Endless Path : Infinite Cosmos, อนันตวิถีจักรวาล – ตอนที่ 294

ตอนที่ 294

หลังจากอุ้มอาคิกลับมาส่งห้อง วาห์นก็ออกมานั่งรับลมที่ระเบียงขณะจ้องมองบริเวณรอบๆ ตัวคฤหาสน์

ขณะนี้เป็นเวลาตี 3 แล้ว เขาก็เลยไม่อยากกลับไปนอนต่อเท่าไหร่ โดยเฉพาะหลังจากที่ได้สู้มาสดๆ ร้อนๆ

แม้จะสงบลงไปมาก แต่ร่างกายก็ยังรู้สึกตื่นเต้นจนเลือดสูบฉีดอยู่บ้าง

ตอนสู้กับคนที่เก่งแบบทีโอเน่นั้นวาห์นคาดคะเนไม่ถูกเลยว่าตัวเองก้าวหน้าไปถึงไหนแล้ว การต่อสู้กับทัมมุซนั้นเป็นโอกาสดีที่เขาจะได้ฝึกเรื่องประสาทรับรู้ต่างๆ และทำให้รู้ด้วยว่าตัวเองยังพัฒนาไปได้อีกเยอะ

วาห์นอาจจะไม่ได้เข้าดันเจี้ยนในช่วงนี้ แต่เขาก็ยังประมือกับคนที่มีเลเวลสูงกว่าได้เพราะมีเหล่าสกิลต่างๆ มาช่วยอุดช่องว่าง

ตามปกติแล้ววาห์นไม่ค่อยมีโอกาสได้สู้กับนักผจญภัยที่เก่งกาจบ่อยนัก ต้องบอกเลยว่ามันไม่เหมือนกับการสู้กับมอนสเตอร์แม้แต่น้อย

มอนสเตอร์คือสิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งมาก อาจจะแข็งแกร่งกว่านักผจญภัยส่วนใหญ่ด้วยซ้ำ ทว่าสไตล์การต่อสู้ของพวกมันกลับมีแต่แบบเดิมๆ

ถ้ารู้แนวทางการโจมตีและจุดอ่อนของมอนสเตอร์ การจัดการพวกมันก็จะไม่ใช่เรื่องยากอย่างที่คิด

ต่อให้เป็นโกไลแอธที่ว่าแน่ หากเตรียมตัวดีๆ วาห์นก็คงไม่ต้องลำบากแบบนั้น

ถ้าเป็นวาห์นตอนนี้ล่ะก็ เขามั่นใจว่าน่าจะโค่นมันได้ด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว

ประเด็นสำคัญก็คือค่าสถานะของวาห์นไม่ได้เพิ่มขึ้นจากตอนนั้นมากนัก

สิ่งที่เพิ่มขึ้นก็คือสามารถในการต่อสู้ ความรู้ และความชำนาญจากการฝึกซ้อมต่างๆ

แค่ [เคลื่อนย้ายในพริบตา] เพียงวิชาเดียวก็ทำให้เขาเก่งแบบก้าวกระโดดแล้ว เพราะขนาดคู่ต่อสู้ที่มีเลเวลสูงกว่ายังไม่ตามความเร็วไม่ทันเลย

ถ้าเลเวลอัพอีกสักครั้งสองครั้ง วาห์นเชื่อว่าคงไม่มีนักผจญภัยคนไหนเอาชนะตนเองได้อย่างแน่นอน ต่อให้เป็น ‘สัตว์ประหลาด’ อย่างออตตาร์จากเฟรย่าแฟมิเลียก็เถอะ…

วาห์นนยังไม่มีโอกาสได้พบกับคนๆ นี้ ทว่า ‘ตำนาน’ ของออตตาร์ผู้โด่งดังนั้นทุกคนในเมืองย่อมต้องเคยได้ยินมาก่อน

ออตตาร์ยังได้รับขนานนามว่าเป็นนักผจัญภัยที่เก่งกาจที่สุด สมกับฉายา ‘คิง’ ของเขา

ถ้าขึ้นมาถึงเลเวล 5 เมื่อไหร่ วาห์นเชื่อว่าตัวเองพอมีทางชนะอยู่บ้าง หากสู้ระยะใกล้ไม่ไหวก็เปลี่ยนเป็นระยะไกลก็ได้นี่

