัวเองชอบ ใช้ชีวิตอย่างหรูหราจากการสร้างไอเท็มขายไปวันๆ
เพราะสามารถอัพเดทสถานะได้เองโดยไม่ต้องพึ่งเผ่าเทพ เขาจะลงดันเจี้ยนเมื่อไหร่ก็ได้ (ตราบใดที่ไม่ประมาท) และอาจพิชิตมันโดยไม่ต้องกลับขึ้นไปพักข้างบน
เขาสามารถหาลูกน้องมาเพิ่มเรื่อยๆ ฝึกให้จนเก่ง และสร้างกองทัพไร้ผู้ต้านทานขึ้นมา…
ทุกอย่างนี้คือในกรณีที่วาห์นโยนสิ่งที่ตัวเองเชื่อมั่นทั้งหมดทิ้งไป
วัตถุประสงค์หลักที่เขามาเยือนโลกใบนี้คือการเสาะหา ‘ความสุข’ และ ‘อิสรภาพ’ โดยไม่ไประรานหรือหลอกใช้ประโยชน์จากคนอื่น
เวลาบางช่วงบางตอนอาจดูขลุกขลักไปบ้าง แต่วาห์นก็มีความสุขที่ได้อยู่ร่วมกับทุกคน
แต่ละคนต่างส่งอิทธิพลต่อชีวิตของกันและกันโดยมีเขาคอยดูแลอีกต่อหนึ่ง
ความเห็นอกเห็นใจของวาห์นนี่เองที่ทำให้พวกเธอรู้สึกเชื่อใจเขามาก ส่วนเหตุการณ์ต่างๆ ที่ตามมา… ถือว่าเป็นสีสันของชีวิตก็แล้วกัน
คนที่เข้ามาแล้วสีสันจะเยอะหน่อยก็มี เฮเฟสทัส เอน่า เฮสเทีย โคลอี้ ทีโอน่า ไอส์… ล้วนแต่เป็นคนที่วาห์นรักมากที่สุด
แม้แต่เทพธิดาอย่างโลกิที่เขาไม่เคยนึกฝันว่าจะญาติดีด้วยก็ต่างจากที่คิดไว้ตอนแรกมาก
เธอทำเพื่อวาห์นหลายอย่าง ทั้งๆ ที่เขาไม่เคยให้อะไรตอบแทนเลยนอกจากคำสัญญาปากเปล่าและปัญหามากมาย
แม้เทพสาวจะเปิดใจกับเขาแบบสุดๆ แต่วาห์นก็บอกให้เธอรอก่อนในขณะที่ตัวเองหันไปจัดระเบียบชีวิตอันยุ่งเหยิง
นอกจากจะไม่ปริปากบ่นแล้ว เธอยังรับฟังคำขอของเขาและแอบให้ความช่วยเหลือมาตลอด
ในครั้งนี้ก็เช่นกัน เธอพยายามเข้าสกัดอิชทาร์แฟมิเลียเพื่อที่เขาจะได้มีเวลาผ่อนคลายและปกป้องฮารุฮิเมะได้ง่ายขึ้น….
เป็นอีกครั้งที่วาห์นตระหนักถึงการความโลเลของตัวเอง
ถึงจะตัดสินใจได้อย่างรวดเร็วในช่วงหน้าสิ่วหน้าขวาน แต่เขายังขาดความสามารถในการวิเคราะห์เชิงลึก
ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะเขาเชื่อใจคนอื่นมากจนเกินไป แต่อย่างน้อยวาห์นก็พอเข้าใจว่าตัวเองยังขาดคุณสมบัติข้อไหนบ้าง
เรื่องนี้ไม่ใช่สิ่งที่จะเรียนรู้หรือแก้ไขภายในวันเดียว… ประสบการณ์และเวลาเท่านั้นที่จะช่วยเยียวยาได้
เขาเปลี่ยนไปมากในช่วง 11 เดือนที่ผ่านมานับตั้งแต่เดินทางเข้าเมือง แล้วถ้าเป็นอีก 1 ล่ะ? หรือ 10 ปี? หรือ 100 ปีนับจากนี้?
แค่อีก 8 เดือนนับจากตอนนี้ วาห์นก็จะกลายเป็นพ่อคนแล้ว… เขารู้สึกได้เลยว่าเรื่องนี้จะนำพาการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่มาสู่ตัวเองแน่นอน
“งั้นวิธีเดียวที่ทำได้… ก็คือใช้ชีวิตต่อไปสินะ… ตอนพูดฟังดูง่าย แต่พอทำจริงทำไมมันยากจังเลย?” วาห์นพูดกับตัวเองด้วยสีหน้าครุ่นคิด
เขาเริ่มหัวเราะไปกับ ‘ข้อสรุป’ ของตัวเองขณะลุกขึ้นจากโซฟาและมุ่งหน้าไปทางพื้นที่ส่วนกลาง
หากไม่สามารถหาคำตอบได้และอยากได้ประสบการณ์เพิ่ม วิธีที่ดีที่สุดก็คือการออกไปหาประสบการณ์นั่นเอง
มัวแต่นั่งเงียบๆ คนเดียวแล้วจะได้อะไรขึ้นมา? ทำไมถึงไม่เข้าหาคนอื่นเพื่อช่วยกันแบ่งเบาปัญหา?
ราวกับตระหนักถึงบางอย่าง วาห์นหยุดเดินชั่วคราวพร้อมเผยรอยยิ้มเล็กๆ บนใบหน้า
เขามองออกไปนอกหน้าต่างและเห็นท้องฟ้ามืดครึ้มด้านบน
“ชีวิตอาจเป็นประสบการณ์ส่วนตัวของแต่ละคน… แต่การใช้ชีวิตคือประสบการณ์ที่แต่ละคนใช้ร่วมกัน
ร่างกายของเราจะไม่มีวันแก่ลง ต่อให้อยู่ที่ ‘ป่าทิศตะวันตก’ ไปอีกพันปีก็ไม่ใช่ปัญหา แต่เราก็จะไม่ได้มาสัมผัสกับ ‘ชีวิต’ ในเมืองนี้…
พอเข้าใจซะแล้วสิ ว่าทำไมพวกเทพถึงลงมาที่โลกมนุษย์แทนการอยู่บนสวรรค์
พวกเขาเป็นอมตะ คงอยู่ตลอดกาล มีอายุขัยไม่รู้จบ… แต่ช่วงเวลาเดียวที่ต่างมีอิสรภาพ ก็คือช่วงที่ลงมายังพื้นโลกนี่แหละ…”
วาห์นหัวเราะกับตัวเองและเริ่มเดินต่อโดยหยุดกังวลเรื่องที่เขาไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้
ถึงจะได้เดินทางผ่านเรคคอร์ดมากมายในอนาคต แต่มันก็ไม่มีความหมายเลยหากเขาไม่ได้ ‘ใช้ชีวิต’ และสัมผัสกับทุกอย่าง
วาห์นตัดสินใจว่า แทนที่จะกังวลเรื่องอนาคต (อย่างน้อยก็เรื่องโลกใบอื่นที่อยู่เหนือการควบคุม) เขาควรจะใส่ใจกับช่วงเวลาและโลกที่อยู่ปัจจุบันให้มากกว่านี้
ต่อให้ต้องผ่านช่วงเวลายากลำบาก แต่ความสุขก็ไม่เคยอยู่ใกล้เกินเอื้อม สิ่งเดียวที่เขาต้องทำคือยื่นมือออกไปและคว้ามันเอาไว้…