เพราะวาห์นสามารถเคลื่อนไหวหลบหลีกได้อย่างอิสระภายในเขตแดน คงมีไม่กี่คนหรอกที่จะโจมตีเขาโดนแบบจังๆ

ถ้าสลับเป็นการสู้ระยะไกลหรือเวทมนตร์อย่างเดียว วาห์นคิดว่าเรื่องนี้ตัวเองคงกินขาด

แน่นอนว่าทุกอย่างเป็นเพียงทฤษฎีเท่านั้น ต้องรอให้ถึงเลเวล 5 ก่อนแล้วค่อยมาว่ากันใหม่

วาห์นรู้ว่าการเพิ่มค่าสถานะในช่วงหลังจะเป็นสิ่งที่ยากมากๆ เพราะต้องออกไปหามอนสเตอร์ที่พอฟัดพอเหวี่ยงหรือเก่งกว่าตัวเอง

การที่เขาสู้กับพวกที่เลเวลเยอะกว่าได้นั้นอาจทำให้เรื่องยากกว่าเดิม

นี่ไม่ใช่สถานการณ์ที่เราฟาร์มมอนสเตอร์ไปเรื่อยแล้วจู่ๆ จะเก่งขึ้นมาได้เอง

ถ้าอยากอยู่สูงกว่านี้ วาห์นจะต้องเอาตัวเองเข้าไปเสี่ยงและฟันฝ่าอุปสรรคที่ยากกว่าที่แล้วๆ มา

นี่เป็นเหตุผลที่นักผจญภัยหลายคนมาหยุดอยู่ตรงเลเวล 3 ส่วนพวกเลเวล 5 นั้นต้องบอกว่าหายากยิ่งกว่ายาก

พอความสามารถทางร่างกายเพิ่มขึ้น คุณภาพของอาวุธและอุปกรณ์ก็ต้องเพิ่มขึ้นตามไปด้วย ทุกอย่างมันจะยากตามๆ กันไป

นี่แหละที่ทำให้โลกิแฟมิเลียใช้วิธีแหวกแนวในการเพิ่มพลังให้กับสมาชิก

พวกเขาจะให้เหล่าเด็กใหม่สู้กับมอนสเตอร์หรือบอสที่เก่งกว่าด้วยตัวเองโดยมีพี่เลี้ยงคอยคุมอยู่ห่างๆ

พวกพี่เลี้ยงจะลงมือก็ต่อเมื่อเด็กใหม่สู้ต่อไม่ไหว ทว่าบ้างครั้งเรื่องมันก็ไม่ได้ง่ายดายแบบนั้น

อุบัติเหตุเล็กน้อยที่ทำให้เกิดการบาดเจ็บสาหัสหรือเสียชีวิตคือเรื่องปกติธรรมดามาก โดยเฉพาะกับเหล่านักผจญภัยและหน่วยสนับสนุนมือใหม่ทั้งหลาย

วาห์นเริ่มสงสัยแล้วว่าวิธีเพิ่มพลังที่ดีที่สุดนั้นต้องเป็นแบบไหนกันแน่ เพราะนอกจากในกรณีของตัวเองแล้วเขายังต้องคิดเผื่อคนอื่นๆ ด้วย

เขาคอยสังเกตริวกับเฟนเรียร์มาพักหนึ่งแล้ว และตอนนี้ทั้งสองก็แทบไม่ได้อะไรเลยจากการล่ามอนสเตอร์ในช่วงชั้นบน

เฟนเรียร์นั้นน่าจะฆ่ามอนสเตอร์ไปเกินหมื่นตัวแล้ว แต่ค่าสถานะกลับเพิ่มแค่นิดหน่อยเอง

วาห์นเป็นประเภทที่ชอบห่วงจนเกินเหตุ เขาก็เลยยังไม่อยากปล่อยให้เธอลงไปที่ช่วงชั้นกลาง

ไอ้ปลอดภัยมันก็ปลอดภัยอยู่หรอก แต่แบบนี้การเติบโตของเหล่าสมาชิกก็จะหยุดนิ่งไปด้วย

แถมความคิดของพวกเธอส่วนใหญ่ที่ว่า ‘ถ้ามีอะไรเกิดขึ้น เดี๋ยววาห์นก็มาช่วยเอง’ คงไม่มีโอกาสได้แก้ไขกันเสียที

วาห์นถอนหายใจออกมาเเป็นไอก้อนใหญ่ก่อนที่พวกมันจะสลายหายไป

หากกปรับให้ผิวหนังมีอุณหภูมิร้อนกว่านี้อีกหน่อยล่ะก็ สักพักคงเริ่มมีไอออกมาจากร่างกายของเขาด้วย

ตอนนี้อากาศหนาวมากเสียจนมีเกล็ดน้ำแข็งมาเกาะอยู่บนผืนหญ้า ทว่าวาห์นที่เปลือยท่อนบนอยู่นั้นกลับดูไม่สะทกสะท้านเลย

พอเริ่มเบื่อๆ เขาก็เลยลองแปลงเป็นร่างเต่าทมิฬอีกครั้ง แบบนี้จะได้ฝึกความเคยชินต่อเนื่อง

ถ้ามีคนแอบมองอยู่ล่ะก็… รับรองว่ามันคงเป็นอะไรที่เตะตาไม่น้อย

—-

จากชั้นสูงสุดของหอคอยบาเบล เทพธิดาสาวผมเงินกำลังจ้องมองภาพในกระจกยักษ์ด้วยสายตาลุ่มหลง

ส่วนคนที่อยู่ในภาพก็คือวาห์นที่กำลังนักเอกเขนกอยู่บนระเบียงโดยมีเมฆทึบและแสงจันทร์เป็นฉากหลังนั่นเอง

สายตาของเธอดูร้อนแรงมาก แถมดวงตาก็เริ่มปรากฏแสงสีแดงเมื่อเห็นอีกฝ่ายใช้ร่างเต่าทมิฬออกมา

เทพสาวมักจะใช้กระจกส่องดูเด็กหนุ่มทุกครั้งที่มีโอกาส ส่วนไฮไลท์ของคืนนี้ย่อมหนีไม่พ้นการต่อสู้ระหว่างวาห์นกับทัมมุซ

เพราะเรื่องนี้มีอิชทาร์เข้ามาเอี่ยวด้วย เฟรน่าก็เลยเฝ้าติดตามทุกอย่างแบบละเอียดเพื่อคิดหาวิธีเรียกความสนใจจากวาห์น

ถึงเฮเฟสตัสจะเข้ามาขัดขวางไม่ให้ทั้งสองพบกัน แต่ถ้าเป็นวิธีแบบอ้อมๆ ล่ะ?

พิธีสาบานทำให้เฟรย่าไม่สามารถใช้วิธีเข้าหาแบบตรงๆ ได้ แต่คำสาบานนั่นก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีช่องโหว่เลย

ตอนนี้ ‘อิชทาร์’ ผู้เป็นศัตรูได้กลายมาเป็นศัตรูของวาห์นเช่นกัน เฟรย่าก็เลยนึกอยากทำอะไรสักอย่างกับยัยเทพธิดาที่แส่หาเรื่องไม่เลิก

ต่อให้ไม่ได้เข้าหาวาห์น แต่ก็มีโอกาสที่อีกฝ่ายจะเป็นฝ่ายเข้าหาเธอเอง เพราะเด็กนั่นออกจะเป็นคน ‘ซื่อๆ’ นี่นะ

อย่างน้อยๆ เธอก็สามารถใช้แผนนี้เพื่อต่อรองกับเฮเฟสตัสและโลกิได้ อาจจะถึงขั้นได้ถอนคำสาบานออกด้วย

เฟรย่าแตะใบหน้าที่อยู่ในภาพสะท้อนก่อนจะรำพึงกับตัวเองเบาๆ

“วาห์น… เมื่อไหร่จะมาเป็นของฉันสักทีน้า~?

นายไม่เบื่อพวกผู้หญิงที่เอาแต่ตามเกาะติดบ้างเหรอ… ฉันจัดการพวกเธอเลยดีไหมนะ ชีวิตของนายจะได้ง่ายขึ้น? อื้มมม~”

พูดเสร็จเฟรย่าก็จูบที่ภาพสะท้อน ราวกับว่ามันสามารถทำให้เธอใกล้ชิดเด็กหนุ่มได้มากกว่าเดิม

ถึงเฟรย่าจะทำพิธีสาบานว่าจะไม่ไปยุ่งเกี่ยวกับวาห์น แต่นั่นก็ไม่ร่วมถึงเหล่าหญิงสาวที่อยู่รอบตัวเขาสักหน่อย

ทุกอย่างย่อมมีช่องโหว่ และเฟรย่าก็เก่งเรื่องหาช่องโหว่นั่นซะด้วยสิ

การปล่อยให้คนที่มีศักยภาพสูงหลุดมือไปนั้นมันไม่ใช่ตัวเธอเลย โดยเฉพาะหลังจากได้เห็นวาห์นเอาชนะคนที่มีเลเวลสูงกว่า…

ท่วงท่าของเขาได้ตราตรึงเข้าไปในจิดใจของเธอ แล้วก็ยังมีใบหน้าเยือกเย็นตอนเผาดวงตาของทัมมุซอีก

ทันทีที่วาห์นเสียบดาบลงตรงหัวใจของทัมมุซ เฟรย่าก็รู้สึกเหมือนหัวใจตัวเองโดนเสียบไปด้วย… ทำเอาช่วงล่างเปียกไปเล็กน้อยเหมือนกัน

—————
ผล.งาน.ถูกขโมยมาจาก: EP:IC Translation และ Thai Novel : https://bit.ly/34ApcTP

—————

เฟรย่าผ่อนลมหายใจร้อนๆ ขณะเริ่มใช้นิ้วซุกซนเพื่อเติมเต็มความกระหายให้กับตัวเอง

ใบหน้างามแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงเข้มขณะที่เธอใช้มือข้างที่ว่างลูบไล้ไปตามภาพของวาห์นพลางจินตนาการถึงช่วงเวลาที่ทั้งสองจะได้อยู่ด้วยกัน

เฟรย่าแค่ต้องการเวลาเจอกันเพียงไม่กี่นาที จากนั้นเขาก็จะตกเป็นของเธอตลอดกาล… แค่นึกภาพที่วาห์นคอยตามปรนนิบัติด้วยสีหน้านิ่งเฉยก็ทำให้รู้สึกเสียวสุดๆ แล้ว

เธอจะปลุกศักยภาพของวาห์นให้ตื่นขึ้นและดูว่าเขาจะไปได้ไกลแค่ไหน

ตัวเธอในตอนนี้นั้นเดาอะไรไม่ได้มากเพราะยังไม่เคยเห็นดวงวิญญาณของวาห์นมาก่อน

เพราะคอยเก็บข้อมูลตั้งแต่ตอนที่วาห์นมีเรื่องกับอนูบิสและโอซิริสแฟมิเลีย เธอเลยยิ่งมั่นใจว่าอีกฝ่ายคงมีสกิลหรือเวทมนตร์ที่เอาไว้เก็บซ่อนดวงวิญญาณของตัวเอง

ถ้าถึงขั้นที่อนูบิสยอมติดตามตั้งแต่ได้เจอกันครั้งแรกล่ะก็ มันต้องเป็นดวงวิญาณที่วิเศษที่สุด ยิ่งนึกก็ยิ่งอยากเห็นด้วยตาตัวเอง

นอกจากเทพสุนัขนั่นแล้ว ขนาดเฮเฟสตัสที่ไม่ค่อยชอบสุงสิงกับใครหรือแม้แต่จอมป่วนอย่างโลกิก็ยังเข้ามาปกป้องเด็กคนนั้น

เสียงครางของเฟรย่าดังขึ้นเรื่อยๆ ก่อนที่เธอจะล้มลงไปซบกับภาพสะท้อนและจ้องมองมือที่เปียกชื้นของตัวเอง

เทพสาวใช้ลิ้นเลียมันนิดหน่อยก่อนจะหยดส่วนที่เหลือลงบนภาพของวาห์น

เฟรย่าจ้องมองใบหน้าหล่อเหลาที่กำลังเหม่อมองท้องฟ้า จากนั้นเธอก็เริ่มลูบ ‘น้ำหวาน’ ของตัวเองไปทั่วร่างกายเสมือนของอีกฝ่าย

แม้จะไม่ใช่ของจริง แต่เธอก็รู้สึกหวงแหนมันเป็นอย่างมาก

“ออตตาร์… ไปเรียกทุกคนมา

นี่เป็นครั้งสุดท้ายที่อิชทาร์จะได้เข้ามาวุ่นวายกับเรื่องของฉัน…”

พอสิ้นเสียง ร่างสูงใหญ่ที่เฝ้าดูทุกอย่างอยู่ในเงามืดก็พยักหน้ารับ

“น้อมรับบัญชา”

ขณะที่ออตตาร์เดินออกจากห้อง เฟรย่าก็ยืนขึ้นพร้อมกับที่ภาพสะท้อนของวาห์นจางหายไป

เธอเดินเข้าไปในห้องห้างๆ ที่เป็นห้องส่วนตัวและเอาไว้ใช้เก็บชุดมากมาย

เฟรย่าลากนิ้วไปตามชุดหรูหราพร้อมรอยยิ้ม

“ฮื่มม… จะส่งสหายเก่ากลับสวรรค์ทั้งที เราควรใส่ชุดไหนดีนะ~?”

นิ้วของเฟรย่าหยุดลงที่ชุดวันพีซสีดำแบบคอวีที่ตัดค่อนข้างลึกและเปิดหลัง

นี่คือชุดกระโปรงรัดรูปที่ทำมาจากไหมชั้นดีของทวีปตะวันออก

แม้จะไม่มีคุณสมบัติป้องกันใดๆ ทั้งสิ้น ทว่าราคาของมันกลับสูงถึง 20,000,000 วาลิส

หลังจากนำชุดออกจากที่แขวน เฟรย่าก็โยนมันลงกับเก้าอี้นอนก่อนที่อาภรณ์เทพของเธอจะค่อยๆ สลายกลายเป็นกลีบดอก

หากวาห์นอยู่ที่นี่ด้วย เขาก็คงสังเกตเห็นว่ามันดูคล้ายกับชุดของเฮสเทียไม่มีผิด จะต่างกันก็ตรงที่กลีบดอกนั้นมีสีดำและแดงแทนที่จะเป็นสีขาวบริสุทธิ์

ถึงแสงในห้องจะมีไม่มากนัก แต่มันก็ไม่ได้ทำให้เรือนร่างที่งดงามทุกสัดส่วนดูหมองลงได้เลย

เฟรย่าลากนิ้วไปตามส่วนโค้งเว้าของตัวเองพลางรำพึงออกมาอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ มีเพียงแสงจันทร์เท่านั้นที่ได้ยิน

“เมื่อไหร่นายถึงจะมาช่วยอุ่นร่างกายให้ฉันนะ?…วาห์น”

เทพธิดาผิวสีเข้มที่ไม่รู้เลยว่าตัวเองเพิ่งจะโดน ‘สั่งประหาร’ ไปนั้นกำลังไล่เตะคนส่งข่าวรูปงามที่กำลังนั่งคุกเข่าอยู่บนพื้น

เธอเพิ่งรู้เดี๋ยวนี้เองว่านอกจากทัมมุซจะทำงานพลาดแล้ว เขายังเสียชีวิตจากการต่อสู้กับเด็กที่เธอหมายปองไว้อีกด้วย

อิชทาร์เปลี่ยนไปกัดเล็บตัวเองด้วยความเครียดขณะตะโกนเสียงดัง

“ฟรีเน่! เราทำอะไรไม่ได้แล้วเหรอ?

เธอส่งไอช่าออกไปถล่มแฟมิเลียเล็กๆ นั่นแล้วพาทาสของฉันกลับมาไม่ได้หรือไงยะ!?”

พออิชทาร์โวยวายเสร็จ กลุ่มก้อนเนื้อที่มีรูปร่างคล้ายกับกับผู้หญิงก็หันมามองเธอ

แม้จะสูงถึง 200 ซม. แต่น้ำหนักของเธอก็ปาเข้าไป 240 กก. เช่นกัน บวกกับใบหน้าที่ดูคล้ายกับกบและกล้ามเนื้อแน่นปึก ‘ฟรีเน่ จามิล’ ผู้เป็นกัปตันของอิชทาร์แฟมิเลียนั้นเชื่ออย่างสนิทใจ(และป่าวประกาศไปทั่ว)ว่าเธอคือหญิงสาวที่งดงามที่สุด งามยิ่งกว่าอิชทาร์ผู้เป็นเทพธิดาของตัวเองเสียอีก

หลังจากเลียปากตัวเองอย่างน่าขนลุก สาวอเมซอนผู้มีนามว่าฟรีเน่ก็ตอบอิชทาร์

“ทำไมท่านอิชทาร์ถึงได้โง่เง่าแบบนี้เนี่ย? เหตุผลที่ต้องส่งไอ้หมอนั่นไปคนเดียวก็เพราะว่าท่านกลัวกลุ่มพันธมิตรจะไหวตัวทันไม่ใช่หรือไง

ถ้าส่งคนไปเพิ่มก็ซวยกันหมดสิ แถมยิ่งเราเสียกำลังคนไปแบบนี้ วอร์เกมครั้งหน้าก็ไม่รู้จะชนะได้หรือเปล่า”

อิชทาร์เรื่องบ่นต่ออย่างอารมณ์เสีย

“ก็ฉันไม่เห็นว่าแกจะคิดอะไรออกเลย! ถ้าเราเอายัยเรนาร์ดนั่นกลับมาไม่ได้ แบบนี้ต่อไปสู้พวกเฟรย่าไม่ได้สิยะ

เห้อ ทำไมเราถึงมีแต่ลูกน้องไม่เอาไหน แต่ยัยเฟรย่ากลับมีผู้ชายหล่อๆ มาห้อมล้อมไม่เว้นวัน…”

ฟรีเน่ถ่มน้ำลายทิ้งก่อนจะเริ่มบ่นสวน

“นิสัยน่าเกลียดจริงๆ… ตัวเองทำไม่ดีก็มาโทษคนอื่น

หึ เอาเถอะๆ ตราบใดที่เอาชนะโลกิแฟมิเลียได้ ต่อไปเราจะไปแย่งนังอัปลักษณ์นั่นกลับมาให้ท่านตอนไหนก็คงไม่มีใครว่าอะไร

แต่ฉันขอเจ้าหนุ่มนั่นละกัน ชื่อวาห์น เมสันใช่ไหม?

หมอนี่โชคดีจริงๆ ที่จะได้มาอยู่กับโฉมงามผู้นี้ วะฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า~!”

ฟรีเน่นั้นยังคิดเองเออเองมาตลอดว่าตัวเองคือ ‘สาวพิฆาตใจหนุ่มๆ’ ส่วนเป้าหมายหลักก็หนีไม่พ้นเด็กหนุ่มหรือวัยรุ่นหน้าตาดีทั้งหลาย

แม้แต่ฉายา ‘อันดร็อกโตนัส’ ของเธอก็มีความหมายว่า ‘ปลิดบุรุษ’

สาวเลเวล 5 ร่างใหญ่ยักษ์คนนี้ได้ปลิดชีพเด็กหนุ่มไปแล้ว 103 คน หลังจากที่เสร็จกิจกันไป

เพื่อลบล้างหลักฐาน เธอมักจะทุบศพจนแม้แต่ญาติเองก็จำหน้าไม่ได้ ก่อนจะนำเศษซากที่เหลือไปทิ้งไว้ในท่อระบายน้ำใต้เมือง

พอได้ยินฟรีเน่พูดแบบนั้นแล้วอิชทาร์ก็วีนแตกทันที

“ไม่ได้เด็ดขาด! นั่นมันเด็กที่ฉันเล็งไว้นะ! นี่ฉันยังต้องหาคนมาแทนทัมมุซด้วย

ถ้ากระหายมากนักก็เชิญออกไปหาคนอื่นข้างนอกนู่น!”

ฟรีเน่ทำเสียงฮึดฮัดก่อนจะลุกขึ้นยืน

เธอก้มมองอิชทาร์ที่ตัวเตี้ยกว่าและพูดเสียงเรียบ

“งั้นเรามาแข่งกันไหมว่าใครจะถึงตัวเขาก่อน อยากรู้จริงๆ ว่าท่านอิทาร์จะทำอะไรหลังจากที่เด็กนั่นผ่านมือฉันมาแล้ว วะฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า~!”

ฟรีเน่เดินจากไปโดยไม่สนใจเทพธิดาของตัวเองอีก ตอนนี้หญิงสาวคิดจะไปหาคนมาดับกระหายจริงๆ นั่นแหละ

ในฐานะที่เป็นสาวงามและเป็นสาวบริการที่ทุกคนใฝ่หามากที่สุด แน่นอนว่าเธอต้องเป็นฝ่ายออกไป ‘เลือก’ ลูกค้าเองอยู่แล้ว

ถ้าลูกค้าไม่ยอมจ่าย ‘ค่าบริการ’ ล่ะก็… ฟรีเน่ก็จะบริการเสริมเข้าไปอีก หลักๆ ก็คือจะบริการต่อไปอีกคืนและต่อไปอีกเรื่อยๆ จนกว่าลูกค้าจะ ‘พอใจ’

Endless Path : Infinite Cosmos, อนันตวิถีจักรวาล

Endless Path : Infinite Cosmos, อนันตวิถีจักรวาล

Status: Ongoing

เรื่องย่อโดยผู้แต่ง

วาห์นชายหนุ่มผู้ที่มีความผิดปกติ เนื่องจากการกลายพันธุ์ที่หายาก เลือดของเขาจึงมีความสามารถซ่อนเร้นที่ทำให้เป้าหมายและความเสียหายที่เกิดจากโรคร้ายที่อยู่ภายในร่างกายมนุษย์

ถูกขจัดออกไปในโดยการรักษาครอบจักรวาล เหล่าผู้คนจึงต่างเชิดชูบูชาสถานะของเด็กหนุ่มเหนือกว่าผู้ใดทั้งสิ้นและมอบชื่อให้เขาว่า “ยารักษาสารพัดโรค” ในข่าว

เขาได้รับการยกย่องเป็นเหมือนกับวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ที่จะนำพายุคสมัยแห่งใหม่หรือคุณภาพชีวิตมนุษย์ที่ดีมาถึง อย่างไรก็ตาม ฉากที่อยู่เบื้องหลังไม่ได้สดใสเลย

เนื่องจากปัจจัยเฉพาะบางอย่าง วาห์นจึงใช้เวลาช่วงวัยรุ่นทั้งหมดถูกกักขังอยู่ในห้องทดลองกับนักวิทยาศาสตร์ทั้งหลาย และทีมวิจัยที่ใช้ร่างกายและเลือดของเขาเพื่อทำการทดลองที่ไม่มีที่สิ้นสุด

สิ่งปลอบใจความทุกข์ทรมานเพียงอย่างเดียวของเขาคืออนิเมะทั้งหลายและหนังสือการ์ตูนที่มีให้เขาดูในระหว่างการทดลอง เขามักจะจินตนาการว่าตนเองเป็นตัวเองที่อยู่ในโลกของตนเอง

dและสุดท้ายเขาก็สามารถควบคุมโชคชะตาของตัวเองได้ เป็นเวลาหลายปีที่เขาเก็บรักษาความปราถนานี้เอาไว้ จนกระทั่งเขาเสียชีวิตในวัย 14 ปีขณะที่มีองค์กรพยายามลักพาตัวเขาออกจากห้องทดลอง…

“ในที่สุด ผมก็ไม่ต้องทนทรมานอีกต่อไปแล้ว…”

นี่เป็นความคิดสุดท้ายของวาห์นในขณะที่เขาค่อยๆจางหายไปในห้วงแห่งความมืดอันไร้สิ้นสุด…

“ดวงวิญญาณที่น่าสงสาร”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท